TB:บทที่ 88 ซ่งฟู่

เฉินหลงพักที่ห้องพักชั้นพิเศษที่โรงแรมหนึ่งคืนก่อนที่วันต่อมาเขาจะพาลู่หงและเทียซิงไปพบสกุลซ่งด้วยกัน

แม้เฉินหลงจะไม่เคยไปบ้านของสกุลซ่งมาก่อนก็ตาม แต่เขาหาที่นั่นได้ไม่ยาก เนื่องจากชื่อเสียงของสกุลซ่งในเมืองหลวงแห่งนี้

ก่อนหน้านี้เฉินหลงเคยซื้อรถเอาไว้ เมื่อถึงหน้าคฤหาสน์สกุลซ่งรถแท็กซี่สีส้มจอดก่อนที่จะขับออกไป

คฤหาสน์ของสกุลซ่งกินพื้นที่ถึงประมาณสิบสองถึงสิบห้าไร่เป็นขนาดพื้นที่ในเมืองหลวงที่ไม่น้อยเลย คฤหาสน์นี้สร้างขึ้นใหม่จากราชวังในสมัยราชวงศ์ชิง รูปลักษณ์ของสถาปัตยกรรรมยังเป็นแบบของราชวงศ์ชิง ทว่าใช้วัสดุสมัยใหม่ในการสร้าง บนขื่อประตูมีป้ายที่เขียนด้วยอักษรหน้าสองตัว “ซ่งฟู่”

หลังลงจากรถ ลู่หงเดินไปยังประตูใหญ่ของสกุลซ่ง เขาใช้กำปั้นใหญ่ทั้งสองทุบประตูอย่างแรงด้วยความไร้มารยาท ถ้าเฉินหลงไม่ได้ห้ามประตูสองบานนี้คงโดนลู่หงทำลายไปจนสิ้นแล้ว

“คุณเฉินนี่เป็นผู้ศรัทธาแน่ๆเลย” ชายคนที่เฉินหลงเจอเมื่อวานเปิดกลอนของประตูจากด้านใน

“แกไม่ได้เป็นแค่คนส่งสาส์นแต่ยังเป็นคนเปิดประตูด้วยเหรอ” เฉินหลงไม่ชอบขี้หน้าหมอนี่ เขาจึงไม่ทำตัวสุภาพแต่อย่างใด

“คุณเฉินนี่เป็นคนตลกจริงๆเลยนะครับเนี่ย ผมไม่ใช่คนรับใช้หรอกครับ ผมชื่อ ซ่งเจิ้ง”

อารมณ์ของซ่งเจิ้งช่างลึกซึ้ง ท่าทีเขาไม่ปลี่ยนไปตามคำพูดของเฉินหลงเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของเขายังคงเปื้อนด้วยรอยยิ้ม

ไม่ใช่ว่ามีชื่อเสียงดีกว่าฉันหรือ ทำไมลูกพี่เฉินหลงถึงตั้งใจทำตัวเหมือนเป็นรังโจรกัน

“คุณเฉินตามผมมานะครับ” ซ่งเจิ้งยังคงยิ้มอยู่ราวกับว่าเขาไม่ได้โกรธ

เมื่อผ่านประตูไปแล้ว ทัศนียภาพที่เฉินหลงได้เห็นคือพื้นที่กว้างใจกลางคฤหาสน์ การได้เดินข้างในนั้นช่างเหมือนกับเดินบนภูเขาและแม่น้ำ

“พวกคนรวยนี่เป็นเหมือนกระทิงจริงๆ”

หลังจากเดินตามซ่งเจิ้งไป เฉินหลงและอีกสามคนก็ได้มาถึงห้องหลักของพื้นที่กว้างใจกลางคฤหาสน์แห่งนี้

ประตูของห้องหลักเปิดออกมา เฉินหลงเห็น เจิ้งอี้ ซวีหมิงเหม่ย และเฉียนชานเจียอยู่ในนั้น ตรงกลางของห้องใกล้ๆกับที่กั้นคือเก้าอี้นวมขนาดใหญ่ ชายอายุราวๆห้าสิบปีนั่งอยู่บนนั้น ชายคนนี้เป็นผู้นำคนปัจจุบันของสกุลซ่ง ชื่อซ่งเทียนเจี่ย

เมื่อเฉียนชานเจียนเห็นเฉินหลง รอยยิ้มที่ขมขื่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า  ในขณะที่เจิ้งอี้และซวีหมิงเหม่ยกลับมีสีหน้าปกติ นั่นเป็นเพราะคนหนึ่งเป็นหุ่นยนต์และอีกคนหนึ่งเป็นลูกน้องที่ภักดี พวกเขาจะไม่ทำตัวเป็นภาระแก่เฉินหลง

