เบื้องหลังวิญญาณ โดย Ink Stone_Fantasy
“วิธีอะไร?”
อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาว่า “ถ้าการที่มนุษย์รับเอาการรับรู้ของปีศาจมาเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง อย่างนั้นเราก็เปลี่ยนปีศาจให้กลายเป็นคนซะก็สิ้นเรื่องเพคะ”
“เจ้าจะบอกว่า…ถ่ายโอนวิญญาณอย่างนั้นเหรอ?” โรแลนด์เข้าใจประเด็นทันที
“พระองค์เคยบอกว่าในโลกแห่งความฝันก็มีปีศาจอยู่เหมือนกัน นั่นก็หมายความว่าผู้สืบทอดของเมืองสตาร์ฟอลคนนั้นเคยใช้ความสามารถในการดึงเอาวิญญาณของปีศาจออกมา อย่างน้อยนี่ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าพวกมันจะได้รับผลกระทบของแกนเวทมนตร์สำหรับถ่ายโอนวิญญาณเหมือนกัน” โซอี้พูดอธิบาย “หลังจากนี้ขอเพียงย้ายวิญญาณของปีศาจไปอยู่ในร่างของนักรบอาญาสิทธิ์ ความเสี่ยงในเรื่องการรับรู้ก็จะกลายเป็นตัวปีศาจที่ต้องแบกรับเพคะ”
“อย่างนี้นี่เอง” โรแลนด์พยักหน้าออกมา ถ้าเอาร่างนักรบอาญาสิทธิ์มาเป็นร่างภาชนะ ก็เท่ากับเป็นการบีบให้ปีศาจต้องเป็นคนปรับตัวเข้ากับมนุษย์แทน ส่วนการสะท้อนกลับทางการรับรู้ที่ผู้เชื่อมต่อวิญญาณได้รับก็จะเป็นข้อมูลที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ในสถานการณ์ที่อีกฝ่ายกำลังปั่นป่วนจะยิ่งทำให้ครองความได้เปรียบในการต่อสู้ทางด้านจิตใจได้ง่าย ฟังดูแล้วเป็นวิธีที่ไม่เลวทีเดียว “แต่พวกเจ้าก็จะเสียภาชนะในการถ่ายโอนวิญญาณไปร่างหนึ่ง”
หลังศาสนจักรล่มสลายไป ร่างนักรบอาญาสิทธิ์ก็มีไม่มีทางเพิ่มขึ้นอีกแล้ว
“เมื่อเทียบกับกรงอันเยือกเย็นที่ไร้ความรู้สึกแล้ว พวกเรายินดีที่จะจำศีลอยู่ในความฝันของพระองค์มากกว่าเพคะ…ดังนั้นนี่ถึงไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไรเพคะ”
“แค่กๆ” โรแลนด์เกือบสำลักน้ำชา ถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นผู้หญิง แต่พอได้ยินเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายพูดคำพูดแบบนี้ เขาก็ยังอดรู้สึกตกใจไม่ได้
“ล้อเล่นน่ะเพคะ” โซอี้ยิ้มขึ้นมา “ความจริงในคลังของพวกเรามีร่างชำรุดอยู่หลายร่างเพคะ สามารถเอามาใช้ในการถ่ายโอนวิญญาณครั้งนี้ได้พอดี ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเทียบกับข้อมูลที่เราอาจจะได้มาแล้ว การเสียร่างชำรุดไปหนึ่งร่างนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยเพคะ”
“ร่างชำรุด?” เขากระแอมเล็กน้อยพร้อมถามออกมา
“จากเฮอร์มีสจนมาถึงสถานที่ที่เราใช้ซ่อนตัวในตอนแรกนั้นต้องเดินทางผ่านเทือกเขาสิ้นวิถี ซึ่งนั่นไม่ใช่เส้นทางที่เดินทางได้ง่ายเลย โดยเฉพาะในเดือนแห่งปีศาจ มีนักรบอาญาสิทธิ์บางคนถึงกับต้องคลานกลับมา เพราะว่าขาทั้งสองข้างถูกสัตว์อสูรมันกัดไป ร่างที่ชำรุดเช่นนี้ไม่สามารถใช้ในการสู้รบได้อีก ตอนแรกพวกเราคิดอยากจะใช้เป็นภาชนะให้พวกขุนนางได้ใช้ดื่มด่ำกับชีวิตอมตะเพคะ”
มุมปากโรแลนด์แอบกระตุกขึ้นมา ชีวิตแบบนี้มันจะเรียกดื่มด่ำได้ด้วยเหรอ?
“แต่ถึงแม้จะเป็นร่างชำรุด มันก็ยังมีความสามารถเหมือนหินอาญาสิทธิ์อยู่ไม่ใช่เหรอ? ถ้ามันเกิดใช้พลังขึ้นมาในระหว่างที่เชื่อมต่อล่ะ มันจะเกิดปัญหาอะไรไหม?”
