บทที่ 2192+2193

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2192 มา ย่อมมองทะลุจิตใจผู้คนได้ง่ายดายยิ่ง…

ที่แท้ในอดีตตอนที่ฮวาจื่อชุนยังเป็นบุตรชายเจ้าเมืองอยู่ ได้รับตัวขอทานน้อยคนหนึ่งที่เกือบหนาวตายหน้าอารามหิมะสลาตันแห่งนี้เอาไว้ ขอทานน้อยเฉลียวฉลาดหัวไว คุกเข่าลงเบื้องหน้าเขาขอให้เขารับตนเป็นบ่าวไพร่ สร้างความประทับใจให้แก่ฮวาจื่อชุน เขาถึงขั้นที่เรียกขานนามตนว่าเย่หนู่ เป็นใบไม้ที่คอยขับเน้นบุปผา[1] เย่หนู่สองคำนี้เพียงพอจะแสดงถึงความภักดีที่เขามีต่อฮวาจื่อชุนแล้ว

ฮวาจื่อชุนประทับใจ ในที่สุดก็รับตัวไว้เป็นข้ารับใช้

ฮวาจื่อชุนปฏิบัติต่อบ่าวไพร่เป็นอย่างดีเสมอมา ไม่เคยข่มเหงทารุณพวกเขาเลย กับเย่หนู่ผู้นี้ยิ่งดีด้วยเป็นล้นพ้น ปฏิบัติต่อเขาดั่งน้องชายร่วมสายเลือด มีของเล่นอันใดที่สนุกเพลิดเพลิน ล้วนยกให้เขา ไม่ว่าจะไปไหนล้วนชอบพาเขาไปด้วย

นี่ทำให้ท่านเจ้าเมืองผู้เฒ่าไม่พอใจอยู่บ้าง มักจะตำหนิบุตรชายด้วยเรื่องนี้อยู่เสมอ บอกว่าไอ้เด็กเย่หนู่คนนี้มีจิตคิดคด ให้ฮวาจื่อชุนอยู่ห่างจากเขาหน่อย

แต่ฮวาจื่อชุนไม่เชื่อฟัง

ต่อมาเขาออกไปล่าสัตว์ข้างนอก เดิมทีคิดจะพาเย่หนู่ไปด้วยเช่นเคย แต่ท่านเจ้าเมืองผู้เฒ่าส่งเย่หนู่ออกไปทำธุระข้างนอกพอดี ฮวาจื่อชุนจึงไม่ได้พาเขาไปด้วย พาข้ารับใช้คนอื่นไปแทน การไปครั้งนี้ยาวนานกว่าร้อยปี เมื่อกลับมาอีกครั้งข้าวของยังอยู่แต่ผู้คนกลับเปลี่ยนแปรไป…

“นิ้วก้อยของเย่หนู่ด้วนไปเล็กน้อย จดจำได้ง่ายยิ่ง เพียงแต่สิบนิ้วของเจ้าเมืองเย่ผู้นี้สวมปลอกนิ้วไว้ทุกนิ้ว มองไม่เห็นว่านิ้วก้อยของเขาด้วนไปหรือไม่…”

ฮวาจื่อชุนทอดถอนใจในตอนสุดท้าย

“หากว่าเป็นเขาจริงๆ ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องทำกับข้าแบบนี้ ถึงอย่างไรตอนนั้นข้าดีต่อเขา แต่หากบอกว่ามิใช่เขา แต่ก็ยังมีรูปโฉมคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน…”

ฮวาจื่อชุนไม่แน่ใจไปชั่วขณะ

กู้ซีจิ่วเงียบงันไปไม่เอ่ยวาจาอยู่พักหนึ่ง คล้ายว่าเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“เย่หนู่ผู้นั้นอายุน้อยกว่าหัวหน้าเผ่ากี่ปี?”

