เล่มที่ 16 ตอนที่ 17

Memorize

น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อยที่ได้ยินในตอนนี้ทำให้ผมหยุดการเคลื่อนไหวไป ผมจึงได้หันหลังกลับไปมอง แล้วจึงพบกับแพคซอยอนที่กำลังนั่งคุกเข่า ก้มหัวลงแนบกับพื้นดิน ผมกำลังรอคำพูดเหล่านี้อยู่พอดีเลย

 

 

“อืม…ก็นะ เธอเองก็ผิดที่เข้ามาขัดขวาง แต่ยังไงก็เถอะ เป็นการต่อสู้ที่สนุกมาก”

 

 

“…”

 

 

“ดีล่ะ นักบวชที่อยู่ข้างๆ ฉัน เขาบอกว่ามันสนุกมากกับการที่เธอบุกเข้าไปแบบนั้น เพราะฉะนั้นเห็นทีจะต้องมีเมตตาเอื้อเฟื้อให้เป็นพิเศษหน่อยเสียแล้วสิ ถ้างั้นเธอจะให้ฉันช่วยใครล่ะ”

 

 

“ว่า…ว่าอะไรนะ”

 

 

แพคซอยอนพูดไปตัวสั่นงกๆ ไป ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ หล่อนโดยไม่ได้พูดอะไรออกไปเพิ่มเติม หลังจากนั้นจึงควักสิ่งที่ผมได้เตรียมการรอไว้ล่วงหน้า นั่นก็คือยาน้ำสำหรับรักษาหนึ่งขวดที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในออกมา แล้วจึงพูดออกไปด้วยเสียงดังพอที่จะให้ทุกคนได้ยินกันอย่างทั่วถึง

 

 

“ถึงจะมีแค่ขวดเดียว แต่สรรพคุณดีไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ ถ้าเธอใช้รักษาเพียงแค่คนๆ เดียว ยานี้จะช่วยรักษาคนที่ได้รับบาดเจ็บจากเกมในวันนี้ให้หายเป็นปลิดทิ้งได้”

 

 

“…”

 

 

“จะให้ช่วยถึงสองคนก็ยังพอไหวอยู่ แต่ประสิทธิภาพของยาก็จะลดลงตามปริมาณนั่นแหละ สามคนยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย”

 

 

“ถะ…ถ้าอย่างนั้น…”

 

 

“ยังไงก็ตาม เธอตัดสินเอาแล้วกันว่าจะให้ช่วยใคร”

 

 

ผมเคาะหัวหล่อนเล็กน้อย ก่อนจะยันกายลุกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วจึงค่อยหันหลังกลับไป และในระหว่างที่ผมกำลังเดินอยู่นั่นเอง ผมได้สบตาเข้ากับโกยอนจู จนกระทั่งถึงตอนนี้หล่อนก็ยังได้แต่เฝ้าดูอย่างเงียบๆ หล่อนมองมาที่ผม แล้วเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา

 

 

“ขอบคุณนะคะ เพราะซูฮยอนแท้ๆ เลยได้เห็นอะไรดีๆ”

 

 

“ดีใจนะครับเนี่ยที่ทำสำเร็จได้ตามที่หวังน่ะ ยังไงก็เถอะ เดี๋ยวผมกับนักบวชจะกลับไปดูที่ค่ายพักแรม เพราะงั้นฝากที่นี่ด้วยนะครับ”

 

 

“โลกเรานี่น้า แพคซอยอนที่แสนจะดีเลิศที่สุดในปฐพีเป็นแบบนี้เองหรอกหรือเนี่ย ได้ค่ะ เข้าใจแล้วว่าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงนะคะ จัดการเพียงแค่สองคนเท่านั้นใช่ไหมคะ”

 

 

“ครับ หากแพคซอยอนตัดสินใจได้แล้ว ก็ช่วยทำตามที่เธอว่าได้เลยครับ ขอลำบากยืมแรงเพียงแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้นครับ ถ้างั้นคุณนักบวช เราไปกันเถอะครับ”

