TB:บทที่ 90 ส่งมอบบ้านและส่งมอบรถ

 

“น้องเฉิน เป็นอะไรหรือเปล่า คราวนี้ฉันติดหนี้บุญคุณครั้งใหญ่เลย” เฉียนชานเจียกล่าวกับเฉินหลงหลังจากออกมาจากบ้านตระกูลซ่งแล้ว

ตอนที่เขาอยู่เมืองนอก เฉินหลงได้ช่วยเขาไว้ และตอนนี้เมื่อเขากลับมาแล้วเขาก็ยังต้องพึ่งพาเฉินหลงให้มาช่วยเขาจากสกุลซ่งอยู่ แถมเขายังเจ็บตัวอีก เฉียนชานเจียรู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อเฉินหลงเท่าไรนัก

“พี่เฉียนครับ ผมไม่เป็นไร ผมแค่บาดเจ็บแค่เล็กๆน้อยๆ คราวนี้พวกมันเล็งเป้ามาที่ผม ถ้าพวกมันไม่ได้แสดงพลังอะไร พวกมันคงไม่ยอมแพ้หรอก สำหรับสกุลใหญ่อย่างพวกมันแล้ว คนที่ให้ความสนใจกับคนที่แข็งแกร่งคือหัวหน้า ถ้าหากพวกเราไม่อยากให้พวกมันมาก่อกวน เราควรทำให้พวกมันลำบากใจที่จะมากวน” และหากไม่ใช่เพราะรูปลักษณ์ที่ไม่เกรงกลัวอะไรและพลังของตัวเขาเองที่ทำให้ซ่งเทียนเจี่ยไม่กล้าทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นเขาคงไม่ได้เดินออกมาจากบ้านสกุลซ่งได้ง่ายขนาดนี้

“น้องเฉิน อย่างไรซะฉันก็ติดหนี้ชีวิตถึงสองครั้ง” เฉียนชานเจียมองเฉินหลงด้วยสีหน้าจริงจัง “และนายก็ไม่มีที่อยู่ในเมืองหลวงตอนนี้ใช่ไหม ให้พี่นายได้พาไปดูเถอะนะ”

เมื่อพูดจบเฉียนชานเจียก็ลากเฉินหลงไปที่ลานบ้านข้างนอกในซอยแห่งหนึ่งทางด้านตะวันออกของเมืองหลวง

หลังจากเฉินหลงเข้าไปอีกหลายคนก็เดินตามเข้ามา

แม้บ้านที่มีลานหญ้าทรงสี่เหลี่ยมตรงกลางนี้จะสู้กับ “บ้านพักตระกูล” ของสกุลซ่งไม่ได้แต่บ้านนี้ก็มีขนาดใหญ่มากพอตัว ขนาดของที่นี่คือประมาณห้าไร่ มีห้องยี่สิบสามห้อง มีต้นบีโกเนียและต้นทับทิมปลูกอยู่ที่ลานตรงกลาง สมัยเมืองหลวงเก่า ต้นบีโกเนียมีความหมายถึงความกลมเกลียวของพี่น้อง และต้นทับทิมหมายถึงลูกชายหลายคน

ที่นี่ยังมีอ่างปลาขนาดใหญ่ในนั้นมีปลาทองและดอกบัว ต้นบัวสาย ผักปลาและพืชชนิดอื่น

ในยุคเมืองหลวงเก่า อ่างปลาเป็นเครื่องเรือนและของประดับที่ขาดไม่ได้ในลานบ้าน การเพาะพันธุ์ปลาทองในสมัยนั้นหมายถึง “การมีกินมีใช้ตลอดปี” และ “ความร่ำรวยและความอุดมสมบูรณ์” วัฒนธรรมการเลี้ยงปลาไม่ได้มีความหมายเพียงด้านการเกษตรแต่ยังเป็นการช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมและจิตวิทยาในลานบ้านด้วย อ่างปลาและปลาทองเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการจัดลานบ้านช่วงสมัยเมืองหลวงเก่าเรื่อยมาจนถึงสมัยเมืองหลวงปัจจุบัน

บ้านหลังนี้ดูยังมีรูปแบบใหม่ๆ คล้ายๆกับ “ปราสาท” ของตระกูลซ่งที่ยังคงรักษารูปแบบสถาปัตยกรรมของราชวงศ์ชิงไว้อยู่ ทว่าได้เก็บความเป็นเทคโนโลยีของสมัยใหม่ไว้ด้วย และเพราะการออกแบบเช่นนี้ รูปแบบของบ้านนี้จึงไม่ได้ดูเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

