โม่เทียนเกอไม่มีเวลามานึกถึงมุมมองของเว่ยจยาซือเพราะนางพอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าสายฟ้าผ่ามาจากที่ใด
นางยื่นมือขวาออกไป เรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวซึ่งได้กลายร่างเป็นกำแพงอิฐกลับมาสู่มือนาง ขณะที่ดูเหมือนว่านางกำลังมุ่งความสนใจไปกับการกวาดตามองรอบๆ ตัว กระสวยอัปสราในมืออีกข้างก็เคลื่อนไหวอย่างลับๆ
แสงสีทองสว่างวาบ เว่ยจยาซือได้ยินเสียงดังกระหึ่มกะทันหันและหันกลับไปมองทันที นางได้ยินโม่เทียนเกอผู้ที่ถอนกระสวยอัปสราออกพร้อมกับรอยยิ้มเยาะกำลังพูดอย่างดูถูกว่า “ช่างเป็นม่านพลังชั้นต่ำ แต่เจ้ากล้าอวดมันต่อหน้าข้าอย่างนั้นรึ!”
โดยไม่มีเวลาจะพูดอะไร เว่ยจยาซือเห็นกระสวยอัปสราเคลื่อนไหวอีกครั้ง ปะทะเข้ากับหลายๆ จุด ทีละจุดๆ ในพริบตา ในไม่ช้า สายฟ้าที่มีความเดือดดาลมหาศาลพร้อมด้วยแรงเคลื่อนไหวน่าทึ่งก็ปรากฏขึ้น
โม่เทียนเกอโบกมือ ปล่อยผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกไปอีกครั้ง เว่ยจยาซือหันไปด้านข้างเช่นกันและปล่อยทั้งเครื่องรางและเครื่องมือเวทของนางออกไป
ในทั้งสองคน คนหนึ่งกำลังตั้งรับและอีกคนหนึ่งกำลังจู่โจม
เสียงดังครืนกึกก้องขณะที่ม่านพลังถูกทำลาย
เมื่อพวกนางเห็นว่าอะไรอยู่ในม่านพลัง โม่เทียนเกอและเว่ยจยาซือก็เหลือบมองกัน ทั้งคู่เห็นความกังขาในสายตาของอีกฝ่าย
พวกนางจับจุดของศัตรูได้แล้ว แต่ก็ต้องประหลาดใจ ศัตรูรายนี้… เป็นแค่สัตว์ปีศาจสองตน!
สัตว์ปีศาจพวกนี้มีรูปร่างเหมือนหมาป่าทั้งคู่ ตัวหนึ่งกำลังแบกอีกตัวอยู่บนหลัง ตัวที่ยืนอยู่ที่พื้นคือสัตว์ปีศาจระดับสี่ที่มีสายตาดุร้าย ตัวที่ขี่อยู่บนหลังของตัวแรกมีขาหน้าสั้นและเดินไม่ได้แต่มีสายตาที่เจ้าเล่ห์
หมาป่าสองตัวกับคนสองคน ทันใดนั้นโม่เทียนเกอได้ยินเว่ยจยาซือกระซิบ “นี่คือปีศาจสองโสมม”
โม่เทียนเกอถึงกับตกใจ ปีศาจสองโสมมว่ากันว่าเป็นสัตว์ปีศาจสองตัวที่ลงมือร่วมกัน มีคำกล่าวในโลกมนุษย์ว่า “พวกวายร้ายรวมหัวกันเพื่อทำสิ่งชั่วร้าย” ที่มาจากเรื่องเล่าของหมาป่าและหมาป่าขาสั้น สัตว์ทั้งสองตัวร่วมมือกันทำสิ่งไม่ดี ปีศาจสองโสมมพวกนี้ก็เป็นคู่หมาป่าและหมาป่าขาสั้นเช่นกัน ความแตกต่างคือสองตัวนี้เป็นสัตว์ปีศาจ
