ตอนที่ 12 จริงหรือเท็จ โดย Ink Stone_Fantasy
ฟู่จวินในอาภรณ์เรียบง่ายมองดูสตรีอาภรณ์แดงรูปโฉมงดงามที่กำลังเดินมุ่งหน้าออกไปนอกหอสุราด้วยความตกตะลึง เขายังคงไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน เป็นไปได้อย่างไร…”
“ครั้งนี้ยุ่งยากใหญ่แล้ว!” สตรีอาภรณ์แดงรูปโฉมงดงามเดินออกไปข้างนอก ในใจกลับรู้สึกอดสู นางระมัดระวังเพียงใดกัน แม้จะลอบยั่วยวนนายน้อยสิงหั่ว เมื่อตอนเริ่มแรกเพียงแค่ส่งสัญญาณให้เล็กน้อยโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดเอาไว้เท่านั้น และในเวลาถึงพันปี นางก็มั่นใจแล้วว่านายน้อยสิงหั่วติดเบ็ดแน่แล้ว จึงเฉดหัวฟู่จวินทิ้งไป
นางยังจงใจพูดว่า จะให้ฟู่จวินเสียใจเกินไปมิได้ และจงใจยื้อเวลามาจนบัดนี้
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่านายน้อยสิงหั่วจะเสแสร้งมาโดยตลอด เสแสร้งได้แนบเนียนกว่าข้าเสียอีก” สตรีอาภรณ์แดงรูปโฉมงดงามพึมพำ นางเองก็นับได้ว่าเป็นมือฉมังแล้ว แต่กลับไม่รู้จักนายน้อยสิงหั่วอย่างทะลุปรุโปร่งเลยแม้แต่น้อย ว่ากันว่าแต่ไหนแต่ไรนายน้อยสิงหั่วก็ไม่เคยมีสหายร่วมวิถีแม้แต่คนเดียว รู้จักแต่การบำเพ็ญเท่านั้น ไหนเลยจะไปคิดว่าในด้านความรู้สึก เขายังเสแสร้งเก่งกว่านางเสียอีก
“เฮอะ ล้มเหลวก็แล้วไปเถิด ดูสิว่างานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้จะสามารถเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ หากล้มเหลวก็ค่อยแก้ไขตัวตนใหม่” สตรีอาภรณ์แดงรูปโฉมงดงามหนีเยี่ยนลอบคิดคำนวณในใจ นางตัดสินใจเด็ดขาด สำหรับนางแล้ว การยั่วยวนผู้อื่นก็เป็นเพียงวิธีการให้ได้มาซึ่งทรัพยากรในการบำเพ็ญเท่านั้นเอง
……
ภายในหอสุรา
ฟู่จวินได้รับผลกระทบใหญ่หลวงเกินไป ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าสหายร่วมวิถีเพียงแค่หัวใจผันแปรไป ผู้ใดจะไปคิดเล่าว่าตลอดคืนวันอันยาวนานล้วนแต่เป็นการหลอกลวงเสแสร้ง เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ!
“น้องฟู่จวิน นางจงใจหลอกลวงเจ้า ไยเจ้าจึงยังต้องลุ่มหลงอีกเล่า” ชายหนุ่มอาภรณ์สีทองยิ้มพลางรินสุราให้ “มาๆๆ พวกเรามาดื่มสุรากันเถิด”
“ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าที่ผ่านมานางก็แค่เสแสร้งเท่านั้น แต่ว่า คิดจะหลุดพ้นก็จะหลุดพ้นได้เลยอย่างนั้นหรือ” ฟู่จวินยิ้มอย่างขมขื่น “พี่สวินอี ข้ารู้ว่าท่านเจตนาดี แล้วก็ทำให้ข้าหลีกเลี่ยงจากความยุ่งยากที่อาจจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าได้อย่างแท้จริง แต่ว่า…ในใจของข้ากลับแอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าท่านจะมิได้ชี้ทั้งหมดนี่ออกมาให้เห็น”
ชายหนุ่มอาภรณ์สีทองสะดุ้งเล็กน้อย
“หากเป็นจริง จะดีสักเแค่ไหนกัน” ฟู่จวินหมุนกายเดินออกไปข้างนอก
ชายหนุ่มอาภรณ์สีทองนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังแล้วรินสุราให้ตนเองจอกหนึ่ง สายตาทอดมองออกไปไกล “หากเป็นจริง…”