 

 

ถึงแม้จะมีเพียงแค่โกยอนจูผู้เดียวที่คอยเฝ้าระวังพวกเร่ร่อน แต่ถึงอย่างนั้นทุกอย่างกลับพอดีและลงตัวมาก เท่าๆ กับที่หล่อนสามารถเสกสรรค์ปั้นกลุ่มเงาขึ้นมาได้เช่นนั้นเลย ผมรีบคว้าแขนของนักบวชมาจับไว้เพื่อไม่ให้หล่อนได้เห็นอะไรไปมากกว่านี้

 

 

นักบวชหันไปมองพวกเร่ร่อนเหล่านั้นอีกครั้ง แล้วจึงปรากฏรอยยิ้มออกมา พร้อมกับเริ่มออกแรงเดินตามผมไป

 

 

“พอมาคิดๆ ดูแล้ว ผู้หญิงคนนั้นช่างน่าสงสารจริงๆ เลยนะคะ”

 

 

“ครับ?”

 

 

ในระหว่างที่กำลังเดินกลับค่ายพักแรมนั้น นักบวชที่กำลังย่ำเท้าเดินด้วยความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าจึงได้พูดส่งเสียงดังกังวานออกมา

 

 

“พวกเร่ร่อนที่เริ่มสู้ก่อนคนแรกนั่นน่ะค่ะ อุตส่าห์ทุ่มเทตั้งใจสู้สุดฤทธิ์แล้วแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับทำได้แค่รอให้เขาเลือกตัวเองก็เท่านั้น”

 

 

“อ๋อ”

 

 

“จงใจทำแบบนั้นใช่ไหมล่ะคะ”

 

 

ผมไม่ได้ตอบคำถามของนักบวชออกไปแต่อย่างใด ผมได้สั่งการกับโกยอนจูว่าให้ช่วยจัดการคนจำนวนสองคนเท่านั้น ในกรณีของชินอายองนั้น แม้หล่อนจะไม่ได้เจ็บจนถึงขั้นปางตาย แต่หากหล่อนไม่ได้ถูกรับเลือกให้รักษาตัว สุดท้ายแล้วพวกเราก็ต้องหยิบยื่นความตายให้แก่หล่อนอยู่ดี

 

 

ไม่ว่าจะมองอย่างไร สุดท้ายแล้วเราก็ได้แต่เห็นแค่ว่ามีคนหนึ่งถูกฆ่าตาย ส่วนอีกคนก็สามารถเอาชีวิตรอดไปได้ หากมองในมุมของความจริง โดยไม่มีความรู้สึกสิ่งใดมาเจือปน จะเห็นได้ว่าถือเป็นจุดสูงสุดของการไม่ได้รับความยุติธรรมขนานแท้ ตัวผมเองก็ไม่ได้พึงพอใจในสิ่งเหล่านั้นแต่อย่างใด แต่เพราะฝ่ายตรงข้ามคือพวกเร่ร่อนก็เลยต้องเป็นแบบนั้น

 

 

“อ้า สงสารไปเถอะ ว่าแต่ตอนนี้ในใจของเจ้าพวกนั้นจะรู้สึกร้อนรุ่มกันสักแค่ไหนนะ คิกๆ”

 

 

‘สงสารหรือ หึ ก็เป็นอย่างที่คาด’

 

 

คำว่าน่าสงสารจากปากนักบวช ทำเอาผมรู้สึกยิ้มย่องอยู่ในใจ บางทีการตายอยู่ ณ ที่แห่งนี้ และ ณ ตอนนี้นั้น อาจจะยังถือว่าดีกว่าก่อนที่เราจะเดินทางไปถึงเมืองเสียอีก ไม่สิ ต้องเป็นเช่นนี้เท่านั้นจึงจะดี ถึงจะบอกออกไปว่าจะช่วยชีวิต ฟังดูแล้วอาจจะสวยหรู แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ความคิดเหล่านั้นกลับมีแค่หนึ่งหยิบมือเท่านั้น

