TB:บทที่ 87 ผู้คนที่น่าสนใจ

“ใช่แล้ว”

ชายคนนั้นคิดแล้วใส่กางเกง

“อยากได้เพชรในมือฉันเหรอ” เฉินหลงยกอัญมณีในมือเขาขึ้นมา

“เอามาให้เราซะ แกถึงจะไปได้” ชายคนแรกกล่าวเขาหยิบท่อนไม้ขึ้นมาจากบนพื้น

พรรคพวกของมันบางคนหยิบท่อนไม้ขึ้นจากพื้นบางคนหยิบมีดบาลีซองออกมาจากกระเป๋าแล้วก็ควงมีดขู่เฉินหลง

พวกมันสั่งให้พรรคพวกคนหนึ่งเฝ้าหญิงสาวไว้เพื่อกันเธอหนีไป

“อยากได้ ก็เข้ามาเอาเองสิ” เฉินหลงกระดิกนิ้วท้าทายใส่พวกมัน

ความโลภช่างแรงกล้าจนทำให้คนบางคนขาดสติ

แม้จะเห็นอยู่ชัดๆว่าเฉินหลงปรากฏตัวขึ้นมาที่นี่อย่างแปลกประหลาดที่สุด แต่พวกอันธพาลพวกนี้ก็เห็นว่าเฉินหลงท้าทายเหลือเกิน พวกมันทุกคนพุ่งเข้าใส่เฉินหลง

“ให้แรงกดสักสิบเท่าแล้วกัน” เฉินหลงยิ้มและโยนค้อนใส่คนพวกนั้น

ตอนที่อยู่บนเขานั่น ใช้แรงกดมากกว่าสิบเท่าเสียอีก

แต่อย่างไรเสีย เฉินหลงก็ไม่ได้อยากฆ่าใคร เขาจึงปล่อยให้แรงกดจัดการพวกมันสักสิบวินาทีแล้วค่อยทำให้กลับเป็นปกติ

เมื่อได้เห็นสภาพของพรรคพวกที่น่าอนาถแล้ว ชายอีกคนที่เฝ้าผู้หญิงอยู่ก็รู้สึกกลัวจับใจจนแขนขาอ่อนเปลี้ยไปหมด มันเหลือบมองสีหน้าของเฉินหลง ตอนนี้มันอยู่ในภาวะอกสั่นขวัญหาย

เฉินหลงยิ้มและเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น

ชายคนที่เฝ้าผู้หญิงอยู่เมื่อเห็นเฉินหลงเดินมาทางตนก็คิดว่าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยวิธีของตัวเอง มันคุกเข่าให้เฉินหลงทันทีแล้วมันทำท่าทีอ่อนน้อมและพูดด้วยน้ำตานองหน้าว่า

“อย่า อย่าเข้ามาเลยนะครับ ผมรู้ว่าผมทำผิดไปแล้ว ผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ ได้โปรดเถอะ อย่าทำอะไรผมเลย”

“ผู้หญิงไม่ควรออกมาเที่ยวตอนดึกดื่น ถ้ากลับบ้านเองได้ ก็ไปซะนะ” เฉินหลงไม่ได้สนใจชายคนนั้นแต่อย่างใด เขาเพียงกล่าวกับหญิงสาวที่ยังนั่งอยู่กับพื้น เสื้อผ้าของเธอยับยู่ยี้

“อย่างแรกเลย คุณเป็นพระเจ้าหรือ” หญิงสาวพูดโพล่งทันที น้ำเสียงยังคงดีอยู่ น่าจะไม่แก่ด้วย

“พระเจ้างั้นหรือ ไม่ใช่หรอก พวกผู้หญิงน่ะชอบบอกว่าตัวเองเป็นพระเจ้านี่” เฉินหลงไม่รู้จะพูดอย่างไร

“คุณบอกชื่อได้ไหม แล้วฉันจะทดแทนบุญคุณของคุณ” หญิงสาวค่อยๆยืนขึ้น เธอสูงมาก ราวๆร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรเป็นส่วนสูงที่กำลังดี

“ไม่ล่ะ แต่ถ้าเราเจอกันอีกรอบก็มาทดแทนได้” เฉินหลงว่าต่อ “แต่ว่านะ ขอถามหน่อยสิ ที่นี่คือที่ไหนกัน”

