บทที่ 551 กบในกะลา

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

สึบ สึบ!!

ด้วยความเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ ผางอานคางพุ่งเข้าหาเย่เทียนราวกับความเร็วสายฟ้า เสียงตัดผ่านอากาศดังขึ้น หมัดของเขาชกตรงเข้าไปที่เย่เทียนอย่างรุนแรง

“เอ็งไปตายซะ!”

ผางอานคางตวาดส่งเสียงดังและเห็นว่าหมัดของเขากำลังจะปะทะเข้ากับใบหน้าของเย่เทียน

จี้เยียนหรันที่อยู่ข้างหลังถึงกับใจหายใจคว่ำและอดใจไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาดังๆ “เย่เทียน ระวังด้วย!”

ความจริงแล้วเย่เทียนตั้งตัวได้ก่อนที่จี้เยียนหรันจะส่งเสียงเตือนเขาแล้ว เท้าของเขายังคงยืนนิ่ง ซึ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเชื่องช้า แต่ในความเป็นจริงนั้น เขายกมือขึ้นอย่างรวดเร็วและเดินไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัว

พุ้ม!

เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น หมัดของผางอานคางถูกเย่เทียนตั้งรับได้ด้วยฝ่ามือของเขา

“หา?!”

ผางอานคางเลิกคิ้วขึ้น เขาไม่คาดคิดเลยว่าเย่เทียนจะรับหมัดนี้ของเขาได้ เขาตื่นตระหนกทันที ในขณะที่ดึงกำปั้นกลับไป เขาก็ใช้เท้าเตะออกไปที่เย่เทียนอีกครั้ง

ซึ่งเย่เทียนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าฝีมือของผางอานคางอยู่ในระดับเหลืองเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยกระบวนท่าอันหนักแน่นของเขา เชื่อว่าฝีมือของเขาคงจะดีที่สุดในระดับอย่างแน่นอน!

แต่น่าเสียดายที่เย่เทียนไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเขา!

“คุณเก่งก็จริงนะ แต่ถ้าหัดถ่อมตัวบ้าง บางทีคุณอาจจะพัฒนาฝีมือไปถึงระดับดำก็ได้!”

เย่เทียนตักเตือนเขาอย่างไม่แยแส จากนั้นขยับเท้าเล็กน้อยและหลบหลีกการโจมตีของผางอานคางได้อย่างง่ายได้

ซึ่งคำพูดของเย่เทียนทำให้ผางอานคางรู้สึกโกรธมาก ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในกองทัพ แต่คงไม่ถึงขั้นที่จะให้เย่เทียนมาสั่งสอนเขาหรอก?

ผางอานคางโกรธจนสุดขีด คนที่มีจิตใจใฝ่สูงอย่าเขาจะยอมให้คนอื่นมาดูถูกแบบนี้ได้อย่างไร เขาจึงสัญญากับตัวเองว่าจะสั่งสอนเย่เทียนให้รู้แล้วรู้รอดไป

“เอ็งไม่มีสิทธิ์มาสอนข้าหรอก! รอข้าอัดเอ็งให้ร่วงก่อน จะคอยดูว่าเอ็งยังปากเก่งอีกไหม!”

เมื่อนึกถึงจุดนี้ ผางอานคางก็ตวาดเสียงดังอีกครั้งและพุ่งเข้าใส่เย่เทียนโดยไม่ลังเล

“ผมว่านะ วิสัยทัศน์ของคุณแย่จริงๆ ถ้าคุณกล้าเข้ามาอีก ผมจะไม่เกรงใจแล้วนะ!”

เย่เทียนขมวดคิ้วแน่นๆ ซึ่งชุดที่เขาสวมใส่อยู่นั้นเขาเพิ่งซื้อได้ไม่นาน ถ้าเขาขยับมากเกินไปจนเสื้อฉีกขาดล่ะ จะทำยังไง?

“ไปตายซะ!”

แต่ผางอานคางไม่ปล่อยให้เย่เทียนมีเวลาคิดมากไปกว่านี้ เขาได้แต่พุ่งเข้าใส่เย่เทียนด้วยสีหน้าความโกรธ

พุ้ม!

เสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้ง เย่เทียนยกมือป้องกันไว้ราวกับความเร็วสายฟ้า แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็ถอยไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

“เป็นไง ไอ้หนู เห็นพลังของข้าแล้วใช่มั้ย!”

เป็นการโจมตีที่เห็นผล ผางอานคางภูมิใจมาก

“กบในกะลาจริงๆ ความสามารถแค่นี้ ไม่ได้อยู่ในสายตาผมหรอก!”

เย่เทียนส่ายหัวเบาๆ และดวงตาสีเข้มของเขาจ้องมองไปที่ผางอานคางอย่างเฉยเมย

เขาคิดว่าผางอานคางคนนี้แค่มารับเคราะห์ ดังนั้นต่อให้ผางอานคางยั่วยุครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ยังไม่ได้โกรธ

จนกระทั่งตอนนี้ ผางอานคางยังคงเย่อหยิ่งและยังไม่ยอมคน ฉะนั้นต่อให้เย่เทียนจะนิสัยแค่ไหนก็คงต้องโกรธอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว

แต่ผางอานคางจะรู้ได้อย่างไรว่าเย่เทียนคิดอะไรอยู่ เขายังคงพูดอย่างได้ใจว่า “ฮ่า ๆ สมองเอ็งเสื่อมไปแล้วเหรอ? จะคอยดูว่าเดี๋ยวเอ็งจะคุกเข่าขอร้องข้ายังไง!”

เย่เทียนส่ายหัวตอบอย่างจนใจ “ในเมื่อคุณดื้อด้านแบบนี้ งั้นผมจะใช้พลังสักสิบเปอร์เซ็นต์ก็แล้วกันนะ แล้วคุณจะรู้ว่าฝีมือระหว่างเรามันต่างกันแค่ไหน!”

“พลังสิบเปอร์เซ็นต์?”

มุมตาของผางอานคางกระตุกอย่างรุนแรง เขายังแอบด่าในใจว่าเย่เทียนมันไร้ยางอายจริงๆ จะขี้โม้คุยโวเกินไปหน่อยไหม? พลังสิบเปอร์เซ็นต์อะไรของมัน? จะขู่ใคร?!

“ไปตายซะ!”

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เขาตะโกนออกมาและพุ่งเข้าใส่เย่เทียนอีกครั้ง

คัมภีร์หวงในร่างกายของเย่เทียนเริ่มไหลเวียน ร่างกายของเขาสั่นไหวและเร็วขึ้นไม่รู้กี่เท่า!

ผางอานคางไม่สามารถตามทันได้ เขารู้สึกเพียงดวงตาขุ่นมัว ในชั่วพริบตา เขาก็ตระหนักได้ว่าเย่เทียนได้ปรากฏตัวอยู่ข้างเขาแล้ว และฝ่ามือในรูม่านตาของเขาขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ให้ตายสิ……”

ผางอานคางอุทานในใจและพยายามจะหลบการโจมตีนั้น แต่ทุกอย่างสายไปแล้ว

ผัวะ!

เสียงตบที่คมชัดดังขึ้นในทันที ผางอานคางรู้สึกถึงอาการเจ็บแสบที่แก้มขวาของเขา และร่างกายที่สูงใหญ่ก็ของเขาก็หมุนอยู่กับที่หลายรอบอย่างห้ามไม่ได้

รอยยิ้มอันมีเล่ห์เหลี่ยมปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่เทียน เขาแบ็คแฮนด์ออกไปอีกครั้ง ตบจนผางอานคางสะดุดและในที่สุดก็ล้มลงกับพื้น

เดิมทีทั้งสองต่อสู้กันอย่างสูสีมาก แต่ตอนนี้ผางอานคางกลับแพ้อย่างราบคาบ การเปลี่ยนแปลงนี้มันจะกะทันหันเกินไปไหม?

“เย่เทียนไอ้หมอนี่ ที่แท้เมื่อกี้เขาล้อเล่นกับผางอานคางอยู่เหรอ?”

