วินาทีนั้นผมรู้สึกถึงพลังเวทอันแข็งแกร่งวนเวียนอยู่ภายในขอบเขตพื้นที่กว้างๆ แห่งนี้ ไม่รู้ว่าพลังที่ว่านี้มีกำลังมากขนาดระเบิดปรมาณูเลยหรือไม่ เพราะผมรู้สึกได้ถึงขนาดที่ว่าเส้นทาง ณ ตอนนี้ได้แยกออกจากกันเล็กน้อย อีกทั้งร่างกายยังเกิดอาการชาเล็กๆ อีกด้วย
“โกยอนจู ทิศทางและเส้นทางล่ะ”
“ทิศทางดูเหมือนกำลังเข้ามาทางทิศตะวันออกเล็กน้อยนะค่ะ ไม่สิ ทิศตะวันออกเลยล่ะ หากเราลองเดินตามทางไปเรื่อยๆ อาจประจันหน้ากันก็ได้ แต่ฉันก็ไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่หรอกนะคะ ส่วนเส้นทางฉันคาดเดาให้แม่นๆ ไม่ได้หรอก แต่ว่าถ้าพลังเวทมันแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้แล้วล่ะก็ บางที…”
“…”
“จะทำยังไงดีล่ะ ความกระหายเลือดมันส่งกลิ่นชัดเจนมากๆ ในช่วงที่เราเอาแต่คิดสบายใจเฉิบอยู่แบบนี้น่ะค่ะ”
คำพูดของโกยอนจูทำเอาผมตกอยู่ในห้วงความคิดไปชั่วขณะ สาเหตุที่ผมเลือกเส้นทางนี้คือ เป็นเส้นทางที่สามารถมุ่งหน้าไปเอเดนได้เร็วที่สุด มิหนำซ้ำสุสานแห่งกษัตริย์นี้ยังถูกเข้ายึดครองไปแล้วเรียบร้อย เพราะฉะนั้นผมจึงทราบดีว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง ดังนั้นผมจึงคาดการณ์ไว้ว่าเราคงจะไม่ได้รับอันตรายร้ายแรงอะไรมากนัก แต่ทว่ามันกลับไม่ใช่อย่างที่ผมคิดไว้เลยสักนิด
แน่นอนว่าเหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ ก็สามารถใช้เส้นทางนี้ได้เช่นกัน แต่ทว่าสถานการณ์ ณ ปัจจุบันนี้ล้วนตกอยู่ในความวุ่นวาย เราอาจคิดเพียงว่าอยากจะข้ามๆ ผ่านไป แต่ความกระหายเลือดที่รู้สึกได้นั้นก็ได้เริ่มชัดเจนมากขึ้น
‘ไม่นะ เดี๋ยวก่อน พลังเวทนี้มัน…’
ผมตั้งใจว่าจะสั่งการให้เตรียมพร้อมต่อสู้และรับมือกับสถานการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้น แต่ทว่าผมก็ได้ลดมือลง เพราะผมรู้สึกคุ้นเคยกับพลังเวทที่ว่านี้อย่างน่าประหลาด ผมได้แต่ภาวนาขอให้ไม่ใช่อย่างที่คิดอยู่ภายในใจ หลังจากนั้นจึงเดินไปหาเหล่าผู้เล่น พร้อมพูดว่า
“เห็นทีเราจะต้องเคลื่อนตัวไปยังทิศทางที่รับรู้ได้ถึงพลังเวทกันเสียก่อนนะครับ ผมจะเดินนำเอง แต่ยังไงก็ขอให้ทุกคนช่วยดูแลตัวเองด้วยนะครับ เพราะมันอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่เราคาดไม่ถึงขึ้นมาได้เช่นกันครับ”
ผมรีบก้าวเท้าเดินไปยังทิศทางที่รู้สึกได้ถึงพลังเวททันที หลังจากพูดประโยคเหล่านั้นจบ
“พี่คะ ขอบคุณนะคะ”
“หะ…หืม?”
