ตอนที่ 11 นายน้อยสิงหั่ว โดย Ink Stone_Fantasy
“โครม…” ห้วงมิติบิดเบี้ยวและถล่มลงมาก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โต
เงาร่างสองสายเดินเคียงไหล่กันออกมาจากในนั้น คนหนึ่งคือตงป๋อเสวี่ยอิง ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ผู้มีผมสีเงิน อาภรณ์สีเงิน และผิวหนังสีดำ ถึงแม้ว่าประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์จะมีกลิ่นอายอันจำกัด แต่มีการรับสัมผัสที่เฉียบแหลมนัก เหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนโดยทั่วไปต่างก็สามารถแยกแยะออกได้… ร่างประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ร่างนี้เป็นเพียงแค่ร่างแปรเท่านั้น
การจัดงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา โลกทิพย์ทั้งสองและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกก็จะมีผู้แกร่งกล้ามาเข้าร่วมงาน ตามปกติแล้วก็จะมีขั้นอลวนมาเข้าร่วมอย่างน้อยหนึ่งคน เพราะปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ผู้ได้รับเลือกจากวังทวีสูญในคราวนี้คือตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่ง จึงต้องส่งผู้รับผิดชอบดูงานมาอีกคนหนึ่ง ร่างแปรของประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์จึงมาที่นี่ด้วย
ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่เข้าร่วมงานจำนวนมากต่างก็เป็นเพียงแค่ร่างแปรเท่านั้น! มาถึงระดับขั้นอลวนนี้แล้ว นอกเสียจากว่ามีเรื่องสำคัญ จำเป็นต้องสังหารศัตรูที่แข็งแกร่งเป็นที่สุดสักคนหนึ่งเท่านั้นร่างจริงจึงจะออกโรงเอง อย่างการพบปะสังสรรค์หรือการชมดูงานตามปกตินั้นโดยทั่วไปแล้วไม่จำเป็นต้องต่อสู้ ใช้เพียงร่างแปรก็ได้!
“ข้ามาที่เมืองราชันย์มีดเป็นครั้งแรกเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไกลออกไป
ไกลออกไปคือเมืองขนาดใหญ่ไร้เทียมทานแห่งหนึ่ง ภายใต้ความกดดันของกฎเกณฑ์แห่งโลกทิพย์ ด้วยพลังยุทธ์ของเขาก็ยังยากที่จะเห็นรูปร่างของทั้งเมืองได้อย่างชัดเจน แต่อ้างอิงจากบันทึกข้อมูล เมืองราชันย์มีดมีความกว้างยาวหกล้านแปดแสนล้านลี้ ถ้าหากเป็นในอากาศอันสับสนอลหม่านก็นับได้ว่าพบเห็นได้บ่อย แต่ภายในโลกทิพย์กลับกลายเป็นเมืองที่น่าหวั่นเกรงเป็นที่สุดเสียแล้ว และนี่ยังเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกทิพย์ทั้งสองอีกด้วย
“ปัง ปัง ปัง…”
เบื้องบนของเมืองราชันย์มีดมีค่ายกลโคจรอยู่หลายชั้น ดึงดูดพลังฟ้าดินให้ปั่นป่วนพลุ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา ปั่นป่วนราวกับกระแสน้ำ แสงสีอันพลุ่งพล่านจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ปกคลุมไปทุกทิศทุกทาง
ภายใต้แสงระยิบระยับของดวงอาทิตย์เบื้องบน เมืองราชันย์มีดก็ยิ่งทวีความเรืองรองจับตา
“ไม่ธรรมดากระมัง” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์พูดยิ้มๆ “เพื่อสร้างเมืองราชันย์มีดแห่งนี้ ราชันย์มีดก็ลงทุนไปไม่รู้เป็นมูลค่าเท่าใด ว่ากันว่าแม้กระทั่งบรรพชนทิพย์และเจ้าเมืองหลัวต่างก็เคยลงแรง ทั้งยังมีของวิเศษคอยพิทักษ์ ต่อให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มาสังหารจนแหลกสลายไปทั้งโลกทิพย์กิเลนบูรพา น่ากลัวว่าเมืองราชันย์มีดก็จะยังคงมีเสถียรภาพอยู่เช่นเดิม ถึงอย่างไรก็เป็นขุมอำนาจอันดับหนึ่งแห่งโลกทิพย์ทั้งสองของพวกเรา!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ถึงแม้ว่าวังทวีสูญจะมีพื้นฐานอันลึกล้ำ แต่เมื่อเทียบกับเมืองราชันย์มีดแล้วก็ยังด้อยกว่าอยู่ส่วนหนึ่ง!
