TB:บทที่ 89 สิบต่อหนึ่งกระบวนท่า

 

ตอนนี้เฉินหลงเป็นเหมือนลิงที่จู่ๆก็ได้ออกมาจากหิน พลังของเขาพัฒนาเร็วเกินไป ก่อนที่เขาจะได้ “โฮชิงจือ”มา กำลังของเขาเกือบเทียบเท่าได้กับ “โฮชิงจือ”แล้ว อีกอย่างตอนนี้พลังของเขาสามารถบดขยี้ซ่งเต๋าได้อย่างเด็ดขาดด้วย ซ่งเทียนเจี่ยเชื่อว่าไม่มีทางที่จะไม่มีพลังอะไรหนุนหลังเขา

ดังนั้นแม้ซ่งเทียนเจี่ยจะเป็นคนแน่วแน่มาตลอดคราวนี้เขาจึงรู้สึกลังเลใจเป็นครั้งแรก

“เอาล่ะ มาประลองกันเถอะ ถ้านายชนะฉันได้ภายในสิบประบวนท่าที่ฉันจะให้ นายพาพวกเพื่อนกลับไปได้เลยและความบาดหมางระหว่างเราจะจบลงไปด้วย แต่ถ้าหากนายแพ้ นายก็พาพวกเพื่อนกลับไปได้ แต่จะต้องขออภัยต่อสกุลซ่งของเราก่อน” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งซ่งเทียนเจี่ยก็คิดวิธีแก้ไขความขุ่นเคืองใจในสงครามครั้งนี้ได้

ไม่มีทางที่ซ่งเทียนเจี่ยจะกล้าลงมือจริงๆกับเฉินหลง ถ้ามีพลังคอยหนุนเฉินหลงอยู่จริง อย่างแย่ที่สุดสกุลซ่งคงเข้าสู่ภาวะวิกฤต ด้วยความเป็นนายใหญ่ของครอบครัวสกุลซ่ง ซ่งเทียนเจี่ยจะไม่ผลักสกุลของเขาสู่อนาคตที่ไม่แน่นอน และด้วยความเป็นเจ้าบ้าน เฉินหลงจะต้องรับผิดชอบด้วย ดังนั้นซ่งเทียนเจี่ยจึงคิดที่จะประลองกับเฉินหลง

“เอาตามความจริงเลยนะ ผมอยากจะเทียบกับคุณว่าคุณมีพลังแค่ไหนในฐานะที่เป็นหัวหน้าของสกุลซ่ง ถ้าคุณบอกว่าจะใช้สิบกระบวนท่าแล้วชนะ ผมก็จะเล่นกับคุณ” เฉินหลงมองซ่งเทียนเจี่ยด้วยสายตา “ชอบจังเลยที่คุณเกลียดผมแต่ก็ฆ่าผมไม่ได้”

“เชิญ”

ซ่งเทียนเจี่ยไม่ได้พูดเรื่อยเปื่อย เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ของเขาและยืนตรงจากนั้นเขาก็ทำท่าทางเชิญชวนเฉินหลง

“เชิญครับ”

เฉินหลงก็ยืนขึ้นเช่นกันและกล่าวขึ้น สุดท้ายแล้วเขาคือหัวหน้าครอบครัว แน่นอนว่าต้องเสียหน้านิดหน่อย

“แน่ใจว่าจะชนะนะ เจ้าน้อง” เฉียนชานเจียเดินไปหาเฉินหลงและถามเขา

เฉียนชานเจียรู้ว่าซ่งเทียนเจี่ยเป็นหัวหน้าใหญ่ของสกุล ไม่มีทางที่เขาจะอ่อนแอ ดังนั้นเขาจึงห่วงว่าเฉินหลงจะชนะซ่งเทียนเจี่ยไม่ได้

“ไม่หรอก แต่ถ้าแพ้ผมคงแค่ขอโทษ ผมก็ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่อะไรหรอกอย่างไรก็เถอะผมไม่มีหน้าจะแพ้หรอก อีกอย่างนะไม่แน่ว่าผมจะแพ้เสียหน่อย” เฉินหลงยิ้มให้เฉียนชานเจีย

ถึงพลังของซ่งเทียนเจี่ยจะแข็งกล้ากว่าเขาทว่าคงไม่ยากที่จะเอาชนะกระบวนท่าเพียงสิบกระบวนท่าได้

เขากับซ่งเทียนเจี่ยเดินไปสนามฝึกซ้อม ที่นั้นมีอุปกรณ์ฝึกฝนมากมาย ที่นี่ยังใช้เป็นที่ทดลองอาวุธอีกด้วย