ผมได้ยินเสียงอันซลถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่ด้านหลัง
พวกเราใช้เวลาเดินไปได้น่าจะประมาณยี่สิบนาที ซึ่งเป็นช่วงที่ผิวหนังผมรับรู้ได้ถึงพลังเวท หรือระดับความกระหายเลือดที่พุ่งขึ้นทวีคูณ
ผมสามารถมองเห็นได้ด้วยตาตัวเองแล้วว่ามีพายุฝุ่นกำลังพัดกรรโชกแรงอยู่ตรงหน้าโน้น ซึ่งอาจเป็นเพราะมีใครบางคนใช้พลังเวทวายุพร้อมทั้งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้นั่นเอง ผมจึงตัดสินใจหยุดการเคลื่อนไหว แล้วยืนเฉยๆ เพื่อเฝ้าสังเกตจุดศูนย์กลางของพายุฝุ่นเหล่านั้น ทันใดนั้นผมจึงสามารถยืนยันกับตัวเองได้แล้วว่ากำลังมีใครบางคนมุ่งหน้ามาทางนี้ด้วยความเร็วสูงอย่างแน่นอน
‘อยู่ไม่ได้แล้วละคราวนี้’
ผมปลุกพลังที่แฝงอยู่ภายใน พอยืนยันถึงรูปพรรณสันฐานของ ‘ใครบางคน’ ได้แล้วนั้น ผมจึงถอนหายใจออกมายาวๆ ผมได้แต่ภาวนาว่าขอให้ไม่ใช่อย่างที่คิดถึงด้วยเถอะ…
ในช่วงที่ตัวเอกคนสำคัญที่เสกพายุฝุ่นขึ้นมา สามารถเข้ามาจนถึงบริเวณนี้ได้นั้น ผมยกมือขึ้นมาอย่างเงียบๆ เขาคนนั้นมองผมอยู่แวบหนึ่ง แล้วจึงปล่อยให้ลมพายุเหล่านั้นพัดผ่านเลยไป และในช่วงเวลาที่นับได้เพียงแค่สามวินาทีเท่านั้น จึงบังเกิดเสียงพลังเวทจากด้านหลังพุ่งมาเสียดสีกับพื้นดิน ส่งเสียงดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ
“ซะ ซูฮยอน?”
“…เฮ้อ”
วินาทีนั้น ความกระหายเลือดที่เคยเข้ามาเสียดสีกับผิวหนังอยู่เมื่อครู่ก่อนหน้านี้ค่อยๆ ทุเลาความเจ็บแสบลงไป
“ซูฮยอนเหรอ? ซูฮยอน!”
“…เออ”
ตัวเอกคนสำคัญของพายุฝุ่นที่ว่านั้นก็คือ คิมยูฮยอน พี่ชายของผม ถึงผมจะภาวนาขอให้ไม่ใช่อย่างไรก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วพี่เขาก็ทำลายความปราถนาของผมไปอย่างไม่มีชิ้นดี
“ซูฮยอน!”
“พี่ เดี๋ยวก่อน”
พี่เขาเดินเข้ามาทันทีทันใด แล้วดูท่าเหมือนจะมากอดผมไว้ ผมเห็นดังนั้นจึงรีบปรามเขาตั้งแต่เนิ่นๆ ว่า
“ร่างกายผมโอเคดี ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน แต่ก่อนอื่นนะ ช่วยเอาแขนลงก่อนได้ไหม”
“เอ๋? อ้อ โอเค”
มีสายตามากมายหลายคู่กับจับจ้องมา ผมแค่อยากจะกันไว้ เผื่อมีข่าวลือ ‘คิมยูฮยอนกับคิมซูฮยอนเป็นพี่น้องที่รักกันปานจะกลืนกิน’ อะไรประมาณนี้ออกไป พี่ยูฮยอนเองก็ดูหยุดชะงักไปในทันที แล้วจึงค่อยๆ ลดแขนซ้ายลงไป
“ข้างขวาด้วย”
“…”
‘แล้วนี่ไม่รู้ตัวหรือไงเนี่ย ว่ากำลังลูบหัวผมอยู่น่ะ’
พี่ยูฮยอนค่อยๆ ลดมือขวาลงช้าๆ อาจเป็นเพราะเริ่มกระดากใจจากการตอบสนองอันแสนเย็นชาจากผม แต่แล้วพี่เขาก็ยังใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้งจ้องมองมายังหัวผม ชักจะสงสัยขึ้นมาเสียแล้วสิ ว่าบนหัวผมมันมีน้ำผึ้งทาอยู่หรืออย่างไร ในระหว่างที่สายตาทุกคู่ล้วนกำลังจับจ้องอยู่นั้น ผมกับพี่ยูฮยอนยืนเข้าใกล้กันมากขึ้น
“ซูฮยอน ไม่บาดเจ็บอะไรตรงไหนใช่ไหม หือ?”