โม่เทียนเกอเข้าใจได้ทันที โดยปกติมีเพียงแค่สัตว์ระดับแปดและสูงกว่าเท่านั้นที่จะมีความฉลาดพอใช้ม่านพลัง แต่เจ้าหมาป่าขาสั้นนี้แตกต่างไป มันฉลาดตั้งแต่กำเนิด พึ่งพาพละกำลังของหมาป่าขณะที่ตัวมันทำหน้าที่คิด ปีศาจทั้งสองตัวต้องพึ่งพากันและกันในการล่าอาหารและฝึกตนเพื่อเพิ่มระดับของพวกมัน
ในสัตว์ปีศาจทั้งสองตัวที่อยู่ด้านหน้าพวกนาง ตัวหมาป่าอยู่ในระดับสี่แต่หมาป่าขาสั้นอยู่แค่ระดับสอง ถึงอย่างนั้น ปีศาจสองโสมมพวกนี้กลับสามารถใช้ม่านพลังได้อย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงม่านพลังอำพรางวิญญาณที่ธรรมดามากก็ตาม แต่มันก็ยังเป็นสิ่งที่สัตว์ปีศาจตัวอื่นๆ สามารถใช้ได้เมื่อพวกมันเข้าถึงระดับแปดแล้วเท่านั้น
ถ้าเป็นเช่นนั้น ม่านพลังคุ้มกันสวรรค์เหล่านี้ก็ถูกสร้างขึ้นโดยปีศาจสองโสมมพวกนี้งั้นหรือ แต่เมื่อพิจารณาถึงกำลังที่มี มันไม่น่าจะแข็งแกร่งขนาดนี้…
พวกนางไม่มีเวลาคิดขณะที่หมาป่าตรงหน้ากระโดดขึ้นในทันใด ทั้งโม่เทียนเกอและเว่ยจยาซือขว้างเครื่องมือเวทของแต่ละคนออกไปทางหมาป่า
กระสวยอัปสราเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทอง ส่วนแหวนอธิษฐานปล่อยรังสีสีเงินเย็นเยือกออกมา ในชั่วพริบตา แสงทั้งสองชนปะทะรวมกันเข้ากับสายฟ้า
ลำแสงสีทอง รังสีสีเงิน และสายฟ้า แสงสามประเภทผสมผสานรวมเข้าด้วยกันก่อเกิดเป็นแสงเจิดจ้าบาดตาที่เกือบทำให้พวกเขาไม่สามารถลืมตาได้
ปีศาจหมาป่าอยู่แค่ในระดับสี่ซึ่งเทียบเท่ากับขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ทั้งโม่เทียนเกอและเว่ยจยาซือก็อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเช่นกัน เมื่อพิจารณาถึงเครื่องมือเวทอันโดดเด่นที่พวกนางมี โอกาสชนะของพวกนางจึงไม่ได้น้อยเลย
ขณะนั้นเอง เว่ยจยาซือพลิกข้อมือปล่อยเครื่องรางจำนวนหนึ่งออกไปข้างหน้า
ปีศาจหมาป่าจ้องนางอย่างเ**้ยมโหดขณะที่ปีศาจหมาป่าขาสั้นกระโดดจากหลังของมันและขยับหนีไป แสงสีทองและเงินระเบิดขึ้นกะทันหันทำให้สายฟ้าอ่อนกำลังลงทีละน้อยจนกระทั่งมันหายไปในที่สุด
โม่เทียนเกอถอนใจยาว ถึงแม้ว่าปีศาจหมาป่าขาสั้นจะไม่ใช่สิ่งที่นางต้องกังวล แต่พละกำลังของปีศาจหมาป่านั้นคนละเรื่องกันเลย
จู่ๆ หมาป่าขาสั้นก็ส่งเสียงร้องคราง เห็นได้ชัดว่ามันกำลังพูดกับหมาป่า แต่ทั้งโม่เทียนเกอและเว่ยจยาซือไม่อาจเข้าใจได้ว่ามันกำลังพูดอะไร พวกนางทำได้เพียงคอยระวังตัวเอาไว้เท่านั้น
“ศิษย์พี่เว่ย”
เว่ยจยาซือดูขัดแย้งในตัวเองแต่สุดท้ายนางก็ตัดสินใจและพูดว่า “โจมตีก่อนเถอะจะได้ได้เปรียบ!”
