อาจเป็นเพราะหล่อนควบคุมลมหายใจได้ดีแล้ว จึงทำให้จองฮายอนสามารถกลับมาพูดได้ด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนเดิม หลังจากนั้นผมจึงหันไปเพื่อมองหาตัววิเวียน แต่แล้วกลับพบกับนักเล่นแร่แปรธาตุหญิงผู้หนึ่ง กำลังนอนราบอยู่บนพื้นดิน สงสัยเซลล์ที่ทำให้รู้สึกกระดากอายของหล่อนเ**่ยวเฉาไปแล้วมั้ง
เหมือนวิเวียนจะได้ยินเรื่องราวของตัวเอง จึงทำให้หันหน้ามองซ้าย มองขวาทั้งที่นอนอยู่อย่างนั้น และในวินาทีที่เราได้สบตากันนั้น หล่อนก็ผงกหัวอย่างคนอวดดี แล้วจึงหยิบบันทึกอะไรบางอย่าง ขนาดประมาณกระดาษเอสี่ที่อยู่ด้านในออกมา
และสิ่งนั้นคือสัญญาทาสของผมกับวิเวียนนั่นเอง
หลังจากที่ผมได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ ที่แทบจะไม่มีความง่ายดายผสมอยู่ในนั้นกับสมาชิกเผ่าจากนั้นผมก็ต้องเข้าไปปลอบสมาชิกเผ่าที่ยืนน้ำตาคลอ แล้วผมจึงได้ยินข้อมูลบางอย่างคร่าวๆ จากพี่ชาย
ในตอนแรกนั้น พี่ยูฮยอนตั้งใจจะออกเดินทางตัวคนเดียว แม้ว่าจะโดนเผ่าแฮมิลคัดค้านอย่างหนักหน่วงก็ตาม แต่ทว่าในตอนนั้น สมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ที่กำลังติดตามข้อมูลของผมอยู่นั้นได้บังเอิญเข้ามาเยี่ยมเยียนพอดิบพอดี เขาจึงได้ทราบความจริงจากสัญญาของวิเวียนว่าผมยังคงมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังบอกอีกว่ามีการรวมตัวกันเพื่อสวดอธิษฐาน และจัดตั้งหน่วยกู้ภัยเพื่อตามตัวผมกลับมาอีกด้วย
อย่างไรก็ตามถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมายนัก แต่ผมก็นึกขอบคุณที่ช่วยตั้งหน่วยกู้ภัยนี้ขึ้นมา สาเหตุที่ตั้งนั้นไม่ว่าจะเนื่องด้วยเหตุผลใด แต่เหล่าผู้เล่นที่ผมเห็นตรงหน้านี้เป็นกลุ่มคนที่ยอมก้าวออกมาเข้าร่วม ทั้งๆ ที่ตัวเองอาจจะเอาชีวิตมาทิ้งก็ได้
“ทั้งที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าคุณยังมีชีวิตอยู่…แต่พอได้มายืนอยู่ตรงหน้าแบบนี้…พวกเรายังใจเต้นโครมครามอยู่ไม่หายเลยค่ะ”
จองฮายอนทาบมือทั้งสองข้างลงบนหน้าอก แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสนกินใจ
“งือ แล้วรู้หรือเปล่าว่าฉันเองก็ตกใจมากแค่ไหน”
“ยะ ยูจอง เช็ดน้ำตาสักหน่อยเถอะนะ หัวหน้าของเราจะเหนื่อยแย่เอาเปล่าๆ นะ ฮ่าๆ”
ชินซังยงยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี แล้วพูดประโยคนั้นออกไป อียูจองเห็นดังนั้นจึงรีบหันซ้าย หันขวามองรอบๆ ตัว แล้วจึงรีบใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งไปทันที อันฮยอนเห็นจองฮายอนกับอียูจองเช่นนั้น จึงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ พร้อมกับเข้ามากระซิบกระซาบผม
“หึๆ พี่ๆ เป็นพี่นี่ดีจังเลยเนอะ”
“หืม? อะไรเหรอ”
“แหม ก็พอรู้ข่าวว่าพี่หายตัวไปปั๊บก็ชุลมุนวุ่นวายไปซะหมด โดยเฉพาะพี่ฮายอน ยูจอง แล้วก็คุณอิมฮันนา แค่น้ำตาของสามคนนี้รวมกันก็ได้ทะเลใหญ่ๆ มาได้เลยล่ะมั้งนั่น…เฮ้อ อิจฉาจริง จริ๊ง!”
“…?”