“อายุน้อยกว่าไม่เท่าไหร่ ห้าปีเท่านั้น ปีนั้นตอนที่ข้ารับตัวเขาไว้ เขาแปดขวบส่วนข้าสิบสามปี…เขาเป็นบ่าวรับใช้ข้าหกปี ข้าปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงน้องชายแท้ๆ…ไม่เคยมองเขาเป็นบ่าวไพร่เลย บางทีเย่หลิงในปัจจุบันนี้อาจจะไม่ใช่เขา เป็นเพียงคนที่รูปโฉมคล้ายคลึงเขาเท่านั้น มิเช่นนี้คงไม่มีเหตุอะไรที่จะทำกับข้าแบบนี้…”

กู้ซีจิ่วเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆ หยักมุมปากนิดๆ

“นี่ก็ไม่แปลกอะไรเลย หากว่าเขาเป็นเย่หนู่จริงๆ ยามนี้เขาเป็นเจ้าเมืองผู้สูงศักดิ์แล้ว ย่อมอยากลบประวัติอันดำมืดที่เคยเป็นบ่าวไพร่ทิ้งไป ไม่อยากรู้จักท่าน…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ จู่ๆ หัวใจกู้ซีจิ่วก็สั่นไหว

วิธีที่ดีที่สุดในการลบประวัติอันดำมืดทิ้งก็คือกำจัดทุกคนที่รู้เรื่องทิ้งซะ!

หากว่าเขาใช่เย่หนู่จริงๆ ด้วยนิสัยโฉดชั่วของเขา มีความเป็นได้สูงที่จะฆ่าปิดปากฮวาจื่อชุน!

เขาจัดให้ฮวาจื่อชุนมาอยู่ที่นี่เพียงลำพัง น่าจะให้สะดวกต่อการสังหารปิดปาก!

กู้ซีจิ่วมองหัวหน้าเผ่า หัวหน้าเผ่ายังคงคิดไม่ตก

กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า หัวหน้าเผ่าถูกขังไว้ในสถานที่ที่แม้แต่นกก็ยังไม่อึรดมาเนิ่นนานปานนี้ ใช้ชีวิตเป็นคนยุคดึกดำบรรพ์มาโดยตลอด ทุกคนจับกลุ่มล่าสัตวล้อมวงกินข้าว ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเรียบง่ายยิ่งนัก ผู้คนใช้ชีวิตซื่อตรงเปิดเผย หลงลืมไปว่าจิตใจมนุษย์นั้นผกผันเปลี่ยนแปร ความสัมพันธ์ของผู้คนในโลกภายนอกที่กลับกลอกลวงหลอกกันไปมานั้นเกินกว่าจินตนาการของเขา…

เพียงแต่ อย่าหมายว่าจะตบตาเธอได้! เธอเป็นปาท่องโก๋ที่ปะปนอยู่ในหมู่ชนเสมอมา ย่อมมองทะลุจิตใจผู้คนได้ง่ายดายยิ่ง…

กู้ซีจิ่วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

จู่ๆ ทั้งร่างเธอก็แข็งทื่อไป มองดูมือตน ตนเป็นปาท่องโก๋หรือ? ทำไมถึงถึงมีความคิดชืดชาเช่นนี้ล่ะ?

สรุปแล้วเมื่อก่อนตนเป็นคนเช่นใดกันแน่?

จู่ๆ เธอก็สนใจใคร่รู้ในอดีตของตัวเองขึ้นมา

ทันใดนั้นพลันมีเสียงหนึ่งแว่วมาจากด้านนอก

“แม่นางกู้อยู่ที่นี่หรือไม่? ท่านเจ้าเมืองเชิญเข้าพบ”

กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ ไอ้คนตุ้งติ้งน่าตายผู้นั้นเชิญเธอไปทำไม? ล่อเสือออกจากถ้ำหรือ? จะได้ส่งคนมาลอบสังหารหัวหน้าเผ่าได้สะดวกหรือ?