“ไป เข้าไปกันเถิด” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์พูด
พวกเขาสองคนเคลื่อนที่เพียงครั้งเดียวก็มาถึงประตูทางเข้าด้านตะวันออกของเมืองราชันย์มีดแล้ว ทันทีที่เข้าไปในประตูเมือง เพียงชั่วครู่เดียว เมืองราชันย์มีดก็มียอดฝีมือมาต้อนรับในทันใด แล้วจัดการที่พักให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์
……
เรือนพักอันหรูหราเป็นที่สุดสองแห่ง ก็คือที่พำนักของตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ระหว่างงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา
“ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ ผู้อาวุโสตงป๋อ ภายในเรือนพักของทั้งสองท่าน ได้จัดเตรียมข้ารับใช้เอาไว้ให้จำนวนหนึ่งแล้ว มีเรื่องอันใดก็สั่งการพวกเขาได้เลยนะขอรับ” บุรุษที่ตลอดร่างเป็นโลหะเหล็กกล้าสีม่วงและแบกมีดสามเล่มไว้บนหลังคนหนึ่งพูด “ถ้าหากมีเรื่องสำคัญก็สามารถแจ้งกับข้าได้โดยตรง”
“รบกวนผู้บัญชาการฉิวเตาแล้ว” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์เอ่ยอย่างเรียบเรื่อย
“เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว” ผู้บัญชาการฉิวเตาผู้นี้พูดยิ้มๆ “เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนท่านทั้งสองแล้ว” ผู้บัญชาการฉิวเตาหมุนกายจากไปในทันทีแล้วเคลื่อนที่ในพริบตาไกลออกไปอย่างรวดเร็วยิ่ง
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์มองดูผู้บัญชาการฉิวเตาเคลื่อนที่ในพริบตาหายลับไปแล้วจึงเอ่ยว่า “ตงป๋อ คราวนี้เจ้าเป็นหนึ่งในห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ เดิมทีก็ก่อให้เกิดการคัดค้านขึ้นมาอยู่บ้างแล้ว ดังนั้นตอนที่คัดเลือกผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ก็ต้องยิ่งเพิ่มความระมัดระวัง ถึงอย่างไรเจ้าก็มิได้เป็นตัวแทนแค่ตัวเจ้าเอง แต่เป็นตัวแทนของวังทวีสูญของข้า”
“ข้าเข้าใจขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ท่านบรรพชนให้ตนรับหน้าที่ในตำแหน่งนี้ก็เพื่อให้ขัดเกลาตนเอง ตนจะทำเรื่องอันใดก็ต้องไม่ทำให้วังทวีสูญขายหน้า!