โม่เทียนเกอเข้าใจเจตนาของเว่ยจยาซือ ดังนั้นนางจึงยกมือขึ้นเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวมา ขณะเดียวกันเว่ยจยาซือก็เอาเครื่องรางและเครื่องมือเวทหลายอย่างออกมา ซึ่งลอยขนาบไปพร้อมๆ กับกระสวยอัปสราของโม่เทียนเกอพุ่งไปยังปีศาจหมาป่าและปีศาจหมาป่าขาสั้น
ทันใดนั้นเอง ปีศาจหมาป่าส่งเสียงหอนและปล่อยสายฟ้ามากมายออกมาจากกรามที่อ้าค้างของมัน
เมื่อความผันผวนของพลังวิญญาณทั้งหมดเริ่มจะสงบลงในที่สุด พวกนางถึงรู้ว่าปีศาจทั้งสองตนทรุดลงที่พื้น
โม่เทียนเกอปัดฝุ่นที่อยู่บนตัวนางออก จากนั้นเดินไปทางซากของมัน “เอ!”
เว่ยจยาซือที่บาดเจ็บเล็กน้อยถามว่า “มีอะไร”
โม่เทียนเกอพลิกซากสัตว์ทั้งสองตัวดูและพูดว่า “กลายเป็นว่าพวกมันบาดเจ็บ” ไม่น่าแปลกใจที่ทั้งสองตัวถึงอยู่ในม่านพลังคุ้มกันนี้ พวกมันคงจะถูกสัตว์ปีศาจตัวอื่นๆ ทิ้งไว้ ดังนั้นมันจึงสร้างภาพลวงตาขึ้นมาว่ามีสัตว์ปีศาจหลายตัวอยู่ที่นี่ขณะที่พวกมันแอบฟื้นตัวอยู่ลับๆ
ขณะที่เว่ยจยาซือสำรวจบาดแผลของนาง นางกล่าวว่า “ค้นร่างมันดู ปีศาจขาสั้นตัวนี้ไม่เหมือนกับสัตว์ปีศาจตัวอื่น ในเมื่อมันสามารถใช้ม่านพลังได้ มันอาจจะมีสมบัติบางอย่างอยู่ในตัว”
“อืม”
แน่นอนว่าโม่เทียนเกอเจอสิ่งของรูปร่างเหมือนท่อนไม้หลายอันซึ่งใช้ในการวางม่านพลังโดยปีศาจหมาป่าขาสั้น โม่เทียนเกอสงสัยว่าของพวกนี้คืออะไร เพราะมันใช้แทนแผ่นและธงม่านพลังที่ปกติจะใช้ในการวางม่านพลัง ยังมีผลึกแก้วใสเล็กๆ สินแร่ และพืชวิญญาณอีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีหยกชิ้นบางขนาดเท่าฝ่ามือที่ดูเหมือนกระจก มันใสและโปร่งแสง นางไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่เมื่อนางถือมันขึ้นมา มันก็ก่อให้เกิดเงาสะท้อนที่ดูเหมือนมีชีวิต
“ศิษย์พี่เว่ยดูของพวกนี้สิ” โม่เทียนเกอเอาของทั้งหมดออกมาและส่งให้เว่ยจยาซือ
เว่ยจยาซือมีชีวิตอยู่มานานกว่าโม่เทียนเกอเกือบหนึ่งร้อยปี ดังนั้นความรู้ของนางต้องเหนือกว่าโม่เทียนเกออยู่แล้ว หลังจากนางรับของไปและตรวจดู นางก็พูดว่า “นี่คือไม้แห่งหงส์ทั้งเจ็ด นี่คือหยกจันทรา พืชวิญญาณพวกนี้มีคุณสมบัติในการรักษา และส่วนอันนี้…” นางยกแผ่นหยกชิ้นบางและพูดอย่างสงสัย “ข้าไม่รู้ว่าอันนี้คืออะไร”
