เล่มที่ 16 ตอนที่ 20

Memorize

ผมแค่ถามเพราะอยากรู้ว่ารู้จักไหม แต่แล้วกลับได้เห็นปฏิกิริยาตอบรับบางอย่างที่ผมคาดไม่ถึงของซองฮยองมิน ใบหน้าของคนที่มีความประพฤติเรียบร้อยดีมาตลอด กลับมีสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดมากขึ้นในพริบตาเดียว ถึงขนาดที่ว่าผมมองผิดไปหรือเปล่า

 

 

‘ไม่สิ ก็ไม่ได้ถึงกับอยู่เหนือความคาดหมายอะไรนี่นา”

 

 

แม้จะบอกว่าหล่อนเป็นปีศาจในคราบคน แต่ทว่าแพคซอยอนก็ยังเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในหมู่พวกเร่ร่อนด้วยกันอยู่ดี เพราะฉะนั้นจึงไม่อะไรมีผิดแปลกเลย หากคนอย่างซองฮยองมินจะรู้เรื่องเช่นนี้ด้วย

 

 

“รู้จักแพคซอยอนด้วยเหรอครับ”

 

 

“รู้สิครับ ปั๊ดโธ่เอ๊ย เพราะยัยผู้หญิงชาติชั่วคนนั้น…อ้า ขอโทษครับ”

 

 

“ไม่ครับ ไม่เป็นไรครับ พอมาได้เห็นอะไรแบบนั้นแล้ว ดูท่าว่าพวกเร่ร่อนที่ชื่อแพคซอยอนนั่นคงจะมีชื่ออยู่บ้างไม่ใช่น้อยเลยนะครับเนี่ย”

 

 

“ไม่ถึงขนาดมีชื่อเสียงเรียงนามหรอกครับ แต่ยังไงก็เถอะ นั่นใช่แพคซอยอนจริงๆ ใช่ไหมครับ ผมมองไม่ค่อยเห็นหน้าเท่าไหร่…”

 

 

แม้จะพูดอยู่อย่างนั้น แต่เขาก็ยังเอี้ยวมองจนคอเป็นเอ็น มองอย่างไรก็เหมือนกับมีอะไรบางอย่างเข้าไปเจาะลึกจนเข้ากระดูกดำของเขาเลย แต่ทว่าอย่างน้อยสหายของเราก็เป็นศัตรูของศัตรูเราอีกทีหนึ่ง

 

 

เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรสำหรับผม

 

 

ซองฮยองมินพิจารณาตรงจุดนั้นอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนเขาอยากจะยืนยันว่าแพคซอยอนได้ถูกจับตัวมาแล้วจริงๆ หรือไม่ และแล้วเขาจึงเปิดปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแสนแผ่วเบา

 

 

“หากพวกเร่ร่อนคนนั้นเป็นแพคซอยอนจริงๆ ล่ะก็…”

 

 

“…”

 

 

“ถือว่าลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ได้สร้างคุณงามความดีอันใหญ่หลวงต่อทวีปเหนือเราเลยนะครับ โดยเฉพาะสถานการณ์ ณ ขณะนี้”

 

 

“ฮ่าๆ”

 

 

คำพูดของซองฮยองมินมีแต่ความบริสุทธิ์ ความจริงใจแผ่ซ่านอยู่เต็มไปหมด ผมได้ยินดังนั้นจึงได้แต่ตอบกลับไปด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ แทน

 

 

คงจะสิ้นสุดอยู่ที่การสร้างคุณงามความดีอย่างที่ว่าอยู่แล้วละ ถ้าไม่เช่นนั้นทวีปเหนือก็จะ ไม่สิ มันเป็นที่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงพลิกหน้าพลิกหลังได้ตลอด จนกว่าจะถึงอนาคตในภายภาคหน้า

 

 

พวกเราได้ยกประเด็นเรื่องเส้นทางหวนคืนสู่เอเดนมาคุย หลังจากคุยเรื่องหน่วยกู้ภัยและการร่วมมือกันราวกับในละครเช่นนั้นเสร็จสิ้น และผมยังได้ยินเรื่องราวข้อมูลข่าวสารต่างๆ ในปัจจุบันโดยละเอียดในระหว่างที่กำลังเดินทางกลับเมืองอีกด้วย

 

 

ประเด็นแรกที่ผมอยากจะสอบถามคือ กองกำลังเสริมของเมืองฮาโล ว่าเป็นอะไรอย่างไรบ้าง ซึ่งซองฮยองมินไม่ได้พูดถึงส่วนนี้แต่อย่างใด เขาไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนออกมาเลย บอกแค่ว่ายังไม่มีการร้องขอกองกำลังเสริมอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งยังพูดอีกว่าฝั่งตัวเองก็กำลังปรึกษาหารือเรื่องนี้กันอยู่