“อืม ถ้าตัดเรื่องความเหนื่อยนิดๆ หน่อยๆ ไป ก็โอเคดี”
“เฮ้อ โชคดีไป งั้นนายออกมาจากมิวล์ใช่ไหม”
“ใช่ ว่าแต่พี่มาทำอะไรที่นี่”
ผมไม่ได้คาดหวังให้พี่แกตอบกลับมาจริงๆ จังๆ หรอก เพราะผมเองก็คาดการณ์ไว้แล้วละว่าจะต้องเกิดเรื่องราวประมาณนี้ ดังนั้นผมจึงจ้องตาเขม็งกลับไป ซึ่งอาจเป็นเพราะคำพูดของผมได้ไปจี้ใจดำเขาก็ได้ เขาจึงรีบหลบสายตา กระแอมไอแล้วพูดออกมาว่า
“อะแฮ่ม ซูฮยอน พูดอะไรแบบนั้นเล่า พี่ก็เสียใจแย่เลยสิ ก็เห็นนายบอกจะไปมิวล์นี่นา แต่งานมันกลับพัง มั่วไปหมด ไหนจะกังวลเรื่องน้องชายอีก…”
“เฮ้อ…งั้นพี่ก็เก่งดีนี่ ลุยเองคนเดียวไม่มีกลยง กลยุทธ์อะไรกับเขาเลยแบบนี้น่ะ”
“ไม่หรอก ไม่ใช่แบบนั้นหรอก…”
“ไม่ได้ทำอะไรเงียบๆ หรอกเหรอ”
ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ จึงใช้เสียงสูงในการพูด พี่ยูฮยอนเกาหัวด้วยสีหน้าเก้อเขิน
‘กำลังคิดบ้าบออะไรของเขาอยู่เนี่ย’
หากโกยอนจูไม่ไหวตัวต่อพลังเวทได้ล่ะ? หากพี่ยูฮยอนเดินทางไปมิวล์ทั้งอย่างนั้น โดยที่ไม่รู้ความจริงเลยว่าผมได้กลับออกมาแล้ว เราจึงสวนทางกันล่ะ?
แค่คิดผมก็กลัวขนลุกซู่แล้ว การกลับมาครั้งที่สองของผมคงไม่มีค่าอะไร หากต้องส่งพี่ชายไปตายทั้งแบบนั้นอีก
ผมมองพี่ยูฮยอนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ หลับตาพร้อมถอนหายใจออกไปแรงๆ หลังจากนั้นจึงค่อยๆ สงบสติอารมณ์ที่กำลังเดือดอยู่ตอนนี้ ผมแค่คิดว่าทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของผมทั้งนั้น อย่างน้อยหากผมเตรียมคริสตัลสำหรับสื่อสารทางไกลไว้เสียหน่อย ก็คงจะไม่มีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้น
“แล้วพี่ยังสติดีอยู่ไหม หรือไม่มีสติแล้วกันแน่? รู้หรือเปล่าว่าที่นั่นมันมีคนตั้งกี่พันคน ทะลึ่งมาตัวคนเดียวแบบนี้ จะไปทำอะไรได้…”
“ฮ่าๆ ซูฮยอน ฉันไม่ได้มาคนเดียวสักหน่อย”
ทันทีที่ผมลืมตาขึ้นมา เพราะอยากจะพูดอะไรบางอย่างกลับไป แต่แล้วกลับได้เห็นพี่ยูฮยอนกำลังยืนชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่งอยู่ มีเหล่าผู้เล่นกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบจาก ณ จุดนั้น
“แฮ่ก แฮ่ก!”
“เฮ้อ แฮ่ก แฮ่ก!”
เหล่าผู้เล่นที่สามารถผ่านพ้นออกมาได้สำเร็จกำลังมองเหล่าผู้เล่นบางส่วนที่กำลังล้มลง หายใจกระหืดกระหอบอยู่ที่พื้นด้วยสายตาแปลกๆ อาจเป็นเพราะวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วระดับหนึ่ง จึงทำให้ผู้เล่นบางส่วนมีอาการหน้าซีดอันเกิดจากความเหนื่อยล้า หากคนไม่รู้เรื่องราวมาก่อนเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้เข้า อาจจะดูเหมือนพวกเราเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาก็เป็นได้
ผมเองก็เกิดความสับสนงุนงงไม่แพ้กัน ที่พี่ยูฮยอนบอกว่าไม่ได้มาคนเดียวนั้นเป็นเรื่องจริงเสียแล้วสิ จำนวนคนที่ผมเห็นอยู่ในตอนนี้ เห็นทีจะเป็นเผ่าเมอร์เซนต์นารี่เสียส่วนใหญ่ แล้วก็เผ่าแฮมิล แม้กระทั่งซองฮยองมินที่เป็นแคลนลอร์ดก็ยังเห็น
“พะ…พี่?”