“น้องเฉิน บ้านหลังนี้ดูไม่แย่เลยใช่ไหมละ” เฉียนชานเจียกล่าวยิ้มๆ

“พี่เฉียนครับ พี่ไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม ถึงผมจะเป็นคนบ้านนอก แต่ผมก็รู้ว่าราคาบ้านในปักกิ่งช่วงนี้กำลังพุ่งขึ้น โดยเฉพาะบ้านทรงนี้ที่มีค่ามากกว่าสองร้อยล้านหยวนแล้ว ถ้ามีบ้านแบบนี้ในปักกิ่งคงไม่ต้องห่วงเรื่องความเป็นอยู่แล้ว อีกอย่างที่นี่ไม่ได้เป็นแค่ที่ดีๆนะที่นี่น่ะเป็นเหมืองทองเลยล่ะ” เฉินหลงได้แต่กรอกตา

ในตอนที่เฉินหลงกล่าว ตราบใดที่มี ระบบอยู่ก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องเงินไปตลอดชีวิต

“ชอบไหมละ ถ้าให้นาย นายจะชอบไหม อย่างไรฉันก็ไม่อยู่ที่นี่อยู่แล้ว คงน่าเสียดายถ้าทิ้งไว้เฉยๆไม่มีประโยชน์อะไร” เฉียนชานเจียกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้รู้ว่าเฉินหลงอยากจะอยู่ฝึกฝีมือที่เมืองหลวงนี้ เฉียนชานเจียคิดได้ว่าเขาจะให้ที่อยู่ในเมืองหลวงกับเฉินหลง เขาเป็นหนี้เฉินหลงมากเกินกว่าจะทดแทน แค่ให้บ้านพวกนี้ไปเขายังรู้สึกว่าไม่พอเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างเฉียนชานเจียไม่อยากจะอยู่ที่เมืองหลวงอีกแล้ว เพราะเมืองหลวงเป็นบ้านของสกุลซ่ง แม้พวกเขาจะไม่ต้องการอะไรจากพวกเฉียนชานเจียอีกแต่ใครจะไปรู้ละ เขารู้สึกไม่สบายใจที่จะอยู่ในเมืองหลวงนี้แล้ว เขาควรไปไกลๆ

“พี่เฉียน แล้วพี่จะไปอยู่ที่ไหน” เฉินหลงถาม

คนที่ยอมยกบ้านให้คนอื่นแบบไม่ต้องการอะไรตอบแทนแบบนี้ เฉินหลงไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับ

“ฐานการผลิตฉันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว อีกอย่างตอนฉันมาที่เมืองหลวง นายคงไม่ทิ้งให้ฉันนอนข้างถนนหรอกใช่ไหม”

เฉียนชานเจียขยิบตาให้เฉินหลง

“ได้ งั้นผมจะรับบ้านนี้ไว้” เฉินหลงไม่สุภาพแล้ว

หลังจากที่เฉียนชานเจียให้คนมาทำเอกสารโอนย้าย เฉินหลงคิดไม่ถึงว่าเอกสารที่ส่งไปแล้วจะมีอย่างอื่นอีก

คนคนนี้คือผู้ช่วยส่วนตัวของเฉียนชานเจีย เสี่ยวหยางคนที่ให้พาสปอร์ตกับพวกเฉินหลงเมื่อครั้งก่อน

เมื่อเฉินหลงเซ็นชื่อในเอกสารแล้วเขาก็พบว่ายังมีวิลล่าในถนนวงเวียนอีกที่รวมถึงเอกสารโอนย้ายยานพาหนะด้วย

“พี่เฉียนนี่มัน…”

“ต่อไปฉันไม่อยู่เมืองหลวงบ่อยนัก คงดีกว่าถ้าให้นายไว้เผาให้พี่ชายคนนี้” สีหน้าเฉียนชานเจียนไม่ต่างไปจากเดิม

สำหรับเขาแล้วเงินเป็นเพียงตัวเลข ตราบใดที่เขายังมีธุรกิจอยู่เงินที่ใช้ไปไม่นานก็หากลับมาใหม่ได้