 

 

พวกเราพูดเรื่องนู้นนี้ไปเรื่อยเปื่อย และแล้วจึงเดินทางมาถึงค่ายพักแรม การเฝ้าเวรตอนกลางคืนจนกว่าจะถึงเวลาเปลี่ยนเวรกันนั้น สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยที่ไม่มีสิ่งใดเสียหาย

 

 

เช้าวันต่อมา จำนวนพวกเร่ร่อนจากทั้งหมดเก้าคนลดลงเหลือเพียงเจ็ดคนตามที่ได้คาดการณ์ ผมลอบสังเกตดวงหน้าขาวซีดของอีกาอินกับอีแฮอิน หลังจากนั้นจึงค่อยแจ้งว่าพวกเรากำลังจะออกเดินทางไปยังเอเดนให้ผู้อื่นได้รับทราบ

 

 

ในขณะนี้ เมืองตรงหน้าอยู่แค่เพียงเอื้อมมือเท่านั้น

 

 

ผมกำลังไล่ไปตามเส้นทางเดิม พร้อมกับเช็คสถานการณ์ของพวกเร่ร่อนเป็นระยะๆ พลันเกิดบรรยากาศอันแสนมึนตัง ชวนน่าอึดอัดใจขึ้นมาในหมู่พวกเร่ร่อนที่เหลือเพียงเจ็ดคนเท่านั้น

 

 

น้ำยาที่ผมมอบให้แพคซอยอนนั้นแน่นอนแล้วว่าถูกนำไปช่วยรักษาคนไว้ถึงสองคนด้วยกัน โดยผู้เล่นที่แพคซอยอนได้เลือกนั้นก็คือ อีกาอินกับอีฮาอิน คนที่หล่อนให้ความไว้วางใจมากที่สุดนั่นเอง

 

 

ท้ายที่สุดแล้วจองฮยอนอูกับชินอายองต้องตายไป พวกเขาจะคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง อีกทั้งพวกเร่ร่อนที่อยู่เหลือ เฝ้ามองเหตุการณ์เช่นนั้นด้วยความรู้สึกอย่างไรเล่า

 

 

คำตอบที่ถูกต้องได้เฉลยออกมาแล้ว เพราะหลังจากผ่านคืนนั้นมา ทุกๆ คนล้วนเกิดการเปลี่ยนใจ เผยความปราถนาจนหมดสิ้น ยกเว้นเพียงแพคซอยอนกับอีกสองคนที่รอดชีวิตเท่านั้น แพคซอยอนเองก็ดูห่อเ**่ยวใจไปอย่างไรชอบกล แม้หล่อนจะเป็นหญิงใจดำอำมหิตถึงเพียงใดก็ตาม แต่ทว่าวันนี้ทั้งวันหล่อนเอาแต่ทำหน้าอมทุกข์ตลอดเวลา ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเกมในคืนวันนั้นที่ยังคงค้างคาในใจหล่อน

 

 

เหล่าผู้เล่นในตอนแรกๆ เอง ดูเหมือนมีคิดบ้างว่าจำนวนพวกเร่ร่อนได้ลดลงอย่างแปลกหูแปลกตา แต่ทว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังคงปฏิบัติตัวตามที่ผมต้องการ

 

 

ซึ่งอาจเป็นเพราะนักบวชคงได้ชี้แจงไปก่อนหน้านี้แล้ว หากจะมีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากนั้นมา คงจะเป็นเรื่องที่เหล่าผู้เล่นเริ่มหันมาจ้องเล่นงานแพคซอยอนกับคนที่หล่อนไว้ใจนั่นเอง ส่วนอีกสี่คนที่เหลือนั้น คงเป็นเรื่องยากหากจะบอกว่าพวกเขาทำดีด้วย แต่ถึงกระนั้นการกลั่นแกล้งอย่างที่เคยแล้วๆ มาก็ได้ลดลงไปจากเมื่อก่อนพอสมควร อีกทั้งยังแจกจ่ายปริมาณอาหารและเครื่องดื่มให้พวกเร่ร่อนตามปริมาณปกติอีกด้วย