ผมฟังประโยคเหล่านั้นของอันฮยอน พร้อมเอียงคอสงสัย จองฮายอนกับอียูจองน่ะเป็นอย่างที่เขาว่านั่นแหละ แต่ที่เขาบอกว่าขนาดอิมฮันนายังร้องไห้ไปกับสองคนนั้นด้วย จุดนี้ผมไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่นัก ผมจึงหันกลับไปมองหล่อน แล้วก็ค้นพบว่าหล่อนยืนกุมมือเรียบร้อยอยู่ด้านหลัง
และในวินาทีที่อิมฮันนาสบตาเข้ากับผม หล่อนจึงยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าให้ทันที ไม่รู้ว่าเป็นนักธนู แล้วจึงมีหูทิพย์ด้วยหรือไม่ เพราะดูท่าแล้วหล่อนคงได้ยินคำพูดกระซิบกระซาบของอันฮยอนเป็นแน่ ดังนั้นผมจึงเกิดความสงสัยเกี่ยวกับจิตใจข้างในของหล่อน
‘ถ้ามีโอกาสคราวหน้า สงสัยต้องลองเข้าไปถามแล้วสิ’
ผมตัดสินใจไว้เช่นนั้น แล้วจึงค่อยๆ เปิดปากพูดอย่างสุขุมว่า
“ยังไงก็ตาม ขอขอบคุณทุกๆ คนที่มามากๆ เลยนะครับ แล้วก็หากมีสมาชิกเผ่าคนไหนที่ตกใจ เพราะผมเป็นต้นเหตุ ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ”
“ไม่หรอกน่า พี่ล่ะก็ ผมน่ะเชื่อมั่นอยู่แล้วว่าพี่จะต้องกลับมา แล้วก็เรื่องบุกโจมตีอะไรนั่นน่ะ ไม่มีใครเขาคาดคิดไปถึงขั้นนั้นเลยด้วยซ้ำ แค่ได้กลับมาพร้อมร่างกายที่แข็งแรง สุขภาพดีก็เพียงพอแล้วนี่ครับ ใช่ไหมล่ะ เจ้าพวกเด็กขี้แยทั้งหลาย? อั้ก!”
ในที่สุดอันฮยอนก็โดนจองฮายอนกับอียูจองเขกเข้าให้ ผมได้แต่ก้มมองเจ้าหมอนี่ที่ร้องโอดโอยอยู่กับพื้น แล้วจู่ๆ ผมก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงหันกลับไปมองด้านหลัง ข้างหลังผมนั้นมีคิมฮันบยอลกับท่านผู้เฒ่ายืนอยู่ ทั้งสองคนมีสีหน้าแปลกๆ อย่างไรชอบกล
โกยอนจูกับอันซลเดินเข้าหาสมาชิกเผ่า แล้วก็แชร์เรื่องราวต่างๆ กับสมาชิกเผ่า แต่ทว่าคิมฮันบยอลนั้นดูน่าสงสารแปลกๆ ก้มหน้าก้มตามองพื้นดินที่อยู่ข้างล่างตลอดเวลา
“อย่างไรก็ตาม อย่างที่อันฮยอนได้พูดนั่นแหละครับ ว่าผมกับสมาชิกเผ่าได้กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เพราะฉะนั้นคลายความกังวลได้แล้วนะครับ อ้า แล้วก็จะแนะนำตัวให้ช้าไปหรือเปล่าเนี่ย ท่านนี้คือ ท่านผู้เฒ่าครับ ท่านเพิ่งมาเข้าร่วมกับพวกเราตั้งแต่อยู่มิวล์ ผู้เล่นอีมันซองครับ คิมฮันบยอล ท่านผู้เฒ่าครับ เชิญทางนี้ครับ”
ท่านผู้เฒ่าอาจคิดว่าตัวเองอยู่แปลกที่แปลกทาง จึงได้แต่ยืนฟังคนอื่นๆ พูดอยู่ฝ่ายเดียว แต่แล้วในที่สุดท่านผู้เฒ่าจึงทำสีหน้าสดใสมากยิ่งขึ้น แล้วเดินเข้ามาแนะนำตัว ทักทายทุกคน
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมอีมันซอง เพิ่งได้เข้าร่วมใหม่ในครั้งนี้ครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันจองฮายอนค่ะ ยินดีกับคุณอีมันซองด้วยนะคะ ที่ได้มาเข้าร่วมกับพวกเรา”
“ฮ่าๆ ขอบคุณครับ ตัวผมก็ไม่ใช่คนเก่าแก่ อยู่มาตั้งแต่เริ่มแรก เพราะฉะนั้นอาจจะไปรบกวนอะไรแคลนลอร์ดบ้าง แต่ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวไว้ด้วยนะครับ”
“ต้องเป็นพวกเราสิที่ต้องฝากเนื้อฝากตัวน่ะค่ะ อ้า แล้วก็ดูเหมือนมีอายุมากกว่าพวกเราเล็กน้อย เพราะฉะนั้นพูดแบบสบายๆ ก็ได้นะคะ”
จองฮายอนเป็นตัวแทนของสมาชิกเผ่าที่คอยรับคำทักทายเหล่านั้น ท่านผู้เฒ่าดูประทับใจกับหล่อน จึงได้ส่งมอบรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น พร้อมก้มศีรษะให้
บรรยากาศชวนอึดอัดเมื่อก่อนหน้า สามารถข้ามผ่านมาเป็นช่วงเวลาแห่งการแนะนำไปได้อย่างราบรื่น ผมเห็นดังนั้นจึงโล่งใจไปได้อย่างหวุดหวิด
ในตอนนั้นเอง
“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
ผมได้ยินเสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้นมา จึงหมุนกายกลับไปทันที และแล้วจึงได้พบกับบุคคลหนึ่งที่แม้แต่ตัวผมยังไม่คาดคิดมาก่อน ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ชายหนุ่มทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน พร้อมส่งยิ้มเขินๆ มาให้ คนแรกคือ ซองฮยองมินที่เพิ่งได้พบกันเมื่อครู่ ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น คือ…
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”
ชินแจรยง
“ลอร์ดเผ่าฮั่นกับคุณผู้เล่นชินแจรยงงั้นเหรอครับ?”