ซ่งเจิ้งพาคนทั้งสามเข้ามาในห้อง เขาโค้งคำนับให้เทียนเจียและเดินไปยืนข้างๆ สถานะของเขาคงสูงพอสมควร

“นายคือเฉินหลงหรือ คนที่เป็นยอดมนุษย์ตั้งแต่ยังหนุ่ม” ซ่งเทียนเจี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มเมื่อได้เห็นหน้าเฉินหลง

“ยอดมนุษย์ไม่กล้าเรียกตัวเองว่ายอดมนุษย์หรอกครับ พวกเขาแค่คนที่ไม่ชอบการโดนรังแก” เฉินหลงไม่ได้แสดงท่าทีถ่อมตัวหรือโอหัง

เฉินหลงใช้เครื่องสืบหาเพื่อตรวจสอบดู เขาได้รู้ว่าคนตรงหน้าเขาตอนนี้คือนายใหญ่คนปัจจุบันของสกุลซ่ง ชื่อซ่งเทียนเจี่ย เขามีพลังกล้าแกร่งยิ่งกว่าเฉินหลง

เฉินหลงและซ่งเทียนเจี่ยเป็นระดับปรมจารย์ทั้งคู่ ทว่าในแต่ละระดับต่างก็มีจุดด้อยและจุดแข็ง อีกทั้งเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้อีกด้วยที่คนที่เพิ่งมีพลังระดับสูงจะเทียบเท่าได้กับคนที่เป็นระดับสูงมาเป็นเวลานาน

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เฉินหลงก็ไม่กลัวชายคนนี้ และเนื่องจากอุปกรณ์ที่เขามี เขาไม่มีทางที่จะพ่ายแพ้

“เชิญนั่งก่อน” ซ่งเทียนเจี่ยชี้ไปที่เก้าอี้ว่าง

เก้าอี้พวกนี้ทำจากไม้โรสวู้ดสีเหลืองทั้งหมด แต่ละตัวราคาหลายล้าน

แน่นอนว่าถ้าเขาไม่มีแว่นตาวิเคราะห์ก็ไม่มีทางรู้ได้เลย เขานั่งลง

“นายใหญ่ซ่งครับ ตอนนี้ผมก็อยู่ที่นี่แล้ว โปรดพูดธุระของคุณมาเถอะ และพอเรื่องจบแล้วผมจะได้พาเพื่อนผมกลับ พวกเขาไม่ชอบใจที่จะอยู่ที่นี่กันเท่าไร” เฉินหลงมองซ่งเทียนเจี่ยแล้วเขาก็พูดขึ้นหลังจากที่เขานั่งลง

“เราเคยเจอกันมาก่อนหรือไม่” ซ่งเทียนเจี่ยมองเฉินหลงด้วยสายตาใคร่รู้

เขาไม่เคยเจอเฉินหลงมาก่อน ทำไมเขาถึงจึงจะไม่รู้เรื่องนี้ จากข้อมูลที่เขามีเขารู้ว่าเฉินหลงไม่เคยได้ติดต่อกับคนใหญ่คนโตมาก่อน เขารู้อยู่แก่ใจ

“ไม่” เฉินหลงส่ายหัว

“แล้ว นายรู้ได้อย่างไรว่าฉันเป็นนายใหญ่ของสกุลซ่ง” ซ่งเทียนเจี่ยว่า

“เมื่อวานคุณส่งสาส์นมานี่ ว่านายใหญ่ของสกุลซ่งต้องการพบผม แล้วตอนนี้ก็มีคนพาผมมาพบคุณ แถมคุณยังนั่งอยู่บนบัลลังก์นั่นอีก คุณเป็นใครละครับ” เฉินหลงมองซ่งเทียนเจี่ยด้วยสีหน้าปกติ

“ถ้านายรู้แล้วว่าฉันเป็นใคร นายก็น่าจะรู้ว่าทำไมฉันถึงขอให้นายมาที่นี่” ซ่งเทียนเจี่ยกล่าว ขณะที่เขาพูดอยู่เขาก็ใช้นิ้วก้อยที่ตั้งไว้บนที่วางแขนเคาะเป็นจังหวะ

