ตอนที่ 123 ความฝันในความฝัน

ลำนำสตรียอดเซียน

“เสี่ยวเทียน!”  

 

 

โม่เทียนเกอตื่นจากฝัน เหงื่อแตกพลั่ก ท่านอารองกำลังนั่งอยู่ข้างๆ จ้องมองนางด้วยความเป็นห่วง เขาถาม “เป็นอะไรหรือ”  

 

 

นางปาดเหงื่อบนหน้าผากและส่ายหน้า “ข้าฝันไป”  

 

 

“ฝันร้ายหรือ” ท่านอารองถามพร้อมกับส่งผ้าเช็ดหน้าให้นาง 

 

 

โม่เทียนเกอนิ่งเงียบ จำไม่ได้ว่านางฝันเกี่ยวกับอะไร จำได้แค่ว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก 

 

 

“เอาละ ถ้าเจ้าไม่เป็นอะไร ไปข้างหน้าและเฝ้าร้านสิ หรือเจ้าจะไปเดินดูร้านอื่นๆ ก็ได้ อย่าหมกตัวเองอยู่แต่ข้างใน”  

 

 

“อืม”  

 

 

จากนั้นนางมองท่านอารองเดินออกจากห้องไป เขาดูเหมือนว่าเขายังแข็งแรงดี 

 

 

นางส่ายหัวด้วยความงุนงง สับสนว่าทำไมจู่ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ เมื่อยังคงรู้สึกมึนงง นางลุกขึ้นและไปล้างหน้าให้สดชื่น 

 

 

นี่เป็นตลาดนัดขนาดเล็กในคุนอู๋ฝั่งตะวันออก ที่นี่นางและท่านอารองได้เปิดร้านค้าเล็กๆ แต่ไม่ได้กำไรมากมายนัก แทบจะไม่พอสนับสนุนการฝึกตนของพวกเขา 

 

 

เพราะนางขยันฝึกตนมาโดยตลอด นางจึงอยู่ในระดับหกของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว นางเชื่อว่าอีกไม่นานนางจะสามารถก้าวเข้าไปสู่ดินแดนถัดไปได้ ในตอนนั้น นางจะเข้ากลุ่มการฝึกตนและฝึกตนต่อไปอย่างพากเพียรและจะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ  

 

 

ท่านอารองเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ดังนั้นพวกเขาจึงมีรายการสินค้าที่ดีเยี่ยมในร้านค้าเล็กๆ นี้ พวกเขายังจ้างผู้ฝึกตนระดับต่ำสองคนเพื่อมาทำหน้าที่พนักงานร้าน เมื่อนางเข้ามาในร้าน ก็เห็นพนักงานทั้งสองคนกำลังดูแลลูกค้าตามหน้าที่ นางอยู่เพียงแค่ครู่เดียวและออกจากร้านไปเมื่อเห็นว่าการค้าขายดูไปได้ดี 

 

 

ถนนหนทางครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คนไม่รู้ที่มาที่ไป นางปวดหัวเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าทำไมแต่รู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก ถึงอย่างนั้น ไม่ว่านางจะพยายามนึกมากเท่าไรแต่นางก็นึกไม่ออก 

 

 

นางเดินอย่างไร้จุดหมายไปรอบๆ ตลาดนัดเป็นเวลานานจนกระทั่งนางกลับมาที่ร้านของนางโดยไม่รู้ตัว 

 

 

ก่อนที่นางจะเข้าไปในร้าน นางก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมอยู่ภายใน 

 

 

“ทะ-ท่านสหายนักพรต ท่านอาจารย์ของเรายังไม่กลับมาขอรับ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเราจริงๆ …”  

 

 

“ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้างั้นรึ” เสียงชั่วร้ายดังเล็ดลอดมา “พวกเจ้าทำงานให้ร้านนี้! พูดมา! สินค้าผิดกฎหมายชิ้นนี้มาจากร้านเจ้าหรือไม่”  

 

 

“มะ-ไม่ใช่… ท่านสหายนักพรต ของชิ้นนี้ไม่มีตราของร้านเรา มันไม่น่าจะเป็นหนึ่งในสินค้าของเราขอรับ…”  

 

 

“นี่เป็นสินค้าผิดกฎหมาย! ไม่มีทางที่มันจะมีตราของร้านประทับไว้! ไม่จำเป็นต้องพูดตลบตะแลง! ทุกคน ยึดของทุกชิ้นให้หมด!”  