“เรื่องนี้พระองค์ไม่ต้องเป็นห่วงเพคะ แม้แต่พวกหม่อมฉัน ถ้าอยากจะควบคุมร่างแปลกหน้าร่างหนึ่งอย่างชำนาญก็ยังต้องใช้เวลาหลายสิบปี” โซอี้ตอบ “ส่วนการจะกระตุ้นเขตแดนอาญาสิทธิ์นั้นต้องใช้เวลานานกว่านั้นมาก หลายๆ คนต้องรอให้ถึงตอนที่ถ่ายโอนวิญญาณรอบที่สองกว่าจะใช้ความสามารถนี้ได้ ต่อให้ปีศาจจะมีพรสวรรค์มากกว่าที่เราคิดเอาไว้ แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่มันจะใช้ความสามารถออกมาในระหว่างที่ถูกสอบสวนเพคะ”
อกาธาพูดเสริมขึ้นมา “แล้วถ้าสมมติว่าการสะท้อนถูกตัดจาก ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ซิลเวียเคยพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยตัวนางเองแล้วในตอนที่ทำการสอดแนมเพคะ”
“เออใช่ แล้วพวกเจ้าคุยเรื่องนี้กับคามิล่าหรือยัง?” จู่ๆ โรแลนด์ก็นึกถึงปัญหาสำคัญขึ้นมา
“คุยแล้วเพคะ ตอนแรกนางปฏิเสธ เพราะว่านี่เป็นเรื่องที่นางไม่เคยทำมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นแม่มดคนไหนก็ตามที่รับหน้าที่สอบสวนก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าจะไม่มีความเสี่ยง แต่โซอี้ก็ได้พูดกล่อมจนนางยอมแล้วเพคะ”
“งั้นเหรอ…” เขาพูดอย่างสงสัย แต่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่ใช่คนที่พูดเก่งเลย
“ความจริงแล้วง่ายมากเพคะ ฝ่าบาท” โซอี้พูดต่อ” หม่อมฉันแค่บอกนางไปว่าคนที่จะเชื่อมต่อวิญญาณกับปีศาจไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นตัวหม่อมฉันเพคะ”
โรแลนด์ตกตะลึง
“หม่อมฉันเป็นทั้งแม่มดอมนุษย์ แล้วก็เป็นแม่มดอาญาสิทธิ์คนแรกที่ถูกปลุกขึ้นมา….ดังนั้นหม่อมฉันจึงเป็นคนที่เหมาะที่สุดที่จะเชื่อมต่อกับปีศาจเพคะ” เธอพูดอย่างใจเย็นต่อว่า “แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหม่อมฉันเป็นคนเสนอแผนนี้ขึ้นมา ดังนั้นหม่อมฉันจึงควรเป็นคนรับความเสี่ยงนี้เพคะ”
นี่น่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเกลียดแม่มดโบราณไม่ลง ทั้งๆ ที่พวกเธอนั้นหยิ่งยโส….โรแลนด์คิดในใจ ในเรื่องต่อสู้กับปีศาจ พวกเธอนั้นถือได้ว่าเป็นคนที่วิ่งน้ำหน้าคนอื่นอยู่เสมอ อาศัยแค่เพียงจุดนี้ก็เหนือกว่าหลายๆ คนแล้ว
“ข้าเข้าใจแล้ว อย่างนั้นเรื่องนี้ก็ทำตามที่เจ้าว่ามาก็แล้ว” เขาตอบออกมาหลังนิ่งเงียบไปครู่ “ระหว่างทางที่พามันกลับมา ต้องคอยตรวจตรามันให้ดีล่ะ”
“หม่อมฉันจะ ‘จับตา’ ดูมันอย่างดีเลยเพคะฝ่าบาท” โซอี้พูดยิ้มๆ
บางทีถ้าเทียบกับการสอบสวนในตอนสุดท้ายแล้ว การคุมตัวปีศาจกลับมาต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่เธอรอคอยมากที่สุด
หลังจบการสนทนา โรแลนด์ก็จมอยู่ในความคิดของตัวเอง
คนกับปีศาจมีวิญญาณจริงๆ เหรอ?
ถ้าหากไม่มี แล้วแม่มดทาคิลาพวกนี้เปลี่ยนร่างกายตามใจชอบได้อย่างไร? หลักการทำงานของแกนเวทมนตร์ถ่ายโอนวิญญาณคืออะไร?