“โอ้…” ในโลกนี้มีวัตถุวิญญาณมากมาย เพราะอย่างนั้นใครจะรู้จักและจำของทั้งหมดได้ เมื่อครุ่นคิดเล็กน้อย โม่เทียนเกอพูด “ศิษย์พี่เว่ย ไม้แห่งหงส์ทั้งเจ็ดเหล่านี้สามารถใช้วางม่านพลังได้ ข้าขอได้หรือไม่ ส่วนของอย่างอื่นท่านเอาไปได้เลย” จากการระบุสิ่งของพวกนี้ของเว่ยจยาซือ ผลึกแก้ว สินแร่ และพืชวิญญาณอื่นๆ ถือว่าค่อนข้างมีค่าทีเดียว แต่ไม้แห่งหงส์ทั้งเจ็ดนั้นจัดว่าไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงสำหรับคนที่ไม่สามารถวางม่านพลังได้
เว่ยจยาซือไม่ได้ปฏิเสธ นางพยักหน้าและพูดว่า “เอาไปสิ”
โม่เทียนเกอจึงรับมันมาด้วยความยินดี
“อันนี้…” เว่ยจยาซือยกแผ่นหยกชิ้นบางและพูดพร้อมขมวดคิ้ว “อันนี้ดูไม่เหมือนเป็นของธรรมดานะ เราน่าจะเอากลับไปและให้ท่านอาจารย์พิสูจน์ดู”
“อืม”
ทันทีที่ทั้งสองคนกำลังจะออกไป จู่ๆ แผ่นหยกก็ปล่อยแสงส่องวาบขึ้นมาทันใด
ด้วยความตกตะลึง เว่ยจยาซือยกแผ่นหยกอีกครั้งอย่างสงสัย แต่นางก็ไม่เห็นแสงอะไรจากมันเลยแม้แต่น้อย นางพูดพึมพำ “เกิดอะไรขึ้น”
โม่เทียนเกอไม่มีคำตอบเพราะนางไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียวว่ามันคืออะไร
ทั้งสองคนต่างเห็นความสับสนในดวงตาของอีกฝ่าย
ทันใดนั้นเอง แสงสว่างจ้าก็ระเบิดพุ่งออกจากแผ่นหยก ไม่ปล่อยโอกาสให้พวกนางได้ตอบสนองและดูดกลืนทั้งสองคนเข้าไปข้างในทันที
โม่เทียนเกอรู้สึกเหมือนนางกำลังฝันอยู่ แต่นางไม่สามารถจำได้เลยว่านางฝันเกี่ยวกับอะไร ในสภาวะมึนงง นางได้ยินเสียงใครบางคนพูดอยู่อย่างเลือนราง
“ท่านพี่ เทียนเกอเป็นอะไร” มันคือเสียงอ่อนโยนของผู้หญิง ในขณะเดียวกันนั้นเอง มือคู่หนึ่งก็ลูบหน้าผากโม่เทียนเกออย่างนุ่มนวล
“ไม่เป็นอะไรหรอก” เสียงผู้ชายก็ฟังดูอ่อนโยนเช่นกัน เปล่งออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “เทียนเกอแค่เหนื่อยเกินไป นางจะดีขึ้นเองเมื่อนางตื่นขึ้น”
“อืม”
มันคือแดนแห่งความฝันที่เลือนรางอีกอันหนึ่ง ความคิดประหลาดมากมายปรากฏขึ้นในจิตใจโม่เทียนเกอ บางครั้งความคิดก็ล่องลอยอยู่ในจิตใจของนาง ในขณะที่บางครั้งนางก็จำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ท้ายที่สุดนางก็ลืมตาขึ้นจนได้
“เทียนเกอ เจ้าตื่นแล้ว!” แม่นางยังสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างเตียงของนางด้วยรอยยิ้มสุขใจและเรียกสั้นๆ ว่า “ท่านพี่! ท่านพี่!”