สิ่งนี้ทำให้หยุนเหมิงหยานตะลึงทันที ในใจยังแอบนินทาว่าเย่เทียนนั้นฉลาดแกมโกงเกินไป

แต่เมื่อย้อนคิดดีๆ แล้ว การที่เย่เทียนล้อผางอานคางเล่นมันจะทำให้ผางอานคางหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น และมันก็จะทำให้หยุนเหมิงหยานสะใจไปด้วย

“เหมิงหยาน ฉันว่าตอนนี้เรื่องมันเริ่มใหญ่แล้วนะ”

สิ่งที่หยุนเหมิงหยานคิดได้ แล้วจี้เยียนหรันจะคิดไม่ได้ได้อย่างไร ในขณะนี้เธอจึงรู้สึกกังวลมาก

“เยียนหรัน เธออย่าไปคิดมาก”

“ผางอานคางสู้กับเย่เทียนตัวต่อตัว มันเป็นการแข่งขันระหว่างคนรุ่นใหม่ ดังนั้นต้องให้คนรุ่นใหม่มาจัดการคนแก่อยู่แล้ว คงจะมาในรูปแบบผู้ใหญ่รังแกเด็กไม่ได้หรอก”

หยุนเหมิงหยานตบไหล่ของจี้เยียนหรันและปลอบโยนเธอ “ฉันรู้สถานะของตระกูลผางดี คนรุ่นใหม่ของพวกเขาไม่เก่งหรอก อย่างน้อยก็ไม่มีใครเอาชนะหมานจื่อได้ แน่นอนว่าต้องเอาชนะเย่เทียนไม่ได้อยู่แล้ว”

จี้เยียนหรันที่ได้ยินคำนี้ก็ถอนหายใจ แต่เธอไม่ได้สังเกตถึงช่องโหว่ในคำพูดของหยุนเหมิงหยาน

คนรุ่นใหม่ของตระกูลผางอาจจะไม่เก่งก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าผางอานคางจะหาคนรุ่นใหม่จากตระกูลอื่นมาล้างแค้นไม่ได้!

“มึงกล้ารังแกกูเหรอ? มึงได้ตายสมใจแน่!”

ในเวลานี้ ผางอานคางโดนตบจนมึนไปหมด ไม่เพียงแค่นั้น เขายังรู้สึกถึงความเจ็บปวดแสบร้อนที่แก้มของเขาอีกด้วย เขาโกรธจนขีดสุด สองตาเพ่งมองไปที่เย่เทียนราวกับว่าจะสามารถพ่นไฟได้

“รังแกเหรอ?”

เย่เทียนส่ายหัว “ผมเตือนคุณหลายรอบแล้ว แต่คุณหาว่าผมอ่อนแอเอง”

“คุณก็ไม่ยอมใช้สมองเน่าๆ ของคุณคิดบ้างนะ ผมจะเป็นคนไร้ความสามารถได้ยังไง ถ้าผมสามารถเป็นตัวแทนของเขตทหารเจียงหนันในการเข้าร่วมการแข่งขันการคัดเลือกของทีมสายฟ้า?!”

“มึง……กู……”

ผางอานคางสีหน้าซีดเซียวทันที หลังจากที่ตั้งสติได้เขาก็ตะโกนขึ้นอีกครั้งว่า “กูไม่สน มึงตบกูไปแล้ว เรื่องนี้กูไม่จบง่ายๆ แน่!”

“แหม่ ถึงขั้นนี้แล้วคุณไม่ร้องขอความเมตตาก็แล้วไป แต่คุณยังกล้าข่มขู่ผมอีกเหรอ?”

เย่เทียนก็เริ่มโกรธ จากนั้นเขากวาดเท้าไปข้างหน้าและเตะไปที่ผางอานคางที่ยังคงนอนอยู่บนพื้นแรงๆ

ซึ่งดูเหมือนไร้ความปรานีมาก ทุกครั้งที่เย่เทียนเตะออกไปอย่างไม่ยั้ง มันจะหยุดอยู่ที่ร่างกายของผางอานคาง

แน่นอน แม้จะดูเหมือนโหดเหี้ยม แต่ส่วนใหญ่เป็นการสร้างบาดเจ็บที่ผิวหนังมากกว่า พักฟื้นสักครึ่งเดือนก็หายแล้ว

แต่ผางอานคางผู้น่าสงสาร เขาพยายามจะดิ้นรนทุกครั้ง แต่เมื่อเผชิญกับผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ทุกอย่างก็ไร้ความหมาย เขาก็ถูกซ้อมจนบวมช้ำไปทั้งตัว และยังโหยหวนคร่ำครวญอย่างไม่หยุด…