 

 

เพียงแต่เขาพูดเสริมต่อมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า ‘แต่ก่อนนั้นวาร์ปเกตยังคงมีการบังคับ ควบคุมต่างๆ อยู่เลย แต่ทว่าจู่ๆ พอเกิดการบุกรุกขึ้นมา ผมจึงได้เห็นวาร์ปเกตกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งอย่างทันทีทันใด เห็นแล้วยังแอบขำอยู่หน่อยๆ เลยครับ’

 

 

หากยกเว้นพวกเมืองที่โดนบุกโจมตีไปแล้วนั้น ถือว่าวาร์ปเกตก็ยังไม่ได้ปิดตัวลงไปแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเฝ้าระวังให้ได้มากกว่านี้ บางทีช่วงเวลาที่จะได้พิจารณาความจริงต่างๆ นั้น อาจจะเกิดขึ้นได้ภายหลังเมืองทั่วไปทางตะวันตก อย่างเมืองฮาโลโดนเข้ายึดครองก่อนก็เป็นได้

 

 

อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับการตอนรอบแรกแล้วนั้น สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมีอยู่เพียงสิ่งเดียว สิ่งนั้นคือ พวกเร่ร่อนได้เข้าจู่โจมมิวล์ก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นจึงค่อยไปบุกโจมตีเมืองทางตะวันตกเป็นลำดับถัดมา เมืองโดโรธีกับเมืองเบธนั้นตกอยู่ในเงื้อมมือของทวีปตะวันตกมาเป็นระยะเวลานานแล้ว และตอนนี้แม้กระทั่งเมืองฮาโลก็ยังตกอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีเช่นเดียวกัน

 

 

โดยเฉพาะกำลังพลของศัตรูในปัจจุบันนี้อาจจะไม่ได้รู้แม่นยำ ชัดเจนอะไรนัก แต่ทว่าเผ่าที่สนิทชิดเชื้อกับเผ่าสิงโตทองนั้น กำลังเผชิญหน้าอยู่กับความเสียหาย ซึ่งความเสียหายที่ว่านี้เกิดจากการออกเดินทางไกลไปเทือกเขาเหล็กกล้าไม่สำเร็จตามเป้านั่นเอง จึงทำให้ตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพปกติได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นแล้วจึงทำให้ลำดับขั้นตอนในการเตรียมกำลังพลเกิดการติดขัด ไม่ราบรื่นไปตามๆ กัน ถึงขนาดที่บางคนพูดออกมาว่าทิ้งเมืองฮาโลไปเสียเถอะ

 

 

จึงมีคำพูดหนึ่งที่ว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

 

 

หากจะวางแผนรับมือก็ต้องรู้จักฝ่ายตรงข้ามให้ได้อย่างลึกซึ้งเสียก่อน แต่ทว่ามิวล์นั้นกลับโดนบุกโจมตี พร้อมทั้งโดนตัดขาดการติดต่อในเวลาเดียวกัน ส่วนโดโรธีกับเบธนั้น มีเพียงแค่ข่าวเรื่องการบุกโจมตีกับคำร้องขอความช่วยเหลือเพียงอย่างเดียวเท่านั้น รายละเอียดข้อมูลปลีกย่อยต่างๆ ยังไม่ได้รับเข้ามาเลย

 

 

ในสถานการณ์เช่นนี้ การที่ผมสามารถจับพวกเร่ร่อนที่บุกโจมตีเมืองต่างๆ ได้ด้วยตัวเองนั้น(?) ก็อย่างที่ว่าแหละครับ การกระทำเช่นนี้ถือว่ามีคุณค่ามากมายเกินกว่าเงินจำนวนมากโขเสียอีก โดยเฉพาะแพคซอยอน ด้วยความที่หล่อนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนระดับผู้นำแทบทั้งหมด ดังนั้นจึงทำให้มูลค่าของข้อมูลที่หล่อนจะยอมเผยออกมานั้น มีมูลค่าสูงมาก จนถึงขนาดไม่สามารถพูดได้เลย

 

 

ท้ายที่สุด กุญแจสำคัญที่จะไขทุกอย่างอยู่ที่เราจะทำลายจิตใจของแพคซอยอนได้เร็วสักเท่าไหร่กันนี่สิ และสิ่งนี้ได้กลายมาเป็นปัญหาที่ผมกังวลและคิดทบทวนตลอดการเดินทาง