เขารินสุราให้ตนเองจอกแล้วจอกเล่าแล้วดื่มสุราอย่างเงียบงัน เมื่อดื่มหมดแล้วจึงคิดเงินแล้วจากไป
ตรงมุมหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ในฐานะที่เขาเป็นหนึ่งในห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่จึงได้รับรายนามและข้อมูลของผู้เข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดารามาก่อนแล้ว จึงย่อมรู้จักทั้งสามคนนี้ดี
ฟู่จวิน:บำเพ็ญมาสามแสนสองหมื่นล้านปี เป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัด ผจญภัยอยู่ภายนอก หลังจากสำเร็จขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ไม่นานเท่าใดนักก็ได้รู้จักกับ ‘หนีเยี่ยน’ แล้วผูกสัมพันธ์เป็นสหายร่วมวิถีกัน
หนีเยี่ยน:บำเพ็ญมาหนึ่งล้านหนึ่งแสนล้านปี นางก็เป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเช่นเดียวกัน ตอนนี้ดูท่าแล้วกลับเป็นผู้บำเพ็ญที่เจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง นางชมชอบการยั่วยวนผู้แกร่งกล้าคนอื่นมาเป็นสหายร่วมวิถี แล้วหลอกเอาทรัพย์สมบัติมา ในหมู่ผู้บำเพ็ญ มารร้ายที่ร้ายกาจแค่ไหนก็มีทั้งนั้น อย่างผู้ที่ชอบหลอกลวงเช่นนี้ก็ย่อมมีเป็นธรรมดา
สิงหั่วสวินอี:บำเพ็ญมาห้าแสนสามหมื่นล้านปี เมื่อเขามาก็ต้องปวดหัวเสียแล้ว! ทั้งสองคนตรงหน้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญไร้สังกัด แต่สิงหั่วสวินอีกลับเป็นบุตรชายคนเล็กของ ‘จักรพรรดิสิงหั่ว’ ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว เนื่องจากมีสายเลือดของบิดาเขาอยู่ในตัว ช่วงแรกจึงบำเพ็ญได้รวดเร็วมาก ความเร็วที่ก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งยังรวดเร็วกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเสียอีก เพียงแค่พันแปดร้อยล้านปีเท่านั้น แต่ต่อมาพลังกลับยกระดับได้เชื่องช้านัก เพราะถึงอย่างไรบิดาก็เป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน อาศัยระบบการบำเพ็ญสายโลหิตระดับยอดสุดก็นับได้เพียงว่าเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น
เนื่องจากมีสถานะสูงส่ง ข้อมูลของสิงหั่วสวินอีจึงมีอยู่มากมาย ตั้งแต่เล็กจนโตมีบันทึกเอาไว้เป็นจำนวนมาก
ตามที่บันทึกเอาไว้ เขาไม่เคยมีสหายร่วมวิถีมาก่อน! รู้เพียงว่าเขาก้มหน้าก้มตาฝึกฝนอยู่ในวังเทพสิงหั่ว น่าเสียดายที่พลังธรรมดาสามัญมาก
“น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองแผ่นหลังของชายหนุ่มอาภรณ์สีทองจากไป “คนผู้หนึ่งซึ่งรู้จักแต่การบำเพ็ญ ไม่เคยมีสหายร่วมวิถีมาก่อน กลับทำให้หนีเยี่ยนผู้นั้นต้องสะดุดกลางคันได้ เห็นทีคงจะมีเรื่องที่ไม่รู้มากมายที่ยังมิได้ถูกขุดค้นออกมาเป็นแน่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความสนใจในตัวนายน้อยสิงหั่วผู้นี้ขึ้นมา