“นายใหญ่ของสกุลซ่งน่าจะติดต่อผมมาเพราะเรื่องที่ลาปาส ครับ ผมยอมรับว่าผมทำไปเพราะอยากจะทำร้ายพวกเขาและทำให้พวกเขาทำงานต่อไปอีกไม่ได้ ไม่ใช่ว่าสกุลซ่งให้ไปรังแกคนอื่นหรือครับ แต่ก็ไม่ได้ห้ามให้คนอื่นเอาคืนด้วยนี่ครับ” เฉินหลงกล่าวไม่ได้มีท่าทีเอาชนะ

“นายพูดถูกแล้วล่ะ บนโลกนี้น่ะมันอยู่ได้ด้วยกำปั้นที่ใหญ่และใครเป็นเจ้าของกำปั้นนั้น หรือใครจะทำร้ายคนอื่นได้และใครที่ไม่มีกำลังพอจะตอบโต้คนที่มาทำร้าย พลังของนายก็แข็งแกร่งทีเดียวแต่คิดจริงๆหรือว่านายคนเดียวจะต่อกรกับคนทั้งสกุลนี้ได้” ร่างกายของซ่งเทียนเจี่ยในตอนนี้เต็มไปด้วยความเหนือกว่าเนื่องจากเขาสามารถตัดสินความเป็นตายของผู้อื่นได้ดั่งใจ

ตอนที่ซ่งเต๋ากลับมาที่บ้านสกุลซ่ง ซ่งเทียนเจี่ยพบว่าคนที่เคยเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตนเองและมักไม่ย่อท้อต่อสิ่งใดอย่างซ่งเต๋ากลับสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเองไป ดาบของเขาไม่คมอย่างที่เคยเป็นแล้ว

และเพราะเขาเป็นดั่งกระดูกสันหลังของสกุลซ่ง ถ้าหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นจะต้องสร้างความเสียหายอย่างมากกับสกุลซ่งอย่างแน่นอน

ตอนที่ซ่งเต๋ากลับมา ซ่งเทียนเจี่ยให้คำปรึกษาด้านจิตใจกับเขามาตลอดเพื่อเรียกให้ความมั่นใจของเขากลับมา ไม่ว่าจะด้วยเพราะเขาเป็นหัวหน้าครอบครัวนี้หรือเพราะเขาเป็นพี่ใหญ่ก็ตาม ซ่งเทียนเจี่ยอยากให้ซ่งเต๋ากลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง อีกทั้งยังเนื่องจากว่าเมื่อความมั่นใจของใครคนหนึ่งได้สูญเสียไปแล้วการสร้างให้กลับมาใหม่นั้นไม่ง่ายเลยเพราะฉะนั้นการที่เขารู้สึกขุ่นเคืองใจต่อเฉินหลงก็คงเป็นเรื่องที่พอนึกออก

“คิดว่าผมไม่มีพลังพออย่างนั้นหรือครับ” เฉินหลงหันหน้าเปื้อนยิ้มไปทางซ่งเทียนเจี่ย

ถ้าเขาไม่ได้มีเครื่องมืออยู่และถึงแม้เขาจะมีระบบแต่เฉินหลงคงไม่กล้าสู้กับสกุลซ่ง ทว่าในตอนนี้ที่เขามีเครื่องมือพวกนี้แล้ว อีกอย่างเขาทำลายรูปปั้นที่มีพลังแข็งแกร่งโดยกำเนิดจนย่อยยับ กับแค่จัดการสกุลนี้ก็คงไม่ครนามือเขา

“งั้นหรือ” ซ่งเทียนเจี่ยมองเฉินหลงด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ก็ลองได้นี่ครับ” เฉินหลงกล่าวอย่างใจเย็น

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉียนชานเจียหมดคำพูดที่จะพูดกับเฉินหลง เจ้าน้องชายเขาเป็นบ้าไปแล้ว ถึงเขาจะแข็งแกร่งมากๆแต่อีกผ่ายก็เป็นตระกูลใหญ่ที่สามารถใช้คนมาฆ่าพวกเขาได้

ซ่งเจี่ยเจี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆมองเฉินหลงด้วยความตกใจ เขารู้ว่าเฉินหลงไม่ได้โอ้อวดไปอย่างนั้นแต่เขามีความมั่นใจอย่างมาก มีพลังอะไรสักอย่างหนุนหลังเขาอยู่หรือ

ตอนนั้นซ่งเทียนเจี่ยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ หลังเขาได้เป็นนายใหญ่ของสกุลซ่ง ซ่งเทียนเจี่ยวางแผนรับมือได้ทุกอย่าง แต่วันนี้เขารู้สึกลังเลเป็นครั้งแรกเมื่ออยู่เบื้องหน้าเฉินหลง