….

————————————————————————————-

บทที่ 2193 บีบให้แต่ง

เธอคิดดูเล็กน้อยแล้วออกไป

เธอไม่ได้ตามทหารที่มาเชื้อเชิญคนผู้นั้นไปทันที แต่ไปหาพวกเจ้าเฟิงฉิงศิษย์พี่ศิษย์น้อง ลอบสั่งการให้พวกเขาไปคุ้มกันหัวหน้าเผ่าที่เรือนหิมะสลาตัน หลังจากเจ้าเฟิงฉิงตอบรับอย่างแข็งขันแล้ว เธอถึงได้ไป

เดิมทีเธอคิดจะไปหาตี้ฝูอีให้มาลอบคุ้มกันหัวหน้าเผ่า แต่ตี้ฝูอีบอกว่าจะไปสืบข่าวคราวภายในเมือง เพิ่งจากไปเมื่อครู่นี้ ยังไม่กลับมาเลย

เมื่อเจ้าเฟิงฉิงได้ยินว่าเธอต้องไปเข้าพบเจ้าเมือง ก็ไม่สบายใจยิ่งนัก

“ซีจิ่ว ข้าจะไปกับเจ้าด้วย!”

เจ้าเมืองคนนั้นอันตรายเกินไป เจ้าเฟิงฉิงเกรงว่ากู้ซีจิ่วไปลำพังแล้วจะพลาดท่าเข้า

กู้ซีจิ่วส่ายหน้า

“ไม่ต้องหรอก ข้าไปคนเดียวได้”

ไม่อาจล่วงเกินคนผู้นี้ได้ชั่วคราว ถึงอย่างไรชาวบ้านกว่าร้อยชีวิตของเธอก็ยังต้องหาเลี้ยงชีพอยู่ที่นี่ งานเลี้ยงนี้เธอย่อมต้องเข้าร่วมอย่างไม่อาจเลี่ยงได้

ตอนนี้ถึงแม้วรยุทธ์ของเธอจะสู้เจ้าเมืองผู้นั้นไม่ได้ แต่เธอมีวิชาเคลื่อนย้าย ซ้ำร่างกายยังไม่กริ่งเกรงพิษใดๆ เห็นท่าไม่ดีก็ใช้วิชาเคลื่อนย้ายหนีได้

อีกอย่างเธอก็อยากเห็นยิ่งนักว่าเย่หลิงผู้นี้ใช่เย่หนู่หรือไม่…

….

พลับพลาหยกลำเสาทอง อาหารเลิศรสวางเต็มโต๊ะ

สถานที่ที่เย่หลิงเชิญกู้ซีจิ่วมากินเลี้ยงคือเหลาสุราที่หรูหราอย่างยิ่ง

บริกรในเหลาสุราแต่งกายดียิ่ง แถมแต่ละคนยังมีวรยุทธ์ไม่ต่ำต้อยเลย เมื่อเทียบกับประชาชนที่เสื้อผ้าปุปะกินไม่อิ่มท้องข้างนอกแล้ว พวกเขานับว่ามีอันจะกินแล้ว

อาหารโอชะหายากสารพัดอย่างวางเรียงเต็มโต๊ะ เพียงพอจะเห็นถึงความจริงใจในการจัดเลี้ยงเธอของเย่หลิง

ยามที่กู้ซีจิ่วพบเย่หลิง เขากำลังนั่งพิงราวกั้นอยู่ ด้านหลังมีโฉมงามสองนางกำลังทุบไหล่พัดวีให้เขาอยู่

เสื้อคลุมสีม่วงของเขาส่องสะท้อนอยู่ภายใต้แสงมุกราตรี มีประกายแสงพร่างพราว มังกรเจียวบนชุดก็ดุจมีชีวิตเผ่นโผนอยู่ใต้ฝ่าเท้าเขา