แน่นอนว่าในที่นั้นไม่มีใครจำตงป๋อเสวี่ยอิงได้ เพราะในฐานะปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ ผู้ที่พอจะมีเบื้องหลังอยู่บ้างก็ล้วนรูู้จักผู้ได้รับคัดเลือกเป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่กันทั้งนั้น หากถูกจำได้ขึ้นมาก็ยุ่งยากแน่ ดังนั้นขณะท่องไปในเมืองราชันย์มีด ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงต้องแปลงโฉมและเก็บงำกลิ่นอายเอาไว้
……
ณ เมืองราชันย์มีด ภายในคูหาแห่งหนึ่งในบรรดาคูหาซึ่งมีไว้สำหรับรับรองแขกเหรื่อทั้งหลาย
“ท่านพ่อ”
สิงหั่วสวินอีกลับมายังคูหา
บุรุษผมสีดำหยักศกคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ภายในลานเพียงลำพัง ร่างกายของเขากำยำอย่างยิ่ง เขานั่งอยู่ตรงนั้นแต่กลับสูงกว่าสิงหั่วสวินอีราวศีรษะหนึ่ง! ทั้งร่างมีกลิ่นอายแผ่ออกมาเพียงเล็กน้อย กฎเกณฑ์การหมุนเวียนของโลกทิพย์ก็เกิดอุปสรรครบกวนขึ้นมา สถานที่ที่เขาอยู่ก็เหมือนการหมุนเวียนกฎเกณฑ์ของโลกทิพย์จะต้องถอยห่างออกไป จักรพรรดิสิงหั่วมีชื่อเสียงเรื่องความเหิมเกริมและเย็นชา แต่เมื่ออยู่ตรงหน้าบุตรชายคนเล็กของตน ความเหิมเกริมและเย็นชาของเขากลับอ่อนลงอย่างมาก
“สวินอี” จักรพรรดิสิงหั่วเอ่ยปาก “เจ้าคือบุตรชายของข้า สิงหั่ว ครั้งนี้ข้าให้เจ้ามาเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าเสียหน้านะ! พี่ใหญ่ของเจ้าบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้แล้ว ข้าตั้งเงื่อนไขให้เจ้าไม่สูงมากนัก ฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่สามให้ได้เป็นพอ”
“ข้าทำมิได้หรอก” สิงหั่วสวินอีพูดอย่างสงบ
“นี่ก็ยังทำมิได้รึ ทรัพยากรในการบำเพ็ญอะไรข้าก็ให้เจ้าได้ทั้งนั้น เจ้ายังจะทำมิได้อีกหรือ” จักรพรรดิสิงหั่วโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว “หรือว่าจนถึงวันนี้ เจ้ายังไม่ลืมภรรยาในภาพมายาของเจ้าอีก”
“ลืมหรือ ข้าจะลืมได้อย่างไรกันเล่า”
สิงหั่วสวินอีจ้องบิดาของเขาเขม็ง “ข้าลืมไม่ลงหรอก หากท่านรู้สึกว่าจะทำให้ท่านเสียหน้าล่ะก็ ข้าสามารถล้มเลิก ไม่ไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย”
จักรพรรดิสิงหั่วสะดุ้ง
เขาอับจนหนทางแล้วจริงๆ จึงได้บีบบังคับให้บุตรชายไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ด้วยหวังว่าในงานอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันเช่นนี้ จะทำให้บุตรชายตนสู้สุดชีวิตเสียหน่อย
“ไปเถิด” จักรพรรดิสิงหั่วมิได้พูดให้มากความ
สิงหั่วสวินอีหมุนกายจากไป
จักรพรรดิสิงหั่วนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน เขาเสียใจมาก เสียใจเป็นอย่างมาก
บุตรชายทั้งสองของเขานั้น เดิมทีบุตรชายคนเล็กมีพรสวรรค์สูงส่งอย่างยิ่ง แม้จะฝึกฝนระบบสายโลหิตแต่ก็บำเพ็ญระบบศาสตร์โบราณไปควบคู่กันด้วย! ระบบศาสตร์โบราณของบุตรชายคนเล็กนั้น เชี่ยวชาญด้านเขตลวงที่สุด เขาฝึกทั้งสองระบบพร้อมกัน ระบบศาสตร์โบราณเพียงแค่ช้ากว่าระบบการบำเพ็ญสายโลหิตเล็กน้อย ระบบศาสตร์โบราณใช้เวลาสามร้อยล้านปีก็ก้าวเข้าสู่ระดับเทพอากาศ ตอนนั้นจักรพรรดิสิงหั่วก็ยินดีจนแทบคลั่ง!