ชายที่ดูคงแก่เรียนในวัยสามสิบเดินเข้ามาในห้อง เขายิ้มและพูดว่า “ที่รัก ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเทียนเกอจะไม่เป็นอะไรเมื่อนางตื่นขึ้น เห็นไหม เจ้าจะกังวลอะไรกัน”
โม่เทียนเกอจ้องคู่รักที่อยู่ตรงหน้านาง ดูเหมือนจะยังครึ่งหลับครึ่งตื่น อย่างไรก็ตาม นางเรียก “ท่านพ่อ ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นกับข้าหรือ”
แม่นางจับมือนางและพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ช่างมันเถอะ เจ้าเด็กคนนี้! ในอนาคตเจ้าจะซุกซนเช่นนี้ไม่ได้แล้วนะ! เหลือเชื่อจริงๆ เจ้าปีนขึ้นต้นไม้เพื่อจับนก! ถ้าเจ้าเป็นเด็กผู้ชายก็คงไม่เป็นปัญหา แต่เจ้าทำตามเทียนจวิ้นและทำตัวดื้อรั้นอย่างเขาได้อย่างไรกัน”
“ท่านแม่อย่าโกรธนะ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
แม่นางเคาะหน้าผากโม่เทียนเกอและดุว่า “ก็ได้ แม่จะไปทำก๋วยเตี๋ยวมาให้เจ้าอิ่มท้อง ข้าจะปล่อยหน้าที่การสั่งสอนให้พ่อของเจ้า!”
ขณะที่แม่ของนางออกไปพร้อมกับยิ้มไปด้วย พ่อของนางก็เข้ามาหา เขาอุ้มโม่เทียนเกออยู่ในอ้อมแขนและเอาหน้าผากเขาชนหน้าผากนางพร้อมพูดว่า “อืม ไข้เจ้าลดลงแล้ว ตอนนี้เจ้าน่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว”
โม่เทียนเกอก้มลงดูและสำรวจร่างกายของนาง ร่างกายนางดูผอมแห้งแรงน้อยและแขนของนางก็เล็ก ต่อให้นางยืนอยู่บนที่นอน นางก็ยังตัวเตี้ยกว่าพ่อของนางมาก
“ท่านพ่อ ท่านจะดุข้าหรือ”
“ไม่หรอก” พ่อของนางพูดพร้อมกับลูบหัวนาง จากนั้นเขาหันไป หมอบลงและพูดว่า “มานี่สิ พ่อจะอุ้มเจ้าออกไป การปีนต้นไม้นี่มันสนุกอย่างไรกันนะ ถ้าเจ้าอยากได้เจ้านกน้อย พ่อจะจับให้เจ้าเอง!”
“อืม อืม! ท่านพ่อเยี่ยมที่สุดเลย ดีกว่าอากู๋ใหญ่และคนอื่นๆ ตั้งเยอะ!”
“แน่นอน! นั่งดีๆ ล่ะ! มอ~ มอ~” พ่อของนางเลียนเสียงร้องมอของวัวและวิ่งออกไปข้างนอกพร้อมกับอุ้มนางขี่หลังไปด้วย
ก่อนที่พวกเขาจะออกจากประตู นางก็ได้ยินเสียงแม่ตะโกนว่า “ทั้งสองคน! อย่าวิ่งไปทั่ว!”
พ่อนางมองกลับมาและทำเสียง “มอ” เป็นคำตอบก่อนเขาจะวิ่งออกไปนอกสนามราวกับกลุ่มควันโดยมีโม่เทียนเกอยังขี่หลังเขาอยู่
โม่เทียนเกอตบมือชอบใจขณะที่ส่งเสียงร้องร่าเริงอย่างดังว่า “ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! ท่านพ่อ!”