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน นางได้ยินเสียงสิ่งของบนโต๊ะถูกเท 

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอรีบเร่งเข้าไปในร้าน นางเห็นพวกผู้ฝึกตนที่รับผิดชอบเรื่องการจัดการตลาดนัดกำลังเทของคว่ำโดยไม่ไยดี ทำทั้งร้านเละเทะ และคว้าสิ่งของจากในร้านไปด้วยกำลังอย่างแรง นางอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไปว่า “หยุด!”  

 

 

คนที่เป็นหัวหน้ามีระดับการฝึกตนไม่ต่ำเลย เขาหันกลับมาและยิ้มเยาะ “ไอ้หนู อย่ามายุ่งกับเรื่องของข้า ถอยไป!”  

 

 

นางโต้กลับอย่างเดือดดาล “นี่คือร้านของข้า ข้าจะไม่ยุ่งได้อย่างไร! นี่มันหมายความว่าอย่างไร เราจ่ายค่าธรรมเนียมทุกเดือน!”  

 

 

“พวกเจ้าขายสินค้าผิดกฎหมาย ดังนั้นจึงเป็นการขัดคำสั่งของตลาดนัด ตามกฎข้อบังคับแล้วทุกอย่างภายในร้านนี้ต้องถูกยึด!”  

 

 

โม่เทียนเกอตกตะลึง แต่ไม่ช้านางก็ตอบพร้อมกับยิ้มเยาะ “พวกเจ้าโผล่มามั่วๆ กับของชิ้นหนึ่งและบอกว่าเป็นของที่ขายโดยร้านเรา ไหนล่ะหลักฐาน!”  

 

 

หัวหน้าคนนั้นยิ้มเยาะและตอบว่า “ข้าบอกว่าเป็น ก็ย่อมเป็น! เอาทุกอย่างไปให้หมด!”  

 

 

“เจ้ากล้าดียังไง!” ด้วยความโกรธลุกโชน นางยกมือขึ้นและเรียกกระบี่ป่าขจีออกมา อย่างไรก็ตาม พวกนี้เป็นกลุ่มผู้ฝึกตนที่มีระดับการฝึกตนสูงกว่านาง ใช้เวลาเพียงไม่นานก่อนที่นางจะร่วงลงพื้น นางทำได้แค่มองต่อไปอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่ร้านถูกยึดจนว่างเปล่า 

 

 

เมื่อพวกเขาออกจากร้านไป นางได้ยินเสียงใครคนหนึ่งอีกครั้ง “เร็ว! เร็วเข้า! ระวังด้วย!”  

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น คนสองคนเข้ามาข้างในโดยแบกท่านอารองมาด้วย ทั้งร่างของท่านอารองเต็มไปด้วยเลือดและเขาดูเหมือนกำลังจะตาย 

 

 

“ท่านอารอง! ท่านอารอง! เกิดอะไรขึ้น!”  

 

 

“เจ้าเป็นหลานชายเขารึ เขาบาดเจ็บจากสัตว์สายฟ้า ข้าเกรงว่าเขาจะอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน เจ้าต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ด้วย”  

 

 

“ท่านอารอง!”  

 

 

โม่เทียนเกอตื่นจากฝันของนางอีกครั้ง 

 

 

อีกครั้งหรือ ทำไมต้อง “อีกครั้ง” โม่เทียนเกอนั่งอยู่บนเตียงตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน 

 

 

“ตื่นแล้วหรือ”  

 

 

นางมองไปตามทางของเสียงนั้นและเห็นด้านหลังของใครคนหนึ่ง คนคนนั้นกำลังนั่งแนบกับโต๊ะ ดูเหมือนกำลังวาดเครื่องรางอยู่ เขาชำเลืองมองนางแต่ก็ยังคงจดจ่ออยู่กับการวาด 

 

 

“ศิษย์… พี่ฉิน”  

 

 

นางกุมหัว สัมผัสได้ว่านางลืมอะไรบางอย่าง ขณะที่นางเรียกชื่อเขา ความคิดแวบผ่านในจิตใจ นั่นคือศิษย์พี่ฉินจริงๆ น่ะหรือ 