เกศาดำปล่อยสยายกึ่งหนึ่ง กลางหน้าผากคาดแถบแพรนัยน์ตาจิ้งจอกสีแดงแวววาว

เมื่อเห็นเธอมาถึง เขาก็ลุกขึ้นอย่างสง่า ยิ้มแวบหนึ่ง ยิ้มนั้นแฝงความชั่วร้ายที่ไม่อาจบรรยายได้เอาไว้รางๆ

“แม่นางกู้ เจ้าเมืองอย่างข้านึกว่าท่านจะพาคนมาด้วยอีกสี่ห้าคนเสียอีก เชิญนั่ง”

กู้ซีจิ่วนั่งลงตรงข้ามเขา ยิ้มน้อยๆ

“มิใช่ท่านเจ้าเมืองเชื้อเชิญซีจิ่วมาพบคนเดียวหรอกหรือ? แล้วซีจิ่วจะพาคนอื่นมาด้วยได้อย่างไร?”

เย่หลิงปรบมือ

“มิผิด! แม่นางกู้ผ่าเผยยิ่ง”

กู้ซีจิ่วหยักมุมปากขึ้นเล็กน้อย

“ไม่ทราบว่าท่านเจ้าเมืองเชิญซีจิ่วมา มีธุระใดจะสั่งการหรือ?”

เย่หลิงยิ้มแล้ว

“เรื่องสั่งการนั้นไม่มี ข้าเพียงรู้สึกสนใจในตัวแม่นางกู้อยู่บ้าง อยากพบแม่นางเพื่อพูดคุย”

เอาเถอะ คุยก็คุย เธอแค่รับมือไปตามสถานการณ์ก็พอ!

เย่หลิงก็นับว่ามีมารยาท เพียงแต่ชอบวางท่าสูงส่งอยู่เหนือกว่าเสมอ

กล่าวอีกนัยคือ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดเขาล้วนปฏิบัติด้วยเช่นนี้ ประหนึ่งเขาเป็นราชันย์ของโลกใบนี้ก็มิปาน คนอื่นล้วนเป็นมดปลวกใต้เท้าเขา

เย่หลิงพูดคุยสัพเพเหระกับเธอ สอบถามวิถีชีวิตในหลายปีมานี้ของเหล่าชาวเผ่าอย่างละเอียด หลอกถามถึงประวัติความเป็นมาของกู้ซีจิ่วและตี้ฝูอี

กู้ซีจิ่วตอบคำถามเขาอย่างจริงครึ่งเท็จครึ่ง ไม่ได้พูดเรื่องที่ตนกับตี้ฝูอีมาจากดินแดนเบื้องบนออกไป

ตอนนี้สถานการณ์ไม่แน่ชัด บัดนี้เธอยังยืนอยู่ในอาณาเขตของคนผู้นี้อยู่ บางเรื่องก็ไม่ควรพูดออกมา โจรปล้นไม่น่ากลัว น่ากลัวก็แต่การพะวงว่าจะถูกโจรปล้น…

ระหว่างทางที่มาเธอใคร่ครวญขบคิดวาทศิลป์ชุดหนึ่งไว้แล้ว ยามนี้จึงตอบได้อย่างน้ำไม่รั่วเลยสักหยด ไม่ปล่อยให้เย่หลิงได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์อันใด

กู้ซีจิ่วคิดว่าเย่หลิงผู้นี้ระแวดระแวงตนกับตี้ฝูอี จึงมุ่งเน้นไปในด้านการหลอกถามถึงความเป็นมาของเธอและ     ตี้ฝูอี

แต่ในระหว่างที่พูดคุยกัน เธอกลับรู้สึกว่าเขาดูเหมือนจะใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเผ่าในหลายปีมานี้ ถ้าพูดตรงๆ ก็คือเขามุ่งเน้นสอบถามถึงชีวิตของหัวหน้าเผ่า…

————————————–