เขาวิ่งเหยาะๆ จนกระทั่งพวกเขามาถึงด้านหลังของลำน้ำเล็กๆ ในฝั่งตะวันออกของหมู่บ้าน พ่อของนางวางนางลงและพูดว่า “เทียนเกอ รอตรงนี้นะ”
“อืม!” นางพยักหน้าอย่างตื่นเต้น
จากนั้นพ่อของนางโหนตัวขึ้นไปบนต้นไม้ที่เก่าแก่ที่สุดและต้นใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน และปีนอย่างคล่องแคล่วจนในที่สุดเขาก็เจอนกตัวน้อยอยู่บนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง
“เทียนเกอ!”
โม่เทียนเกอเงยหน้าและเห็นพ่อของนางยกนกตัวน้อยที่เขาถือไว้ในมือมาทางนาง
ใบหน้าเล็กๆ แดงขึ้นด้วยความตื่นเต้น นางตะโกน “ท่านพ่อ! ข้าอยากได้! ข้าอยากได้!”
หลังจากค่อยๆ ลงจากต้นไม้ เขาวางนกน้อยลงบนมือนางและบอกว่า “เจ้าต้องระวังนะ อย่าทำมันตายเพราะกำแน่นเกินไป เจ้าต้องดูแลมันให้ดี ในเมื่อมันถูกเราจับแล้ว แม่นกจะไม่เอาตัวมันกลับไปอีกแล้ว”
“ทำไมล่ะ” นางถาม ดวงตาเบิกกว้างด้วยความสับสน
“เพราะตอนนี้เจ้านกน้อยมีกลิ่นของมนุษย์อยู่บนตัวมัน แม่นกจำมันไม่ได้แล้ว”
“หา!” ด้วยความตกใจโม่เทียนเกอร้อง “ท่านพ่อ เอามันกลับไป! ข้าไม่อยากได้เจ้านกน้อยแล้ว…”
“ไม่ได้หรอก” พ่อนางพูดพร้อมกับลูบหัว สีหน้าเขาแสดงให้เห็นความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด แต่มันทำให้นางรู้สึกกลัว “เจ้าจับมันได้แล้ว เพราะฉะนั้นแม่นกจึงไม่ต้องการมันอีกแล้ว…”
“จิ๊บ! จิ๊บ!” พอได้ยินเสียงนกร้องดัง โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นก็เห็นนกตัวใหญ่สองตัวกำลังร้องอย่างโกรธจัดมาทางนาง ราวกับพวกมันรู้ว่านางเป็นคนฉกลูกของมันไป
“ไม่! มันไม่ใช่อย่างที่เห็น!” นางตะโกนบอก จากนั้นนางแบมือเพื่อเสนอนกน้อยที่นางถืออยู่ให้กับพวกมัน “ขะ-ข้าจะคืนมันให้เจ้า…”
แม่นกยังคงร้องอย่างดุเดือดแต่ไม่ได้ดูเหมือนว่าพวกมันจะบินลงมา พวกมันยังคงกระพือปีกต่อไปจนในที่สุดพวกมันก็บินหนีไป
นางถือนกตัวน้อยไว้ในมือขณะที่ทั้งร่างสั่นสะท้าน เมื่อนางหันกลับไป พ่อของนางก็ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว
หมู่บ้านตระกูลโม่ทั้งหมู่บ้านว่างเปล่าไร้ผู้คน รู้สึกราวกับว่าสายลมก็ยังหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว
นางก้มลงและจ้องมองนกตัวน้อย ทั้งสองต่างถูกทิ้ง
นกน้อยไม่สามารถส่งเสียงร้องใดๆ ได้ มันแค่อ้าจะงอยปากและพยายามยืนตัวสั่นบนฝ่ามือนางก่อนที่จะหันมามองนาง
มีความอ่อนแอ ความสงสาร ความโกรธ และความดุร้ายอยู่ในสายตาของมัน
ทันใดนั้นเอง นกน้อยที่เมื่อครู่นี้ยังไม่สามารถสยายปีกได้ จู่ๆ ก็บินขึ้นมาจิกตาของนางอย่างโหดเ**้ยม