“ระวังด้วยนะ เพราะฉันจะไม่ออมมือ” ซ่งเทียนเจี่ยที่ยืนอีกด้านหนึ่งของสนามฝึกซ้อมกล่าวกับเฉินหลงที่อยู่อีกฟาก

“เชิญเลยครับ”

เฉินหลงกล่าวคำเชิญสั้นๆตอบ

ซ่งเทียนเจี่ยออกแรงส่งไปที่เท้า ร่างทั้งร่างของเขาพุ่งไปข้างหน้าไปยังจุดที่เฉินหลงเคยยืนอยู่ด้วยความว่องไวทันที

เพียงเฉินหลงดีดนิ้วแค่ครั้งเดียวพลังฉีของ “กดจุดชีพจรตัดโลหิต” ก็ส่งไปยังซ่งเทียนเจี่ยในทันใด

และด้วยความที่ซ่งเทียนเจี่ยมีการรับรู้พลังฉีที่แรงกล้าทำให้เมื่อ“กดจุดชีพจรตัดโลหิต”ไปถึงตัวเขา เขาได้ทำท่าหลบพลังฉีนี้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามพลังโจมตีของเฉินหลงไม่ธรรมดาเลยทีเดียว พลังแรกเป็นการนำทางและต่อมาคือพลังที่ส่งจากสองมือ

แม้จะได้เป็นยอดปรมาจารย์แล้ว การใช้“กดจุดชีพจรตัดโลหิต”ยังคงจำกัดอยู่ แต่ทว่ายังใช้กับเหตุการณ์นี้ได้

ความรู้สึกถึงพลังฉีมาจากส่วนใบหน้าของเขา ซ่งเทียนเจี่ยรู้ว่าเขาไม่อาจจะหลบเลี่ยงพลังนี้ได้อีกต่อไป เขารวมพลังฉีไปที่ “จุดตัดของเลือด”

แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ง่ายเลยที่จะรับมือ“กดจุดชีพจรตัดโลหิต” หลังจากที่ซ่งเทียนเจี่ยสัมผัสโดนกระบวนท่านั้นแล้ว พลังฉีก็รุกรานเข้าไปยังเส้นเลือดของเขา ซ่งเทียนเจี่ยทำได้เพียงใช้พลังกด“กดจุดชีพจรตัดโลหิต” เอาไว้ด้วยพลังฉี

หลังจากที่ส่งพลังไปใช้กับ“กดจุดชีพจรตัดโลหิต”เป็นจำนวนมากแล้ว เฉินหลงหยุดและมองซ่งเทียนเจี่ยที่กำลังยุ่งอยู่กับการจัดการกับพลัง“กดจุดชีพจรตัดโลหิต”

ซ่งเจิ้งที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งแทบไม่เชื่อสายตาที่ซ่งเทียนเจี่ยเสียท่าให้กับเฉินหลง เป็นไปได้อย่างไรกัน

“ท่านอาจารย์ซ่ง ถ้าคุณไม่เข้ามาใกล้ผม ก็ไม่ต้องสู้กันแล้วครับ” เมื่อเฉินหลงใช้พลัง “กดจุดชีพจรตัดโลหิต” กับซ่งเทียนเจี่ย เขาก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ฉันยอมรับว่าดูถูกนายไปแล้ว พลังของนายแทบไม่น้อยไปกว่าฉัน ดังนั้นการประลองนี้จะตัดสินด้วยกระบวนท่าเดียว ถ้ายังรอดจากกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของฉันได้ นายก็ชนะไป เอาล่ะดูซะกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของฉัน”

ด้วยคำพูดนั้นซ่งเทียนเจี่ยไม่รู้ว่ามีวิธีลับที่เขาเคยใช้อยู่ เขาทำเพียงพ่นพลังเล็กน้อยในปากเขา แล้วตัวของเขาจู่ๆก็ขยายใหญ่ขึ้น สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นดุร้าย ซ่งเทียนเจี่ยเดินเข้าหาเฉินหลงทีละก้าว

เฉินหลงไม่รู้ว่าตัวเองประสาทหลอนไปหรืออย่างไร เขาคิดว่าซ่งเทียเจี่ยจะขยับตามทุกก้าวที่เขาเดิน ความรู้สึกนี้ทำให้เฉินหลงสงบใจลงไม่ได้