 

 

พวกเราได้เริ่มต้นร่วมเดินทางกับคนรู้จักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นการที่จะให้เล่นเกมอย่างคราวก่อนนู้นจึงค่อนข้างยากลำบากเสียแล้ว ตอนนี้ผมจึงคิดว่าวิธีที่ใช้แล้วเกิดผลไปแล้วครั้งหนึ่งนั้น ยังจะสามารถใช้ได้อีกครั้งในโอกาสหน้าๆ ได้อีกหรือไม่

 

 

‘อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เราจะต้องกลับถึงเมืองให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรกสิ’

 

 

ในพื้นที่ที่ถูกจำกัดเหมือนอย่างเช่นตอนนี้นั้น ทำให้วิธีที่เราจะสามารถคัดเลือกเองก็ถูกจำกัดตามไปด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นหากเรากลับไปยังเมืองหรือแคลนเฮาส์ได้สำเร็จ เหล่ากลวิธีต่างๆ ที่จะมาช่วยขยายโอกาสของเราก็จะพุ่งออกมาเอง

 

 

“…”

 

 

ผมค่อยๆ ออกจากความคิดอันแสนเพ้อฝันเหล่านั้นอย่างช้าๆ แล้วจึงมองไปยังด้านบนเพื่อชมท้องฟ้าสีครามสดใส ผมจึงรู้สึกได้ว่าหัวที่เคยเอาแต่คิดนู่นนี่อยู่เต็มไปหมด ได้อันตรธาน หายไปโดยสิ้นเชิง

 

 

ตลอดการเดินทางกลับ ผมก็ได้แต่โดนพี่ชายก่อกวนไม่หยุด จนทำเอาในหัวผมตีกันจนยุ่งเหยิง ดังนั้นผมจึงปลีกตัวออกมาเดินแยกอยู่ข้างๆ โดยมีข้อแก้ตัวว่ามีอะไรที่จะต้องคิดสักเล็กน้อย

 

 

“คิมซูฮยอน คิมซูฮยอน!”

 

 

ขณะผมกำลังเดินพลางเงยหน้าชมท้องฟ้าอันสวยงามอยู่ดีๆ แต่แล้วก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังวิ่งเตาะแตะเข้ามาหา เสียงที่ดังขึ้นนั้นคือเสียงของวิเวียน ผมก้มหน้ามองลงด้านล่างเล็กน้อย แล้วจึงเห็นหล่อนที่กำลังเงยหน้าขึ้นมาพอดี ใบหน้าของหล่อนเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่เต็มไปหมด ผมจึงพูดออกไปอย่างสุขุมว่า

 

 

“ทำไมเหรอ”

 

 

“พี่นายให้มาบอกว่าดูเหมือนเราจะต้องไปถึงเอเดนให้ได้น่ะ ว่าแต่ทำไมถึงเอาแต่เดินดูท้องฟ้าอยู่แบบนี้ล่ะ”

 

 

“มีอะไรให้คิดนิดหน่อยน่ะ”

 

 

“คิดเรื่องอะไรเหรอ ใช่เรื่องนั้นที่เกิดขึ้นเมื่อวานหรือเปล่า”

 

 

ผมพยักหน้าหงึกๆ ให้หล่อน ความกังวลในช่วงเวลาเหล่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผมเครียดอยู่เพียงคนเดียว เมื่อวานผมมีโอกาสได้ยืนเฝ้ายามตอนกลางคืนด้วยกัน จึงได้เผยความคิดของผมบางส่วนให้วิเวียนได้รับทราบไปบ้าง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นความจริงที่สามารถพูดออกไปได้โดยไม่ต้องกังวลอะไรเลย หากอีกฝ่ายที่อยู่ด้วยนั้นคือหล่อน และผมเองก็ไม่รู้ด้วยว่าจะคิดวิธีที่ดีเสียยิ่งกว่านี้ได้อีกไหม จริงๆ แล้ว เวลาที่ผมรู้สึกเบื่อๆ ขึ้นมา ผมก็มักไม่ค่อยอยากจะพูดอะไรตามไปด้วย

 

 

“หึๆ อย่างนี้นี่เอง แล้วคิดอะไรดีๆ ออกไหมล่ะ”

 

 

“ก็มีเรื่องสองเรื่อง แล้วเธอล่ะ”

 

 

 “หึๆ จริงด้วยแฮะ ฉันเองก็พูดไปแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าเคยมีกังวลกับเขาบ้างเล็กน้อยน่ะ หึๆ”

 

 

“…?”