“ที่นี่คือถนนพาลาด้า ในเมืองลาปาส” หญิงสาว ไม่สิเด็กสาวเดินเข้ามาหาเขาช้าๆ

หลังจากที่เข้ามาใกล้แล้ว เฉินหลงเพิ่งสังเกตเห็นว่าเธออายุราวสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีอีกทั้งน่าจะเป็นคนท้องถิ่น เธอสวยมากทีเดียว และอาจเพราะเธอโดนคนพวกนั้นจับตัวไว้เลยทำให้บนใบหน้าของเธอมีรอยเปื้อน

ตอนที่เฉินหลงได้ยินว่าเขากลับมาที่เมืองลาปาสแล้วเขารู้สึกโล่งใจ “เทพเจ้าแห่งแสงอาทิตย์” คงรู้อะไรสักอย่าง เลยส่งเฉินหลงกลับมา

“นี่ ตอนกลางคืนมันไม่ปลอดภัยนะ รีบกลับบ้านเถอะ” เฉินหลงกล่าวกับเด็กสาวว่าควรไปได้แล้ว

“ฉันชื่อแอนนาไฮม์นะคะ” เด็กสาวบอกกับเฉินหลง

เฉินหลงยิ้มให้กับเด็กสาว เธอจับมือเขาเขย่าแล้วก็จากไป

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง เฉินหลงกลับไปถึงโรงแรม ทั้งลู่หงและเทียซิงไม่ได้พักผ่อนเลยแต่เมื่อได้เจอเฉินหลงแล้วพวกเขาได้แยกย้ายกันไปพักผ่อน

เมื่อเฉินหลงอาบน้ำเสร็จเขาก็นอนลงบนเตียง

การได้ “หินแห่งแสงอาทิตย์” มาคราวนี้ช่างง่ายดาย แต่ถ้ามองว่ายากก็กล่าวได้ว่ายาก ถ้าไม่นับเรื่องปัญหานิดหน่อยเรื่องรูปเคารพตอนแรกที่เป็นเพราะเขาเอง ทุกอย่างก็ราบรื่นดี

จริงๆแล้วเฉินหลงไม่ได้คิดว่าจะเป็นแบบนั้น เฉินหลงเพียงแค่โชคดีที่มีแว่นตาวิเคราะห์มาช่วยวิเคราะห์เครื่องมือกึ่งอาวุธ ถ้าเขาไม่ได้มันเขาก็คงไม่ได้เครื่องมือพวกนี้มาหรอก เขาคิดถึงความลำบากตอนที่เขารับมือกับรูปสลักทั้งสี่สิบแปดชิ้นว่าความยากมันระดับสิบเลยทีเดียว และถ้าเขาไม่มีอุปกรณ์พวกนี้ เขาคงเดี้ยงหลังโดนโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียว

หลังจากที่เขานอนคิดเรื่อยเปื่อยบนเตียงได้ครู่หนึ่งเขาก็หยิบ “หินแห่งดวงอาทิตย์” ออกมาจากแหวนมิติ

และในตอนนั้นเอง ข้อความได้พรั่งพรูออกมาจาก “หินแห่งดวงอาทิตย์” เมื่อได้รู้ข้อมูลพวกนั้นแล้วเฉินหลงก็รู้สึกเหมือนได้กินแมลงวันเข้าไป

เพราะกลายเป็นว่าเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์เป็นชายหน้าตาดีทีเดียว เขารู้สึกว่าการเก็บสกิลของเขาและหยาดเลือดศักดิ์สิทธิ์ไว้ในแหวนมิติก็คล้ายกับเป็นการดูถูกดีๆนี่เอง ดังนั้นเขาจึงเก็บเครื่องมือต่างๆไว้ใน “หินแห่งดวงอาทิตย์” ด้วยวิธีลับ เจ้า “หินแห่งดวงอาทิตย์” นี้เป็นวัตถุดิบที่เยี่ยมที่สุดสำหรับทำที่เก็บอุปกรณ์ และด้วยพลังของ “เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์”มันจึงสามารถสร้างพื้นที่ได้ในหินแห่งดวงอาทิตย์ แต่อย่างไรก็ไม่ควรลืมว่าหินแห่งดวงอาทิตย์ยังเป็นอัญมณีที่ทรงพลังที่สุดอยู่