……
ยังห่างจากวันจัดงานชุมนุมใหญ่อีกสามเดือนกว่า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้รับรายชื่อและข้อมูลของผู้บำเพ็ญที่จะมาเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราในครั้งนี้แล้ว! เพราะผู้ที่ลงชื่อสมัครจะตัดก่อนล่วงหน้าหนึ่งปี อีกทั้งคราวนี้ผู้จัดงานได้จัดการผู้แกร่งกล้าเอาไว้แล้ว ‘กวาด’ เมืองแต่ละแห่งในโลกทิพย์ทั้งสองไปรอบหนึ่ง แล้วพาผู้เข้าร่วมมายังเมืองราชันย์มีด
“หนึ่งหมื่นหกพันกว่าคน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูรายชื่อแล้วก็ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ เดินทางไปทั่วทุกสารทิศภายในเมืองราชันย์มีด
ชมดูเมืองอันโบร่ำโบราณแห่งนี้ ทั้งยังได้ลิ้มลองอาหารเลิศรสที่ขึ้นชื่อจำนวนหนึ่งอีกด้วย
วันนี้
หอสุรามังกรหิมะแห่งนี้คือหอสุราที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองราชันย์มีด ด้วยการเพาะเลี้ยง ‘มังกรหิมะ’ ด้วยกระบวนการเพาะเลี้ยงพิเศษ และการใช้โลหิตมังกรหิมะมาเป็นวัตถุดิบในการกลั่นสุรามังกรหิมะ ยังมีเนื้อมังกรหิมะ ลิ้นมังกรหิมะ ตับมังกรหิมะ ส่วนผสมและวิธีการทำที่แตกต่างกัน ตลอดระยะเวลาเนิ่นนานมานี้ ก็ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาในเมืองราชันย์มีด แม้กระทั่งด้วยความยิ่งใหญ่ของเมืองราชันย์มีด มีหอสุราอยู่เป็นจำนวนมาก ก็สามารถถูกจัดอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกได้
ผู้บำเพ็ญ การบำเพ็ญก็ต้องใช้ทรัพยากร ทรัพยากรมาจากที่ใด นอกจากการผจญภัย การต่อสู้สังหาร การจัดการกับอาหารเลิศรสนี้ก็เป็นวิธีการเก็บเกี่ยวทรัพยากรเช่นเดียวกัน มีศาสตร์โบราณที่พิเศษมากมายที่มีพรสวรรค์ในด้านอาหารเลิศรสเป็นอย่างมาก
“อืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงชิมเนื้อมังกรหิมะกึ่งโปร่งแสงที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลชิ้นแล้วชิ้นเล่า เขากินแล้วก็หรี่ตาลง “ในบรรดาอาหารเลิศรสที่ข้ากินมา สามารถจัดอยู่ในร้อยอันดับแรกได้อย่างแน่นอน อืม อืม รอให้ข้ากลายเป็นขั้นอลวน รอเวลาที่จะสามารถสำแดงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้อย่างเปิดเผยก่อน ก็จะพาจิ้งชิว อวี้เอ๋อร์ และชิงเหยามาลิ้มชิมรสที่นี่ด้วยเช่นกัน โอ้ อร่อยเหลือเกิน ชิมรสตับมังกรหิมะ อืม ตับมังกรหิมะชิ้นนี้ช่างนุ่มละมุนเสียจริง นุ่มจับใจเลยทีเดียว อร่อยจริงๆ”
พลังยุทธ์กล้าแกร่ง ยิ่งได้เห็นทิวทัศน์มาก การได้รับประทานอาหารเลิศรสจำนวนมากก็นับว่าเป็นทิวทัศน์อย่างหนึ่งเช่นกัน
“พลั่ก”
ไหสุราไหหนึ่งหล่นลงบนพื้น สุราไหลรินลงบนพื้น ฝาไหก็กลิ้งไปด้านข้าง
ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั่งอยู่ที่มุมอดที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองมิได้ ที่โต๊ะตัวหนึ่งห่างออกไปไม่ไกลมีผู้บำเพ็ญอยู่สามคนซึ่งล้วนเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งหมดอย่างหาได้ยากยิ่ง ขณะนี้บุรุษในอาภรณ์เขียวเรียบง่ายคนหนึ่งในนั้นลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าซีดขาว ผู้ที่นั่งอยู่ที่นั่นก็คือชายหนุ่มอาภรณ์ทองคนหนึ่ง กับหญิงสาวรูปโฉมงดงามอีกคน หญิงสาวผู้นี้ยังแฝงไว้ด้วยความทรงเสน่ห์ด้วย