 

 

ขณะนี้พวกเรากำลังเดินไปตามเส้นทาง โดยป้องกันค่ายพักแรมไปด้วย เมื่อสามวันก่อน พวกเราสามารถหลุดพ้นออกมาจากทุ่งหญ้าที่อยู่ติดกับป่าไม้มาได้ ซึ่งพื้นที่ที่อยู่ถัดมาจากทุ่งหญ้าอันเต็มไปด้วยพืชพันธุ์แสนเขียวชอุ่มนั้นคือ ที่ราบอันแสนเวิ้งว้าง ทิวทัศน์ตรงหน้าผมมันทั้งโดดเดี่ยว อ้างว้าง แห้งกรังไปเสียหมด ไม่เห็นแม้แต่พุ่มหญ้าเลยสักพุ่มเมื่อเทียบกับทุ่งหญ้าก่อนหน้านี้

 

 

สี่ทิศรอบกาย ณ ขณะนี้เป็นเพียงพื้นที่โล่งโปร่ง ไม่มีอะไรเลยสักนิด แต่ทว่าหลังจากผมได้เข้ามายังทุ่งทรายแล้ว ผมจึงเกิดความรู้สึกเบาใจเล็กน้อย เนื่องจากว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่ในความทรงจำของผมอย่างไม่มีผิดเพี้ยนแน่นอน เพราะฉะนั้นผมจึงคุ้นเคย และสามารถจับทิศทางได้เหมือนอย่างแต่ก่อน

 

 

ผมผลักดันให้ทุกคนเดินขบวนเป็นแถว ยกเว้นในกรณีที่จำเป็นจะต้องหยุดพักบางระยะเท่านั้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการกระทำเช่นนี้คือ พวกเราสามารถมาถึงจุดกึ่งกลางของทุ่งทรายได้อย่างรวดเร็ว จุดนี้มีชื่อว่า ‘สุสานแห่งกษัตริย์’

 

 

“ว้าว”

 

 

“โอ้โฮ สุดยอด”

 

 

อันซลกับคูเยจี สาวน้อยนักฆ่าใช้สายตากวาดมองซากโบราณวัตถุที่ถูกขุดค้น พร้อมกับชื่นชมออกปากอย่างไม่ขาดสาย โดยสุสานแห่งกษัตริย์แห่งนี้มีโครงสร้างทั่วไปคล้ายกับเพนตาแกรม[1] ซึ่ง ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงใจกลางนี้มีแต่ความใหญ่โต โอ่อ่า ให้ความรู้สึกราวกับพีระมิด

 

 

อันซลกับคูเยจีกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกันอยู่สองคน หลังจากนั้นจึงเดินตรงดิ่งเข้ามาหาผม เครื่องหมายคำถามกระเด้งออกมาจากหัวของหล่อนอย่างเห็นได้ชัด แล้วจึงถามผมว่า

 

 

“ท่านพี่ขา ท่านพี่ มีเรื่องสงสัยค่ะ”

 

 

“หืม สงสัยอะไรล่ะ”

 

 

“ที่นี่คือสุสานแห่งกษัตริย์ที่พี่ชายค้นพบนี่นา แต่ว่านะ ทำไมถึงเพิ่งถูกค้นพบล่ะคะ ทั้งๆ ที่ออกจะใหญ่โตซะขนาดนี้”

 

 

“อ้อ อันนี้ง่ายมาก จำตอนที่เราค้นพบคุกใต้ดินของวิเวียนเมื่อคราวก่อนนู้นได้ไหมล่ะ”

 

 

พอผมยิงคำถามกลับไป อันซลก็ได้แต่กะพริบตาอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วเครื่องหมายคำถามที่เคยมีอยู่แต่เดิม ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นเครื่องหมายตกใจแทน ดูเหมือนหล่อนจะค้นหาคำตอบได้แล้ว หล่อนตบมือดังฉาดพร้อมตอบกลับมาว่า

 

 

“อ๋อ! ม่านเวทนำทางนั่นเอง!”