ไม่รู้ด้วยเหตุอะไรแต่เฉินหลงรู้สึกรังเกียจ ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขที่ว่าความแข็งแกร่ง ผู้ใช้และธรรมชาติของเครื่องมือต้องเป็นหนึ่งเดียวกันหรือเปล่า แต่เฉินหลงไม่ชอบใจเท่าไรนักในข้อนี้ เขาไม่ชอบมาก่อนจะได้รู้ข้อมูลจาก“หินแห่งดวงอาทิตย์”เสียด้วยซ้ำ

ในตอนนี้เฉินหลงเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูง เขายังห่างไกลจากการเป็นเช่นนั้น

และแล้วเฉินหลงก็ทำได้เพียงเก็บ “หินแห่งดวงอาทิตย์” ไว้ในแหวนมิติแล้วเขาก็พักผ่อน

เวลาต่อมาเฉินหลงเที่ยวเล่นที่เมืองโบลิเวียอยู่สองสามวัน หลังจากช่วงเวลาที่ลำบาก เขามักจะต้องไปชมวิวทิวทัศน์

ห้าวันผ่านไป เฉินหลงเดินทางกลับด้วยเครื่องบิน

เขากลับมาถึงเมืองหลวงและในขณะที่เขากำลังลงจากเครื่องบินนั้นเองจู่ๆก็มีคนมาขวางเขาไว้

“คุณเฉินครับ เจ้านายของเราอยากจะคุยกับคุณหน่อย ช่วยมากับผมทีนะครับ”

ตรงหน้าเฉินหลงปรากฏคนที่น่าจะแก่กว่าเขานิดหน่อย เขามีเครื่องหน้างดงาม เบ้าตาลึก จมูกเชิดเล็กน้อย ริมฝีปากบางเย้ายวน มีคางเล็กแหลม สันกรามชัดเจน และมีสีหน้าของความเย้ยหยัน

“ผมเพิ่งจะกลับมานะ ผมอยากจะพักผ่อน ถ้าหากมีธูระอะไรค่อยคุยกันหลังผมไปพักก่อนได้ไหมครับ” เฉินหลงกล่าวตอบอย่างสุภาพ

ตอนที่เขาลงมาจากเครื่องบินแล้วเขาโดนขวางไว้ เขารู้สึกหงุดหงิดเหลือเกิน เขาเดินผ่านชายคนนั้นไปโดยไม่มอง

“ครับ ผมจะรอให้คุณได้พักผ่อนก่อน แต่ว่านะ ผมลืมบอกไป ตอนนี้เพื่อนๆของคุณน่ะอยู่กับคนสกุลซ่งของเรานะครับ” ชายคนนั้นไม่ได้ใส่ใจเฉินหลง เขายังคงยิ้มแย้ม

“แกและคนสกุลซ่งของแกกำลังท้าทายฉัน” เฉินหลงได้ยินคำพูดของชายคนนั้นแล้วเขาก็หันกลับมามองหมอนั่นทันทีด้วยสีหน้าเย็นชา

“เหรอครับ เรื่องนี้ต้องเป็นคนอื่นสิครับที่มาท้าพวกเราก่อนน่ะ” ชายคนดังกล่าวยังคงมองเฉินหลงอย่างใจเย็น

แม้พลังของเขาจะไม่แข็งแกร่งเท่าเฉินหลงก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้ขลาดกลัวอะไรต่อสีหน้าเฉินหลงตอนนี้เลย นั่นเป็นเพราะ เขาเป็นคนของสกุลซ่ง

“ถ้ามีใครมาซ้อมแกจนตาย แกจะแก้แค้นไหมล่ะ” เฉินหลงมองชายคนนั้น

“ช่างเถอะ ดูแลเพื่อนฉันดีๆแล้วกัน พรุ่งนี้ฉันจะไปเจอสกุลซ่งของแกด้วยตัวฉันเอง แต่ถ้าเพื่อนฉันเป็นอะไรแม้แต่ผมเส้นเดียว ฉันขอให้สกุลซ่งรับมือความโกรธของฉันให้ได้ก็แล้วกัน ฉันจะไปคนเดียว ฉันไม่ได้มีคนเยอะแบบสกุลซ่งหรอกนะ”

หลังจากเขาทิ้งคำพูดที่คล้ายคำขู่ไว้ เฉินหลงและลู่หงก็เดินไป

“น่าสนใจนี่ เป็นคนที่น่าสนใจเสียจริง” เขามองแผ่นหลังของเฉินหลง ดวงตาฉายแววขี้เล่น