 

 

 หล่อนส่งเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจในอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ผมเห็นดังนั้นจึงจ้องไปที่วิเวียน ด้วยความสงสัยระคนคาดหวัง ด้วยสายตาของผมเช่นนั้น จึงทำให้หล่อนยกยิ้มขึ้นมาพลางควานหาอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านใน พร้อมพูดออกมาว่า

 

 

“ฉันคิดอะไรที่ดีมากๆ ออกแล้วแหละ มีอยู่ตั้งสองอย่างแน่ะ”

 

 

“อะไรล่ะ อย่าทำให้ฉันร้อนใจนะ ไหนลองพูดมา”

 

 

“หึๆ รอเดี๋ยวเดียวสิ ท่านพี่”

 

 

“เธอไปเรียนคำแบบนั้นมาจากไหนกันล่ะนั่น”

 

 

หล่อนตอบออกมาว่า ‘อันฮยอน’ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หลังจากนั้นจึงยื่นมือทั้งสองข้างออกมา บนฝ่ามือด้านขวาของหล่อนนั้นมีอะไรบางอย่างรูปร่างกลมๆ ส่องแสงสว่างสีขาว ส่วนมือด้านซ้ายกำลังถือหนังสือเล่มหนาอยู่ คงจะเป็นออร์โดแห่งข้อบังคับกับหนังสือของมาร์โวลโล

 

 

‘เดี๋ยวสิ ออร์โดนี่เข้าใจได้ แต่ว่าทำไมถึงแบกหนังสือไปมาด้วยแบบนี้ล่ะเนี่ย’

 

 

ผมเกิดความสงสัยอย่างมาก แต่คิดว่าควรจะลองฟังหล่อนดูก่อน จึงยอมเฝ้ารอคำพูดของวิเวียนอย่างใจเย็น ถึงแม้หล่อนจะส่งสายตายิ้มๆ อย่างไม่น่าไว้ใจมาให้ แต่สุดท้ายหล่อนก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแสนดังกังวาน

 

 

“เมื่อก่อนก็มีนี่นา จำข้อมูลเกี่ยวกับการประเมินคุณค่าสิ่งของที่เขียนอยู่ในออร์โดแห่งข้อบังคับนี้ได้ไหมล่ะ”

 

 

“ประเมินคุณค่าสิ่งของงั้นเหรอ”

 

 

ผมพอจำได้อยู่บ้างสองสามอย่าง แต่ก็ไม่ได้จำอย่างละเอียดมากอะไรนัก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นเรื่องที่ผมสามารถยืนยันได้ในตอนนี้เลย ดังนั้นผมจึงจ้องไปยังก้อนกลมสีขาว และในขณะที่กำลังจะปลุกพลังดวงตาที่สามขึ้นมาอยู่นั่นเอง

 

 

“เห็นเอเดนแล้วครับ!”

 

 

ผมจำต้องรีบหันหน้าไปทันที เพราะมีเสียงใครบางคนตะโกนเสียงดังออกมา

 

 

ทิศทางที่อยู่ตรงหน้านี้ เห็นเมืองเล็กทางทิศตะวันออกอย่างเอเดนอยู่ไกลๆ อย่างที่เขาว่าจริงๆ ผมจึงหันไปหาวิเวียน แล้วพูดกับหล่อนว่า

 

 

“มีเรื่องที่จะพูดเยอะไหม”

 

 

“อืม ก็เยอะนิดหน่อย”

 

 

“งั้นเหรอ ถ้างั้นเดี๋ยวกลับเมืองไปค่อยมาคุยกันอีกทีก็แล้วกันนะ”

 

 

“หึๆ ได้สิ ถ้างั้นก็ช่วยรอหน่อยก็แล้วกันนะ ฉันจะไม่ทำให้นายเสียใจกับออร์โดแห่งข้อบังคับที่นายให้ฉันเลยละ แค่ช่วยคาดหวังสักหน่อยก็โอเคละ”

 

 

ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองตั้งใจจะพูดอะไรออกไปกันแน่ แต่หากได้ดูความมั่นใจในตัวเองของวิเวียนเช่นนั้นแล้วล่ะก็ เหมือนมีอะไรบางอย่างพุ่งออกมา

 

 

ผมมองวิเวียนที่ทำเสียงชิชะ เดินกลับไป หากหล่อนมัวแต่พูดเพ้อเจ้อ หาสาระไม่ได้เหมือนมาร์การิต้าล่ะก็ผมจะไม่ปล่อยไปเฉยๆ อย่างแน่นอน