 

 

“ใช่แล้ว ฉลาดจริงๆ เลยนะเนี่ย ว่าแต่รู้ได้ไงว่าพี่ชายเป็นคนค้นพบสุสานกษัตริย์น่ะ?”

 

 

ผมลูบหัวพลางถามหล่อนกลับไปอีกครั้งหนึ่ง อันซลจึงเอี้ยวตัวเข้ามา ตอบด้วยสีหน้าท่าทางทำเหมือนรู้ดี

 

 

“แหะ ๆ ฉล่งฉลาดอะไรกันเล่า คือว่าตอนนั้นฉันแอบย่องเข้าห้องท่านพี่ไป แล้วก็บังเอิ๊ญบังเอิญได้อ่านจากบันทึกน่ะค่ะ… แหะๆ”

 

 

“หา? ว่าไงนะ”

 

 

หูของผมเกิดความสงสัยขึ้นมาในทันที

 

 

พอมาคิดทบทวนดูแล้ว ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนเคยมีกรณีที่ข้าวของต่างๆ ในห้องทำงานค่อยๆ หายไปอย่างลึกลับทีละชิ้นๆ ข้าวของที่หายไปจะเป็นประมาณพวกถ้วยน้ำชาอะไรแบบนั้น ดังนั้นผมเลยคิดตีความไปว่าโกยอนจูอาจจะเก็บไว้ให้ก็ได้ จึงไม่นึกเอะใจอะไร

 

 

พอผมหันสายตากลับไปมองหล่อนอีกครั้ง คราวนี้อันซลยืนตัวแข็งทื่อเป็นน้ำแข็งเลยทีเดียว ที่หน้าของหล่อนนั้นมีแต่คำว่า ‘ซวยแล้ว’ เขียนแปะอยู่เต็มไปหมด

 

 

“อ้า เอิ่ม คือว่า”

 

 

“อันซล ยัยเด็กเจ้าปัญหา…”

 

 

ผมพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด อันซลเห็นดังนั้นจึงรีบเม้มปากปิดแน่นเหมือนกับคนแก่ที่มีแต่เหงือก การกระทำของหล่อนเช่นนี้ดูแล้วคงมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะใช้วิธีนิ่งเงียบ ไม่ยอมตอบสิ่งใดออกมาแน่นอน อย่างไรก็ตามผมเองก็มีความคิดว่าจะใช้โอกาสในคราวนี้ แก้ไขนิสัยแบบนี้เสียที และในช่วงที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปนั้น

 

 

“ซูฮยอน”

 

 

ในตอนนั้นผมจึงได้ยินเสียงโกยอนจูกำลังเรียกผม หล่อนหยุดยืนยิ่ง หันหน้าไปทางนู้นที ทางนี้

 

 

“มีเรื่องอะไรหรือครับ”

 

 

“ขะ ขอเวลาเดี๋ยวค่ะ”

 

 

โกยอนจูกำลังทำหน้าที่อย่างจริงจัง ไม่ผิดแปลกไปจากยามปกติ หล่อนส่งสัญญาณในทุกคนหยุดการเคลื่อนไหว พร้อมกับจ้องมองไปยังทิศหนึ่ง ความตึงเครียดค่อยๆ แผ่ซ่านออกมาอย่างชัดเจน ผมเห็นดังนั้นจึงรีบปลุกพลังเวทและดึงประสาทสัมผัสทั้งหมดออกมา พร้อมกันนั้นก็ใช้การรับรู้และการเข้ายึดครองในทิศทางที่โกยอนจูจ้องมองออกไป

 

 

‘เอ๊ะ?’

 

 

 

 

 

 

[1] เพนตาแกรม Pentagram มีลักษณะรูปร่างเป็นดาวห้าเหลี่ยม โดยเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความทรงเกียรติและศักดิ์สิทธิ์ดีงาม