ระบบการบำเพ็ญสายโลหิตนั้นอาศัยบิดา แต่ระบบศาสตร์โบราณนั้นมีเงื่อนไขของการรับรู้ที่สูงส่งมาก แม้โดยทั่วไปหากบิดาเก่งกาจ การรับรู้ของบุตรธิดาก็จะไม่ย่ำแย่นัก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องอาศัยตัวบุตรธิดาเองด้วย
แต่บุตรชายของเขาสามารถสำเร็จเป็นเทพอากาศด้านเขตลวงได้ภายในสามร้อยล้านปี เขาเสาะหาสมบัติล้ำค่าที่ใช้ในการบำเพ็ญเขตลวงมาชิ้นหนึ่งทันทีโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น มูลค่าของมันสูงกว่าหมื่นศิลาปฐมโลกา สิ่งนั้นมีชื่อว่า…‘ศิลาตรึงโลกา’ ภายในศิลาตรึงโลกานั้นมีเขตลวงวิวัฒน์ขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ ทั้งยังเป็นเขตลวงอันวิจิตรอย่างยิ่ง เขตลวงที่สร้างขึ้นมาในแต่ละครั้งล้วนแตกต่างกันไป
เมื่อค้นคว้าและรับรู้ภายในนั้น ก็สามารถค้นคว้าความเร้นลับของเขตลวงชนิดต่างๆ ได้
หลังบุตรชายของเขาได้มันมา ก็มักจะรับรู้ ‘ศิลาตรึงโลกา’ อยู่เนืองๆ และได้ทดลองโลกเขตลวงชนิดต่างๆ! โลกเขตลวงเหล่านั้นล้วนพิสดารพันลึก ระบบกฎเกณฑ์ภายในล้วนเทียบได้กับจักรวาลขนาดเล็กแล้ว นอกจากนี้แต่ละครั้งยังแตกต่างกันไปอีกด้วย
ดังนั้นบำเพ็ญเพียงแค่สองพันหกร้อยล้านปี สิงหั่วสวินอีบุตรชายของเขาก็ยกระดับด้านศาสตร์โบราณไปจนถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง แต่ต่อมากลับเกิดเรื่องหนึ่งขึ้น…
ศิลาตรึงโลกา
โลกเขตลวงเหมือนจริงเกินไปแล้ว! โลกที่วิวัฒน์ขึ้นภายในนั้นมีสิ่งมีชีวิตอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน มันมีชีวิตชีวา มีความรู้สึก มีบุญคุณความแค้นเหมือนกับโลกความจริง และเนื่องจากเหมือนจริงเกินไป การหมุนเวียนกฎเกณฑ์ของเขตลวงระดับนี้จึงสามารถเทียบกับจักรวาลขนาดเล็กได้
แต่ว่า ‘สิงหั่วสวินอี’ บุตรชายของเขากลับชอบสตรีนางหนึ่งภายในโลกเขตลวงเข้า
ทั้งที่รู้ว่าเป็นภาพลวง ขณะแรกเริ่มสิงหั่วสวินอีเพียงแค่เล่นสนุกเหมือนเด็กเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรเขาก็ประสบกับโลกเขตลวงมามากมายนัก ความรู้สึกต่างๆ ก็เคยเผชิญมามากมาย และนี่ก็คือเหตุผลที่เขาเชี่ยวชาญในการ ‘เสแสร้ง’ ทว่าทั้งที่รู้ว่าเป็นเรื่องลวง เมื่อเวลาล่วงเลยไป ครั้งนี้สิงหั่วสวินอีกลับตกหลุมพรางเสียแล้ว
เพราะทุกสิ่งเหมือนจริงมากเกินไปจนกระทบเข้ากับจิตใจของสิงหั่วสวินอีเข้าจริงๆ
เขาถลำลึกลงไปเสียแล้ว
เขาไม่อยากยุติ! เขาใช้ชีวิตอยู่กับสตรีนางนั้นในโลกเขตลวงมาโดยตลอด และถึงขั้นผูกสัมพันธ์เป็นสหายร่วมวิถี และถึงขั้นสรรหาวิธีให้ภรรยามีชีวิตอยู่ได้นานพอ
ใน ‘โลกเขตลวง’ ภรรยาก็แข็งแกร่งขึ้นจริงๆ และมีชีวิตอยู่ได้นานมาก ทว่าถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงเขตลวง สุดท้ายโลกเขตลวงนี้คงอยู่ไปถึงตอนจบก็ต้องพังทลายลงไป ‘ศิลาตรึงโลกา’ วิวัฒน์โลกเขตลวงขึ้นมาใหม่โดยอัตโนมัติ
“ไม่…” ขณะที่โลกเขตลวงพังทลายลงนั้น
ขณะที่ภรรยาสลายหายไปต่อหน้าต่อตา
แม้ท้ายที่สุดเขาจะบอกทุกสิ่งกับภรรยา และภรรยาก็เข้าใจว่าตัวนางเป็นส่วนหนึ่งของเขตลวงและยอมรับได้แล้ว
แต่สิงหั่วสวินอีกลับทนรับไม่ไหว
โลกตรงหน้าพังทลายลงไป สรรพสิ่งทั้งมวลถูกทำลาย สิ่งมีชีวิตทั้งหมดมลายหายไป ภรรยาก็สลายหายไปตามด้วย
“ไม่ ไม่…”
ตอนนั้นสิงหั่วสวินอีก็คลุ้มคลั่งไปอย่างสิ้นเชิง
…………………………….