แล้วถ้ามี ทำไมวิญญาณถึงออกมาจากร่างเองไม่ได้? เพราะว่าถ้าสามารถถอดวิญญาณกับเอาวิญญาณใส่เข้าไปในร่างได้ตามใจชอบแล้วล่ะก็ อย่างนั้นมันก็เท่ากับว่าวิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่มีวันดับสลายน่ะสิ
แล้วก็โลกแห่งความฝัน โลกเสมือนจริงที่ใกล้กับความจริงอย่างมาก แต่กลับไม่ได้มีอยู่บนโลกนี้จริงๆ มันเกิดขึ้นมาได้ยังไงกันแน่ ลำแสงที่เชื่อมต่อกับดินแดนของพระเจ้าที่อารยธรรมใต้ดินพูดขึ้นนั้น ปลายทางของลำแสงมันมีอะไรอยู่?
คิดไปคิดมา เกรงว่าคงต้องรอให้ทำความเข้าใจพลังเวทมนตร์กับสงครามแห่งโชคชะตาเรียบร้อยแล้วถึงจะมีโอกาสเข้าใจปริศนาอันนี้ได้
แต่ไม่ว่ายังไง ตอนนี้เขาก็มีโอกาสที่ได้เห็นการถ่ายโอนวิญญาณด้วยตาตัวเองแล้ว
…..
เมื่อเทียบกับตอนเคลื่อนทัพออกไปรบ เวลาตอนขากลับเหมือนจะเดินเร็วกว่ามาก
เนื่องจากสำนักงานเมืองมีการเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน งานที่โรแลนด์จำเป็นต้องลงไปดูด้วยตัวเองจึงมีอยู่เพียงไม่กี่อย่าง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอาเวลาว่างส่วนใหญ่ไปทุ่มให้กับงานสำคัญๆ
งานทดสอบการบินของเครื่องร่อนยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ คู่มือการบินที่ทิลลีเขียนจากตอนแรกที่มีแค่ไม่กี่แผ่น ตอนนี้กลายเป็นหนังสือที่หนากว่า ‘เคมีระดับกลาง’ แล้ว ตอนที่ใส่หน้าปก โรแลนด์จงใจทำชื่อหนังสือให้เป็นสีทอง
เรือเหล็กที่อยู่ในมือของธันเดอร์ก็ค่อยๆ สมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ตอนแรกระบบขับเคลื่อนและระบบควบคุมจะยังติดๆ ขัดๆ มีอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่หลังทำการแก้ไขไปสองสามรอบ ในที่สุดมันก็ดูเหมือนเรือเดินสมุทรที่แท้จริงแล้ว
นอกจากนี้หอนักเวทมนตร์ที่สร้างขึ้นมาให้อกาธาโดยเฉพาะก็สร้างเสร็จเรียบร้อยในเดือนสุดท้ายของฤดูใบไม้ร่วง นับตั้งแต่ที่ตึกคอนกรีตสูง 5 ชั้นหลังนี้ถูกสร้างเสร็จเรียบร้อย ด้วยรูปแบบที่มีความเป็นเอกลักษณ์และความสูงของมันที่สูงกว่าปราสาทของผู้ปกครอง ทำให้มันกลายเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ก่อนที่ตึกปาฏิหาริย์จะสร้างเสร็จ มันจะต้องเป็นตึกที่สะดุดตาที่สุดในเมืองอย่างแน่นอน
นอกจากนี้หอกลั่นน้ำมันและโรงงานที่สร้างขึ้นมาเพื่อประกอบแหล่งพลังงานรุ่นใหม่ก็ใกล้จะสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ผ่านมายิ่งฤดูหนาวใกล้เข้ามา ดินแดนตะวันตกก็ยิ่งดูเงียบสงบ เหมือนว่าเมืองได้เข้าสู่สภาวะจำศีลไปพร้อมกับโลกภายนอก แต่หลังจากที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ถูกสร้างขึ้นมา ภาพเหตุการณ์แบบนี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ยิ่งในปีนี้ที่ภายในเมืองยิ่งยุ่งวุ่นวายกันเป็นพิเศษ ตั้งแต่เหมืองเนินทิศเหนือไปจนถึงท่าเรือหาดน้ำตื้น ทั่วทุกที่จะเห็นคนกำลังง่วนอยู่กับการทำงานและสิ่งก่อสร้างใหม่ ความเจริญรุ่งเรืองและความมีชีวิตชีวาที่อยู่ตามท้องถนนทำเอาเหล่าพ่อค้าที่มาถึงเมืองแห่งนี้ต้องรู้สึกตกใจไปตามๆ กัน
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ในที่สุดกองทัพที่หนึ่งก็กลับมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ที่พวกเขาจากไปนาน
ชาวเมืองเนเวอร์วินเทอร์พากันส่งเสียงโห่ร้องตอนรับเหล่าทหารของกองทัพที่หนึ่ง
ในวันเดียวกันนั้นเอง หิมะสีขาวก็ได้ตกโปรยปรายลงมาจากบนท้องฟ้า
ฤดูหนาวอันยาวนาน…ได้มาถึงแล้ว