“ตัวเป็นถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งแต่กลับทำไหสุราหล่นจากโต๊ะอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มอาภรณ์ทองส่ายศีรษะพลางเอ่ยว่า “น้องฟู่จวินเอ๋ย การโจมตีเล็กน้อยแค่นี้เจ้าก็รับไม่ไหวแล้วหรือ ระดับจิตใจของเจ้านี้จะสามารถบำเพ็ญไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ด้วยหรือ”
บุรุษในอาภรณ์เขียวเรียบง่ายจ้องมองชายหนุ่มอาภรณ์ทองและหญิงสาวรูปโฉมงดงามด้วยสีหน้าซีดขาว แววตาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอันหาได้ยากยิ่ง น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ “เยี่ยนเอ๋อร์ เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า”
หญิงสาวตรงหน้า…
คือผู้เป็นที่รักในใจของเขา เป็นผู้ที่เขาเชื่อมั่นว่าจะจับจูงมือไปชั่วชีวิต เขาเต็มใจจะสละชีวิตเพื่อนาง วันเวลาที่อยู่ร่วมกันกับนางนั้นมีความสุขมากมายเพียงใด
“ฟู่จวิน ขอโทษด้วย วันเวลาเหล่านี้ที่ได้พบสวินอี ข้าก็แน่ใจแล้วว่าเขาต่างหากที่เป็นความรักอันแท้จริงของข้า” หญิงสาวรูปโฉมงดงามในอาภรณ์สีแดงเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้าและข้าต่างก็เป็นผู้บำเพ็ญ ก็ควรรู้ว่าความรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย ควรจะแยกจากกันเสียที เชื่อว่าด้วยระดับขั้นการฝึกฝนจิตใจของเจ้า เพียงไม่นานก็จะสามารถปรับตัวได้แล้ว”
“ปรับตัวหรือ”
บุรุษในอาภรณ์เขียวเรียบง่ายมองไปทางหญิงสาว “ข้าสู้เขามิได้ตรงไหนกัน ระยะเวลาในการบำเพ็ญของข้าสั้นกว่าเขาอยู่เล็กน้อย แต่พลังยุทธ์ของข้ายังแข็งแกร่งกว่าเขาเสียอีก! งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราคราวนี้ ข้าจะต้องเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ ข้ากับเจ้ารู้จักกันมาเป็นเวลานมนาน แต่เจ้ากับเขาเล่า เพิ่งจะรู้จักกันมาแค่พันปีเท่านั้นเอง หรือเพียงเพราะว่าบิดาของเขาคือ ‘จักรพรรดิสิงหั่ว’ กัน”
“ไม่เกี่ยวกับจักรพรรดิสิงหั่วเสียหน่อย ได้พบกับความรักอันแท้จริง ไม่ต้องพูดถึงพันปีเลย แค่ปีเดียวก็เพียงพอแล้ว” หญิงสาวรูปโฉมงดงามในอาภรณ์สีแดงส่ายศีรษะ
บุรุษในอาภรณ์เขียวเรียบง่ายมองไปทางชายหนุ่มอาภรณ์ทอง “สิงหั่วสวินอี ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่น้องของข้า แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะใจร้ายได้ถึงขนาดนี้! พอแล้ว พอแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่หักหลังเยี่ยนเอ๋อร์ ถ้าหากเจ้าทรยศนาง ข้าย่อมไม่มีทางละเว้นเจ้าแน่”
“น้องฟู่จวิน”
ชายหนุ่มอาภรณ์ทองส่ายศีรษะ “หนึ่ง เป็นภรรยาของเจ้าเองที่แอบมายั่วยวนข้าก่อน”
ฟู่จวินสะดุ้งคราหนึ่ง หญิงสาวรูปโฉมงดงามในอาภรณ์แดงที่อยู่ข้างๆ ก็ตกตะลึงไปเสียแล้ว นางถึงกับควบคุมพลังตัดขาดสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งอยู่ตรงมุมกลับเต็มไปด้วยความสนใจขึ้นมาเสียแล้ว ภายในอาณาเขตกฎเกณฑ์ของเขา พลังยุทธ์ของหญิงสาวผู้นี้จะสามารถขวางกั้นการตรวจสอบของเขาได้เสียที่ไหนกัน
“สอง หลังจากถูกยั่วยวนอย่างลับๆ แล้ว ข้าก็ทำการสำรวจผ่านวังเทพสิงหั่วของข้าในทันที ถึงขนาดที่ตรวจสอบอดีตของนาง นับรวมเจ้า นางก็มีสหายร่วมวิถีมาสามคนแล้ว ถ้าหากรวมข้าด้วย เช่นนั้นก็เป็นคนที่สี่แล้ว!”
