หลังสงคราม โดย Ink Stone_Fantasy

แน่นอนว่านี่ย่อมต้องเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าหากปีศาจมีความสามารถแบบนี้ตั้งแต่เมื่อ 400 ปีก่อน อย่าว่าแต่ 10 ปีเลย เกรงว่าแค่ 1 – 2 ปี พวกแม่มดก็คงถูกพวกปีศาจไล่ฆ่าทิ้งจนหมดแล้ว

เพราะด้วยกำลังของแม่มดอมนุษย์ที่มีจำนวนน้อยนิดนั้นไม่สามารถต้านทานศัตรูที่ดาหน้าเข้ามาอย่างไม่ขาดสายได้เลย ทันทีที่ค่ายสังเกตการณ์แต่ละค่ายมีการตั้งเสาหินอาญาสิทธิ์เมื่อไร สิ่งที่แม่มดทำได้ก็มีแต่นั่งรอความตายอยู่เฉยๆ เท่านั้น

โรแลนด์ย่อมต้องรู้ว่าการจะสกัดเสาหินอาญาสิทธิ์ออกมานั้นมีความยากแค่ไหน คุณสมบัติพิเศษของหินอาญาสิทธิ์ก็คือยิ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ มันก็จะยิ่งมีความแข็ง เขาเคยใช้ปืนยิงแร่หินอาญาสิทธิ์ขนาดใหญ่ที่อยู่ชั้นล่างของเหมืองตรงเนินทิศเหนือ แต่กระสุนก็ทำได้เพียงทิ้งรอยขาวๆ เอาไว้บนหินเท่านั้น วิธีเดียวที่จะสกัดมันออกมาได้คือใช้เลือดเวทมนตร์ค่อยๆ กัดเซาะมันออกมา ก่อนจะเอามาเจียระไนทีหลัง ด้วนเหตุนี้หินอาญาสิทธิ์ที่มีขนาดใหญ่จึงมีราคาแพงอย่างมาก

แต่ต่อให้เป็นเสาหินอาญาสิทธิ์ที่อยู่ในวิหารที่เฮอร์มีสก็ยังไม่ใหญ่ขนาดนี้เลย เมื่อฟังจากคำบอกเล่าของแม่มดน้ำแข็งแล้ว ดูเหมือนว่าพวกปีศาจปีศาจจะใช้อาวุธมีคมบางอย่างตัดหินอาญาสิทธิ์ออกมา ถ้าไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายมีเทคโนโลยีในการแปรรูปหินอาญาสิทธิ์ที่ล้ำหน้าแล้วล่ะก็ นั้นก็หมายความว่าพวกมันมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องเวทมนตร์ที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีกขั้นแล้ว

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ล้วนแต่ไม่ใช่ข่าวดีทั้งสิ้น

“เมื่อคิดโยงไปถึงอาวุธใหม่ของพวกปีศาจที่ปรากฏออกมา ช่วงเวลา 400 ปีมานี้พวกมันไม่ได้อยู่เฉยๆ เลย…” โรแลนด์พูดพร้อมเคาะโต๊ะ “ดูเหมือนสงครามโชคชะตาครั้งที่สามจะรับมือได้ยากกว่าที่เราคิดเอาไว้ซะแล้ว”

ความกังวลในตอนแรกได้รับการพิสูจน์แล้ว เมื่อเทียบกับปีศาจในยุคสมัยสมาพันธ์ ตอนนี้พวกมันไม่เพียงแค่จะเจ้าเล่ห์ขึ้น แม้แต่เทคโนโลยีของพวกมันก็รุดหน้าไปอย่างมาก อย่างเช่นสิ่งมีชีวิตแบบผสมผสานอย่างสัตว์ประหลาดแมลงนั้นเรียกได้ว่าเป็นอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการกับแม่มดสายต่อสู้ทั่วๆ ไปโดยเฉพาะ ระยะยิง 2 กิโลเมตรนั้นเพียงพอจะทำให้พวกมันโจมตีใส่แม่มดได้โดยที่พวกเธอไม่ทันได้ป้องกัน กว่าแม่มดจะรู้ตัว พวกเธอก็ใช้พลังออกมาไม่ทันแล้ว

ถึงแม้จะมีแม่มดที่มีความสามารถในการตรวจสอบเหมือนซิลเวีย แต่ขอเพียงศัตรูโจมตีแบบปูพรมออกมา แม่มดที่ความสามารถในการป้องกันถูกจำกัดเอาไว้ที่ระยะ 5 เมตรจะปกป้องเพื่อนแม่มดได้กี่คน?

“แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ความเร็วในการวิวัฒนาการของปีศาจมันล้ำหน้าพวกเราไปจริงๆ” โซอี้พูด “ถ้านี่เป็นศึกที่เกิดขึ้นในยุคสมัยสมาพันธ์ พวกเราคงต้องแพ้อย่างย่อยยับแน่”

โรแลนด์ย่อมต้องจินตนาการออก การถูกโจมตีกระหนาบจากสองด้าน เส้นทางด้านหลังถูกตัดขาด บนฟ้ามีปีศาจระดับสูงคอยจับตาดูอยู่ บนพื้นมีปีศาจคุ้มคลั่งจำนวนมหาศาล พวกปีศาจแบบใหม่ที่มีความสามารถในการโจมตีเป็นวงกว้าง ด้วยการโจมตีแบบนี้เกรงว่าคงมีแม่มดเพียงไม่กี่คนที่หนีรอดจากการซุ่มโจมตีนี้ได้

ปัญหาในตอนนี้ก็คือเจ้าสัตว์ประหลาดแมลง 5 ตัวนี้เป็นไพ่ตายสุดท้ายของพวกปีศาจแล้วหรือยัง หรือว่านี่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในกองทัพอันล้ำหน้าของพวกมัน? นอกจากสัตว์ประหลาดแมลงแล้ว ปีศาจยังพัฒนาอาวุธอื่นขึ้นมาอีกหรือเปล่า? แล้วพวกมันหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วควรจะรับมืออย่างไร?

นี่เป็นปัญหาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ต้องรีบหาคำตอบโดยด่วน

หลังรายงานผลการรบจบ หลังจากนั้นก็เป็นการรายงานจำนวนผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตของกองทัพที่หนึ่ง

สำหรับรายงานในส่วนนี้ โรแลนด์พอจะทราบคร่าวๆ หลังการรบจบลงแล้ว ซึ่งในรายงานอย่างละเอียดที่ได้รับหลังจากนั้นอีก 4 วันก็ไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไร นี่ย่อมต้องเป็นความดีความชอบของนาน่ากับลิลลี่อย่างไม่ต้องสงสัย

ทั้งกองทัพมีทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 190 กว่าคน เสียชีวิตไป 75 คน ส่วนใหญ่ล้วนแต่บาดเจ็บเพราะสัตว์ประหลาดแมลง เข็มหินที่ถูกยิงลงมาจากเหนือหลุมเพลาะนั้นทำให้เหล่าทหารไม่สามารถหลบไปไหนได้ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่แทงทะลุร่างคนแล้วมันยังปักลงไปในดินโคลน เหมือนกับเป็นการตอกยึดเหล่าทหารเอาไว้ในหลุมเพลาะ และเพื่อจะส่งเหล่าคนเจ็บเข้าไปในรักษาตัวต่อในค่าย หน่วยพยาบาลจึงจำเป็นต้องดึงเอาเข็มหินที่ยาวเมตรกว่าออกมา ผลก็คือเหล่าทหารเสียเลือดเป็นจำนวนมาก บาดแผลร้ายแรงหลายแห่งกับวิธีการรักษาพยาบาลที่ไม่ถูกต้อง ทำให้หลายๆ คนหยุดหายใจไปในเวลาแค่ไม่กี่นาที

โรแลนด์ย่อมไม่มีทางไปโทษหน่วยพยาบาลแน่ ความจริงแล้วการออกไปปฏิบัติหน้าที่ในสนามรบครั้งแรกของหน่วยพยาบาลก็ช่วยยื้อเวลาให้คนเจ็บได้อย่างมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพลังเวทมนตร์ของนาน่าก็ไม่มีทางที่จะช่วยคนเจ็บจำนวนมากขนาดนี้ได้พร้อมกันด้วย ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่ต้องใช้วิธีรักษาคนที่บาดเจ็บสาหัสก่อนเป็นอันดับแรก

หลังจากนี้เมื่อสงครามมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คนบาดเจ็บที่นาน่าจะดูแลได้ก็จะมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายกองทัพที่หนึ่งก็ต้องพึ่งตัวเองในการแก้ไขปัญหาการรักษาพยาบาล

“เอาอัฐิของทหารผู้เสียสละกลับมา” เขาพูดเสียงต่ำ “เนเวอร์วินเทอร์จะไม่มีทางลืมพวกเขา”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” ขวานเหล็กตอบด้วยน้ำเสียงคร่ำเคร่งเช่นเดียวกัน

“อย่างนั้น….ปฏิบัติการของกองทัพที่หนึ่งหลังจากนี้ พระองค์ทรงมีแผนการอะไรไหมเพคะ?” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือถาม “เห็นได้ชัดว่าความเสียหายของศัตรูนั้นเหนือไปกว่าที่พวกมันคาดเอาไว้ จากการตรวจสอบของคุณหนูไลต์นิ่ง อสูรสยองที่ลาดตระเวนอยู่บริเวณซากเมืองทาคิลาก็มีจำนวนน้อยลงไปมาก นางบินเข้าไปใกล้จนถึงระยะ 100 กิโลเมตรถึงจะเจอปีศาจเข้ามาดักไว้ นอกจากนี้คุณหนูซิลเวียก็ยืนยันในจุดนี้เหมือนกัน นอกจากสัตว์ประหลาดโครงเหล็กที่เหมือนหอคอยสูงพวกนั้นแล้ว ลำแสงเวทมนตร์ที่เหลืออยู่ก็มีไม่ถึงหนึ่งพัน พูดอีกอย่างก็คือฐานบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ของพวกมันในตอนนี้อยู่ในสภาพว่างเปล่าแล้วเพคะ”