“ตกลง” จากนั้นเฉินหลงก็เซ็นชื่อในเอกสาร

หลังเซ็นชื่อแล้วของพวกนั้นที่อยู่ในเอกสารก็กลายเป็นของทรัพย์สินส่วนตัวของเฉินหลงพร้อมทั้งการคุ้มครองทางกฏหมาย

หลังได้เห็นเฉินหลงเซ็นชื่อแล้ว เฉียนชานเจียก็เผยยิ้มออกมา

เมื่อเฉินหลงและเฉียนชานเจียกินข้าวด้วยกันแล้วเฉียนชานเจียก็ออกไปจากเมืองหลวงและถ้าเป็นไปได้เขาคงไม่ขอกลับมาอีก

แต่ถึงแม้ว่าเฉียนชานเจียจะไปจากเมืองหลวงแล้วเขาได้ลืมคนไปคนหนึ่งเสียสนิท คนคนนั้นคือคุณเต๋า หรือกวงหาน เต๋าคนที่ตัดหัวซ่งหยู่ด้วยมีด ตอนนี้คุณเต๋าเป็นเหมือนคนธรรมดาที่ทำตัวให้กลมกลืนไปกันคนอื่นเพื่อเฝ้ารอคอยคำสั่งต่อไปของเฉียนชานเจีย ทว่าเขาไม่รู้เลยว่าจะไม่มีคำสั่งอีกต่อไปแล้ว เพราะในหัวเฉียนชานเจียเรื่องที่ฆ่าซ่งหยู่โดนปิดผนึกไปเสียแล้ว

พอเฉียนชานเจียไป เฉินหลงได้ไปที่โรงรถในบ้านหลังนั้น ที่นั่นมีรถห้าคันคือ เบนท์ลีย์มูสสีดำ แมคลาเรนพีวันสีเงิน แลมโบกีนีแบทสีเหลือง และเฟอรารี่สีแดงสองคันที่มีรุ่นสี่ห้าแปดและลาเฟอรารี่จอดอยู่

“ไม่คิดว่าพี่เฉียนจะเป็นพวกชอบซิ่งนะเนี่ย รถสี่ในห้าคันเป็นรถซิ่ง เบนท์ลีย์มูสสีดำคันนี้ให้พวกเจิ้งอี้ขับดีกว่า แล้วสี่คันที่เหลือฉันจะขับเอง” เฉินหลงรู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุด

รถซิ่งเป็นสิ่งที่ผู้ชายทุกคนหลงรัก ทั้งผู้ชายและผู้หญิงก็ต่างเดือดพล่านให้กับความเร็วและเสียงเครื่องยนต์นี่ เพียงแต่ว่าคนส่วนมากซื้อพวกมันไม่ได้ ผู้หญิงบางคนเลือกที่จะร้องไห้ในบีเอมดีบเบิ้ลยูมากกว่าที่จะหัวเราะบนหลังมอเตอร์ไซค์

เมื่อได้เห็นรถแล้วเฉินหลงก็ขอให้เจิ้งอี้ขับเบนท์ลีย์มูสและจัดการดำเนินบริษัทต่อให้ ขณะที่เฉินหลงขับแมคลาเรนพีวันไปที่วิลล่าที่เฉียนชานเจียได้ให้เขาไว้

เมื่อแมคลาเรนพีวันขับข้ามถนนไปนั้นมันได้เรียกความสนใจของคนจำนวนมาก เพราะหน้าตาของแมคลาเรนพีวันเท่มากเฉินหลงจึงทิ้งแลมโบกีนีแบทและเฟอรารี่สองคันมาขับแมคราเรนพีวัน

วิลล่าหลังนี้กินพื้นที่ถึงพันตารางเมตร วิลล่าเป็นทรงยุโรปสองชั้น มีสวน น้ำพุ สระว่ายน้ำและอะไรอีกมากมาย เฉินหลงคิดว่าวิลล่าดีกว่าบ้านทรงเหลี่ยมนั่น เขาชอบความทันสมัยของวิลล่านี่ทำให้รู้ว่าเขาเป็นเศรษฐีก็ว่าได้

แน่นอนว่าเฉินหลงก็กล่าวได้ในขณะเดียวกันว่าสิ่งของเหล่านี้ไม่สามารถกินเข้าไปได้ แต่ใช้ได้