หญิงสาวรูปโฉมงดงามในอาภรณ์แดงหวาดหวั่น
ฟู่จวินยากที่จะเชื่อได้ “เป็นไปได้อย่างไรกัน”
ผู้บำเพ็ญที่กล้าแกร่ง ระดับจิตใจก็ไม่ธรรมดา เมื่อใดที่คิดว่าเป็นสหายร่วมวิถีที่แม้ตายก็ไม่ผันแปรแล้ว โดยทั่วไปแล้วหากสหายร่วมวิถีตาย ต่างก็ยอมอยู่อย่างลำพังไปจนตาย! แม้ว่าจะเป็นเพราะสบโอกาสพิเศษบางอย่าง ทำให้พวกเขาเกิดความหวั่นไหว ก็อาจจะมีสหายร่วมวิถีคนที่สองได้ ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า…ผู้ที่สหายร่วมวิถีตายไปหมดแล้วจริงๆ จะสามารถเปลี่ยนได้อย่างต่อเนื่องถึงสี่คน! นี่หมายความได้เพียงว่าจิตใจโลเลมิอาจคาดเดาได้เท่านั้น
มีผู้บำเพ็ญเช่นนี้อยู่จริงๆ จงใจล่อลวงผู้อื่นมาเป็นสหายร่วมวิถี ทำให้อีกฝ่ายทุ่มเทให้ตนเอง!
ถึงอย่างไรสหายร่วมวิถีแม้ตายก็ไม่ผันแปร ก็เหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิงที่เสี่ยงชีวิตเพื่อภรรยา หรือแม้กระทั่งใช้จ่ายศิลาปฐมโลกาไปเป็นจำนวนมากก็มิได้มีความสำนึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย
แต่การจงใจหลอกลวงมาเป็นสหายร่วมวิถี… ก็สามารถหลอกเอาทรัพยากรจำนวนมากมาได้
“เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้า เจ้า…” ฟู่จวินมองไปทางหญิงสาวรูปโฉมงดงามในอาภรณ์แดงตรงหน้า
“เจ้าอย่าไปฟังเขาพูดจาเหลวไหลเลย” หญิงสาวรูปโฉมงดงามในอาภรณ์แดงพูด ในใจของนางแอบนึกเสียใจ ในอดีตนางต้องใจในศักยภาพของ ‘ฟู่จวิน’ คิดหาหนทางปีนป่ายขึ้นไป แต่การเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราในคราวนี้กลับพบกับนายน้อยของ ‘วังเทพสิงหั่ว’ เข้า ต้องรู้ไว้ว่าจักรพรรดิสิงหั่วช่างทรงเกียรติยิ่งนัก ซึ่งก็คือเป็นยอดฝีมือระดับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาว แม้กระทั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างก็มิกล้าละเลย
นายน้อยของวังเทพสิงหั่ว มีทรัพยากรมากมายเพียงใด ย่อมเหนือชั้นกว่าฟู่จวินมากมายนัก
“หนีเยี่ยน ต่อหน้าข้ายังคิดจะพูดจาตลบตะแลงอีกหรือ อย่างไรเล่า ข้าจัดยอดฝีมือมาตรวจดูอดีตของเจ้าโดยเฉพาะ เป็นอย่างไรเล่า” ชายหนุ่มอาภรณ์ทองถือจอกสุราแล้วเอ่ยอย่างเรียบเรื่อย
เมื่อหญิงสาวรูปโฉมงดงามในอาภรณ์แดงได้ฟังแล้วสีหน้าก็ซีดเผือด
“ช่างสมชื่อนายน้อยสิงหั่ว ร้ายกาจนัก ข้าเติบโตขึ้นในมือของท่าน นับถือทั้งวาจาและจิตใจ” หญิงสาวรูปโฉมงดงามในอาภรณ์แดงยืดกายขึ้นในทันใดแล้วหันหน้าเดินไปโดยไม่มองบุรุษทั้งสองเลยแม้แต่ปราดเดียว
ชายหนุ่มอาภรณ์ทองอมยิ้มมองไปทางฟู่จวิน “น้องฟู่จวิน เจ้าควรขอบคุณข้านะ”
…………………………………………….