“จำได้ด้วยนะครับเนี่ย โชคดีมากครับที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วได้มาเจอกันแบบนี้”
“อ้อ ครับ แต่ทั้งสองคนมาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร…แล้วก็เมื่อครู่นี้ ผมยังไม่เห็นคุณชินแจรยงเลย”
“ผมคิดว่าควรให้คุณไปแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ กับสมาชิกเผ่าของคุณก่อนเป็นอันดับแรก ผมจึงปลีกตัวออกมาน่ะครับ ฮ่าๆ แล้วก็…”
ซองฮยองมินกับชินแจรยงมองหน้ากันและกันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วชินแจรยงจึงเริ่มพูดออกมาก่อนว่า
“ความจริงแล้วผมได้มาเข้าร่วมหน่วยกู้ภัยนี้ด้วยความบังเอิญน่ะครับ”
“บังเอิญหรือครับ”
ผมถามกลับไปในทันที ชินแจรยงจึงตอบกลับมาด้วยท่าทีเก้อเขิน
“ครับ ตอนนั้นหลังจากที่ผมกลับมาจากการผจญภัย ผมก็มีงานมากมายหลายสิ่งที่จะต้องจัดการน่ะครับ แล้วในช่วงที่ได้วิ่งไปนู่นมานี่อยู่พักหนึ่ง งานที่ค้างคาไว้ก็จวนใกล้จะเสร็จเต็มที ผมก็คิดถึงลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ขึ้นมาครับ ผมตั้งใจว่าจะเข้าไปทักทายเสียหน่อย เพราะคุณเองก็เคยเป็นผู้มีพระคุณ เคยช่วยเหลือผมเอาไว้ แต่เผอิญได้ทราบว่าคุณหายตัวไปน่ะครับ”
“ถ้างั้น…ก็เลยมาเข้าร่วมหน่วยกู้ภัยเพื่อตามหาผมอย่างนั้นเหรอครับ”
วินาทีที่ผมได้ยินคำพูดของชินแจรยอง ผมจึงเกิดความคิดที่ว่า ‘มีคนแบบนี้กับเขาด้วยหรือเนี่ย’ ขึ้นมา เขาจึงพูดต่อมา พลางอมยิ้มเล็กน้อย
“ก็คุณช่วยชีวิตผมไว้นี่นา พอผมได้รู้ว่าเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ไม่มีนักบวช ผมจึงได้เข้าร่วมด้วย ตั้งใจว่าจะมาช่วยเหลืออะไรกับเขาบ้างน่ะครับ อ้า ใช่ ไม่รู้สิ ถ้ารู้ว่าผู้มีพระคุณของเรากำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แต่เรากลับแกล้งทำเฉย ไม่รู้ไม่ชี้ ผมคิดว่ามันเป็นพฤติกรรมที่ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย”
“…อย่างนั้นหรอครับ”
ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยขึ้นมาบ้าง จึงสงบสติอารมณ์ แล้วพยักหน้าตอบรับเขาไป
อย่างไรดีล่ะ…ผมแอบคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่า ไม่ใช่ตัวผมเองหรอกหรือที่คิดว่าโลกใบนี้มันช่างอ้างว้าง เดียวดายมากเสียเหลือเกิน แต่แล้วผมจึงถอนหายใจ พร้อมสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป หลังจากจึงได้เบนสายตาไปมองซองฮยองมินบ้าง
ซองฮยองมินมองกลับด้วยสีหน้าที่ดูแล้วรู้สึกได้ถึงความละอายใจอยู่เล็กน้อย แล้วจึงค่อยๆ เปิดปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงขัดเขิน
“อ้อ…จริงๆ แล้วผมได้รับคำขอร้องมาจากคนรู้จักน่ะครับ”
“คนรู้จักหรือครับ”