โรแลนด์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจออกมาว่า “เอาไว้รักษาผู้บาดเจ็บเสร็จแล้วก็ให้ถอนทัพกลับมาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้วกัน”

“พระองค์ทรงกังวลว่าจะส่งเสบียงและอาวุธเข้าไปไม่ทันเหรอเพคะ?”

“ถ้าพวกเราไม่สามารถยึดซากเมืองได้ การบุกไปทางเหนือต่อมันก็ไม่มีประโยชน์” เขาจิบชาคำหนึ่ง “ยิ่งไปกว่านั้น…นี่ก็ใกล้จะถึงฤดูหนาวแล้วด้วย”

ถึงแม้เดือนแห่งปีศาจจะไม่ได้มาตรงเวลาตามฤดูกาล แต่สำหรับคนที่อาศัยอยู่รอบๆ ดินแดนรกร้างแล้ว หิมะที่ตกลงมาไม่หยุดกับเมฆที่บดบังแสงอาทิตย์เอาไว้ต่างหากถึงจะเป็นฤดูหนาวอย่างแต่จริง

ถึงตอนนั้นกองทัพที่หนึ่งไม่เพียงแต่จะต้องเผชิญกับสภาพอากาศอันเลวร้าย แต่พวกเขายังต้องคอยป้องกันสัตว์อสูรที่มีอยู่ทั่วทุกที่ด้วย การทำสงครามในระยะทางที่ไกลขนาดนี้ เมืองเนเวอร์วินเทอร์ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะส่งเสบียงและอุปกรณ์กันหนาวไปให้พวกเขาได้ อีกทั้งกระสุนที่ยากจะสนับสนุนให้เพียงพอนั้นจะทำให้กองทัพที่หนึ่งต้องเจอกับศึกหลายด้าน

ด้วยเหตุนี้การใช้ชีวิตในดินแดนรกร้างในฤดูหนาวจึงเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก

ถ้ารอให้หิมะตกลงมา ถ้าอยากจะให้พวกทหารถอยกลับมาก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว

“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ” เอดิธส์รับคำ “ทีมที่ปรึกษาจะเตรียมแผนถอยทัพเอาไว้ให้ท่านผู้บังคับบัญชาเพคะ”

“เน้นความปลอดภัยเป็นสำคัญ” ในขณะที่โรแลนด์กำลังจะเตรียมจบ ‘การประชุมทางไกล’ นี้ จู่ๆ เสียงของอกาธาก็ดังแทรกขึ้นมา

“ฝ่าบาท มีเรื่องหนึ่งที่พระองค์จำเป็นต้องรู้เพคะ”

“หืม? เรื่องอะไร”

“คืออย่างนี้เพคะ ปีศาจระดับสูงที่ถูกแม่มดอาญาสิทธิ์จัดการตัวนั้น ตอนนี้มันยังมีชีวิตอยู่เพคะ…”

พอได้ยินสิ่งที่อกาธาเล่ามา โรแลนด์พลันตึกตะลึงไปทันที

“ให้คามิล่าเชื่อมต่อกับวิญญาณของปีศาจ แบบนี้มันจะดีเหรอ?”

ไม่ใช่แค่จิตใจเท่านั้น ในอีกแง่หนึ่งมันจะเท่ากับเป็นการแชร์ความรู้สึกและกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมันด้วย พูดอีกอย่างคือในตอนที่ทำการสะท้อนทางวิญญาณ คนที่ทำการเชื่อมต่อจะได้สัมผัสรสชาติของการเป็นปีศาจว่าเป็นยังไง ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าลิ้มลองเท่าไร ประสบการณ์ในตอนที่ไปสิงอยู่ในร่างเปลือกของแม่มดทาคิลานั้นได้แสดงให้เห็นว่าข้อมูลทางประสาทสัมผัสที่ไม่ได้เป็นของมนุษย์นั้นอาจจะทำให้ความคิดของตัวเองเกิดความสับสนได้ หลังจากเคยชินแล้วจะไม่สามารถกลับมาอยู่ในสภาพปกติได้อีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าหากจิตใจที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงสองดวงมาเจอกันมันจะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง

นี่ทำให้เขาคิดถึงคำว่า ‘การปนเปื้อนทางจิตวิญญาณ’ ขึ้นมา

“มันมีความเสี่ยงสูงมาก ดังนั้นหม่อมฉันเลยปรึกษากับโซอี้อยู่หลายครั้งจนได้วิธีที่น่าจะใช้วิธีหนึ่งเพคะ”