“แฮ่ก แฮ่ก! ซะ…ซล! พะ…พี่! แฮ่ก แฮ่ก!”
อันซลเบิกตาโพลง วิ่งเข้าไปหาโดยทันที ส่วนอันฮยอนได้แต่ตอบออกไปสั้นๆ อย่างลำบาก แล้วจึงเริ่มหายใจหอบอีกครั้ง ผมได้ถลึงตา หันกลับไปมองพี่ชายตัวเองอีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่าเขากลับเสมองไปยังภูเขาที่อยู่ห่างไกลแทน
ผมจึงถอนหายใจออกมาอีกรอบของวัน แล้วเดินไปหาสมาชิกเผ่าที่กำลังหอบแฮกอยู่ที่พื้น มีเหล่าผู้เล่นอยู่หลายคนก็จริง แต่ทว่าคนที่อยู่ในสายตาของผมมากที่สุดรองจากพี่ชายก็คือสมาชิกเผ่าของผมนี่แหละ
ผมเดินไปหาหญิงสาวคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีฟ้าอ่อน หล่อนกำลังบิดเอวไปมา พร้อมกับถ่มน้ำลายทิ้งอย่างสุภาพเรียบร้อย หลังจากนั้นเหมือนหล่อนจะรู้สึกตัวว่าผมเดินเข้ามาหา จึงรีบจัดการเช็ดขอบปากตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วเงยหน้าขึ้นมา หญิงสาวผู้นี้คือ จองฮายอน
“ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“แฮ่ก แฮ่ก! มะ…ไม่เป็นไรค่ะ ฮะ…แฮ่ก!”
“…”
“แฮ่ก! ว่าแต่…ทำไม…ฉันถึงคิดว่า…คำถามมัน…กลับตาลปัตรกันแบบนี้เนี่ยคะ แฮ่ก!”
อาจเป็นเพราะได้ยินคำพูดของจองฮายอน จึงทำให้เกิดเสียงหัวเราะเบาๆ ในทั่วทุกสารทิศ แม้แต่คนที่ยังหอบหายใจอยู่ก็หัวเราะไปกับเขาด้วย
ผมรู้สึกเขินหน่อยๆ จึงหันกลับไปมองสมาชิกเผ่าอีกครั้งหนึ่ง ได้เห็นหน้าค่าตาของทุกๆ คนเลย ยกเว้นแพคฮันกยอลกับเจ้ายูนิคอร์นน้อยเท่านั้น
ใบหน้าของทุกคนดูมีความเหนื่อยหน่ายเจือปนอยู่บ้าง แต่พอหันมามองผม พวกเขาจึงทำสีหน้าโล่งใจได้ในที่สุด โดยเฉพาะอียูจองที่ทำปากขมุบขมิบตลอดเวลา ดูเหมือนหล่อนอยากจะพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่หล่อนก็กำลังเช็ดตาป้อยๆ ทำเสียงขึ้นจมูก เหมือนคนลำคอตีบตัน
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังมีบางมุมที่ยังไม่เข้าใจ พี่ชายของผมน่ะ เขาชื่นชอบผมก็จริง แต่ทว่าผมไม่เคยคาดคิดเลยว่าคนอื่นๆ จะออกตามหาตัวผมเช่นนี้ด้วย
อย่างไรก็ตามแต่ การที่ผมได้เห็นท่าทีเหนื่อยขนาดนี้ของพวกเขานั้น อย่างน้อยก็ทำให้ผมสามารถผ่อนคลายความกังวลที่เคยอัดแน่นอยู่ข้างในมาเป็นระยะเวลานานได้ภายในครั้งเดียว ผมกังวลอยู่ว่าควรจะต้องพูดอะไรกับสมาชิกเผ่าของผมดี และในท้ายที่สุดผมจึงพูดออกไปอย่างสุขุมว่า
“ทุกคน…ทำไมถึงมากันได้ล่ะครับ คงลำบากแย่เลยนะครับ”
“ซูฮยอน พูดอะไรแบบนั้นล่ะคะ คุณเป็นแคลนลอร์ดนะคะ แล้วพวกเราก็เป็นสมาชิกเผ่าด้วย เราเป็นกังวลเลยมานี่ไงละคะ จะให้แค่นั่งรอเฉยๆ ยืนยันข่าวว่าคุณยังมีชีวิตอยู่อย่างเดียวไม่ได้หรอกนะคะ”
“…ยืนยันว่าผมยังมีชีวิตอยู่หรือครับ”
“ใช่ พวกเราทราบเรื่องนี้ได้เพราะคุณวิเวียนเลย”