เฉินหลงส่ายหัวไปมา พยายามที่จะสลัดความรู้สึกนี้ออกไป แต่เขาทำไม่ได้

เฉินหลงพบว่าเขากำจัดความรู้สึกนี้ออกไปไม่ได้ เขาเตรียมรับมือกระบวนท่าต่อไปของซ่งเทียนเจี่ยเพื่อดูพลังและดูว่าเขาจะป้องกันการโจมตีได้หรือไม่

ในตอนที่ซ่งเทียนเจี่ยเข้ามาใกล้เรื่อยๆเฉินหลงรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่รุนแรงในทันที เขารู้สึกเหมือนกับว่ายอดเขาทั้งลูกกำลังทับเขาอยู่ เพราะเช่นนั้นเฉินหลงจึงรู้สึกหงุดหงิดเขาอยากจะเลิกประลองซะตอนนี้และยอมรับความพ่ายแพ้

ในทันทีที่เฉินหลงมีความคิดนี้ขึ้นมานั้น ตรงหน้าก็มีเพียงใบหน้าดุร้ายของซ่งเทียนเจี่ยที่ติดอยู่ในสายตาเขา

เมื่อได้เห็นเฉินหลงสับสนเช่นนั้นแล้ว ซ่งเทียนเจี่ยคิดว่าเขาจะชนะการประลองโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อแล้ว แต่เมื่อเขาเห็นเฉินหลงลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วเขาก็นึกแปลกใจขึ้นมาทันที

ซ่งเทียนเจี่ยเดินไปหาร่างของเฉินหลงและผลักอกของเขา ด้วยพลังในตอนนี้เขากลัวเหลือเกินว่ากำปั้นของเขาจะทำให้หัวเฉินหลงกระเด็นหลุดไป เขาจึงทำได้เพียงทุบไปที่อก

เฉินหลงไม่กลัวแต่อย่างใด กำปั้นขวาของเขาต่อยไปอย่างแรงที่กำปั้นของซ่งเทียนเจี่ย

“ตู้ม”

เสียงดังสนั่นดังขึ้นตามมาด้วยเสียงน้ำสาดกระจาย

เฉินหลงและซ่งเทียนเจี่ยถอยหลังกันไปคนละก้าวสองก้าวพร้อมๆกันเนื่องจากแรงระดับต้านแผ่นดินไหว แต่เฉินหลงถอยไปไกลกว่าซ่งเทียนเจี่ยเล็กน้อย

หลังจากยืนมั่นได้ ฉินหลงก็ถ่มเลือดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้เขาจะขวางกระบวนท่าของซ่งเทียนเจี่ยได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บ

“นายชนะการประลอง” แม้เฉินหลงจะโดนเขาอัดและอาเจียนออกมา แต่เฉินหลงก็ขวางกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาได้ ซ่งเทียนเจี่ยนิ่งอึ้ง เขามองเฉินหลงก่อนจะพูดออกมา

พลังของทักษะลับแบบนี้และด้วยสถาพจิตใจของเขาในตอนนั้นคงทำการโจมตีเช่นนี้ได้เพียงแค่ครั้งเดียว ถ้าใช้กระบวนท่านี้อีกครั้งคงจะเกิดความเสียหายอย่างหนักต่อร่างกายเขา

“ขอบคุณ” เฉินหลงเป็นเหมือนผู้เยี่ยมยุทธ์คนหนึ่ง เขายื่นกำปั้นให้ซ่งเทียนเจี่ย

ท่ามวยนี้เขาเห็นมาจากหนัง ตอนนี้เขาได้ใช้แล้ว

แล้วเฉินหลงก็พาพวกเฉียนชานเจียออกไปจากตระกุลซ่งแห่งนี้

“ท่านอาจารย์ พลังของเฉินหลงกล้าแกร่งถึงเพียงนี้จริงหรือ” หลังจากที่พวกเฉินหลงออกไปแล้ว ซ่งเจิ้งก็ถามขึ้น

“พลังของเขาแกร่งกล้ามาก อาจน้อยกว่าข้าเพียงเล็กน้อย อย่าไปท้าทายเขาอีกในอนาคตหากไม่จำเป็น” สำหรับเฉินหลงแล้ว ซ่งเทียนเจี่ยรู้สึกว่าหากไม่จำเป็นอะไรก็ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก “ปรมาจารย์” ที่ยังหนุ่มขนาดนี้หากไม่สามารถผลักให้ออกห่างไปได้ ก็เป็นเขาที่ต้องหลีกห่างไปให้ไกล