“ครับ อาจจะยิ่งกว่าคนรู้จักก็ได้ครับ เพราะถือว่าใกล้เคียงกับผู้มีพระคุณสำหรับผมเลย…แต่อย่างไรก็ตาม ผมเองก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับลอร์ดแฮมิลมาแต่ไหนแต่ไรแล้วละครับ เพราะฉะนั้นเพื่อเตรียมรับมือกับเรื่องที่ไม่รู้ล่วงหน้า…ฮ่าๆ ขอโทษครับ ดูท่าว่าคุณจะรู้ทันนะครับเนี่ย ไม่รู้สิครับ ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่เป็นน้องแท้ๆ ของลอร์ดแฮมิลน่ะครับ”
“ดูเหมือนผมจะพอรู้แล้วล่ะครับ ว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร ไม่จำเป็นจะต้องขอโทษกันเลยครับ กลับต้องขอบคุณคุณเสียมากกว่า”
จากคำพูดของซองฮยองมินนั้นตีความได้อย่างเดียวเลยคือ การช่วยเหลือผมในคราวนี้ไม่ใช่เป้าหมายหลักแต่อย่างใด แต่ทว่าในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือ พวกเขาเข้าร่วมเพื่อที่จะได้โน้มน้าวใจคิมยูฮยอน แต่การกระทำของชินแจรยงเนี่ยแหละที่แปลก ก่อนหน้านั้น เขาไม่ได้มีปฏิกิริยาอย่างนี้อย่างแน่นอน ผมจึงได้แต่พยักหน้าให้เขา
ซองฮยองมินดูเหมือนอยากจะลอบพิจารณาถึงสายตาของผม แต่แล้วเขากลับเริ่มจ้องมองไปยังทิศทางหนึ่งอย่างเสียไม่ได้ ทิศทางที่สายตาของเขากำลังจับจ้องอยู่นั้น คือ ที่ที่พวกเร่ร่อนถูกจับกุมตัวไว้อยู่นั่นเอง
“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ครับ สิ่งที่ผมจะถามในคราวนี้ อาจจะเสียมารยาทไปสักเล็กน้อย แต่ว่าผมขออนุญาตถามอะไรสักอย่างจะได้หรือไม่ครับ”
“ครับ เกี่ยวกับพวกเร่ร่อนที่ถูกจับอยู่ตรงนู้นหรือเปล่าครับ”
วินาทีที่คำว่าพวกเร่ร่อนหลุดออกมาจากปากผมไป นัยน์ตาของซองฮยองมินก็มีประกายอะไรสักอย่างวาบขึ้นมา
“กะแล้วเชียวว่าจะต้องเป็นพวกเร่ร่อน ผมคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่หลายคนน่ะครับ เลยอยากจะถามว่าใช่หรือเปล่า แต่ว่าคุณไปจับพวกมันมาได้อย่างไรครับเนี่ย”
“พวกเราได้เปิดฉากต่อสู้กับพวกมันเล็กๆ น้อยๆ ตอนออกมาจากมิวล์น่ะครับ แล้วก็มีพวกมันไล่ตามมาในฐานะเป็นพวกสะกดรอยด้วย ทีนี้พอถึงตาพวกเราโจมตีพวกมันกลับไปบ้าง ก็มีส่วนใหญ่ที่ถูกฆ่าตาย บางส่วนที่เหลืออยู่จึงถูกจับมาแบบนี้ครับ”
เป็นคำตอบที่ทั้งชัดเจนและสั้น กระชับเข้าใจง่ายมากๆ แต่ทว่าน้ำหนักที่ถ่วงอยู่ในคำตอบนั้นกลับไม่เบาเอาเสียเลย ในระหว่างที่ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ของซองฮยองมินกับชินแจรยงนั้น ผมจึงได้ลอบมองแพคซอยอน หนึ่งในพวกเร่ร่อนที่ผมพามา ไม่ว่ารอบกายจะเสียงดังเอะอะมากเพียงใด แต่ทว่าหล่อนก็มิได้เงยหน้าขึ้นมามอง เอาแต่ก้มหน้าลงมองพื้นดินอยู่อย่างนั้น
“ไม่ทราบว่ารู้จักพวกเร่ร่อนที่ชื่อแพคซอยอนหรือเปล่าครับ”
“แพคซอยอน? ตอนนี้ยัยผู้หญิงปีศาจนั่นอยู่ที่นี่ด้วยเหรอครับ”