 

 

แต่จะเป็นใครไปได้ล่ะถ้าไม่ใช่เขา 

 

 

ขณะที่นางลงจากเตียง นางถามว่า “ศิษย์พี่ฉิน เรา…”  

 

 

“เราควรไปได้แล้ว”  

 

 

ฉินซียืนขึ้น ในชั่วพริบตาเขาก็ได้อุ้มนางทะยานขึ้นสูงไปบนฟ้าแล้ว เขาพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ท่านอารองได้ฝากฝังเจ้าไว้กับข้า”  

 

 

“ข้า…” โม่เทียนเกอไม่รู้จะพูดอะไรดี นางแค่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไปกับสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาเท่านั้น 

 

 

หลังจากปล่อยนางลงเมื่อพวกเขามาถึงภูเขาไท่คัง ฉินซีมองดูนางและพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “อย่ากลัวไป ข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะปกป้องเจ้าและทำให้แน่ใจว่าเจ้าปลอดภัยดี จงฝึกตนอย่างขยันขันแข็ง ถ้าเจ้าเข้าถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังสักวันหนึ่ง ข้าจะรายงานให้ท่านปรมาจารย์ทราบและขอให้เขาช่วยอวยพรเรา”  

 

 

“อวยพรเรา?”  

 

 

“ใช่ ท่านอารองของเจ้าตกลงที่จะยอมให้เจ้าฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับข้าแล้ว วันที่เจ้าสร้างขุมพลังของเจ้าได้คือวันที่เราจะให้เกียรติทำตามคำสัญญานั้น”  

 

 

“เป็นไปไม่ได้…” นางตกตะลึง ผิด นี่มันผิดปกติมาก 

 

 

ฉินซีพูดด้วยท่าทางรักใคร่เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ “อย่าบอกข้านะว่าเจ้าไม่ต้องการ”  

 

 

โม่เทียนเกอหันหน้าหนีและพูดด้วยเสียงต่ำๆ “นั่นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ท่าน… อาจารย์ลุงฉิน”  

 

 

นางไม่กล้ามองเขา ทันใดนั้นเอง นางรู้สึกถึงแรงผันผวนของพลังวิญญาณ นางเคลื่อนไหวในทันที หลบการโจมตีที่พุ่งตรงมาหานาง ชั่วขณะที่นางหันกลับ นางก็เห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของเว่ยจยาซือและสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต 

 

 

“ศิษย์พี่เว่ย!” นางตะโกน “ท่านจะทำอะไรน่ะ!”  

 

 

เว่ยจยาซือดูเหมือนจะไม่ได้ยินนางเลยแม้แต่น้อย นางยิ้มร้ายกาจและบีบมือ ลูกศรน้ำปรากฏขึ้นจากฝ่ามือนางและมันพุ่งเข้าหาโม่เทียนเกอ 

 

 

ขณะที่โม่เทียนเกอหลบการโจมตีของเว่ยจยาซือต่อไปอย่างน่าเวทนา นางมองกลับไปที่ฉินซีด้วยความหวังว่าเขาจะช่วยนางสกัดการโจมตีบ้าง อย่างไรก็ตาม นางเห็นว่าฉินซีกำลังมองทั้งสองคนสู้กันอยู่พร้อมกับรอยยิ้มราวกับเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย รอยยิ้มของเขาเย็นชาและน่ากลัวมาก 

 

 

“ศิษย์พี่เว่ย!” โม่เทียนเกอตะโกนและพยายามรีบคว้าเครื่องมือเวทของนางออกมา แต่โชคร้ายที่นางรู้ตัวว่ากระเป๋าเอกภพของนางหายไป! เมื่อนางหันกลับไปไม่กี่วินาทีให้หลัง ก็เห็นว่าเว่ยจยาซือที่ไม่ได้ถือเครื่องมือเวทอะไรเช่นกัน กำลังพุ่งเข้ามาเพื่อโจมตีนางอย่างโหดร้าย 

 

 

“ศิษย์พี่เว่ย! ท่านบ้าไปแล้วหรือ!”  

 

 

เว่ยจยาซือหยุดเคลื่อนไหว แต่สายตานางกลับยิ่งน่าหวาดกลัว นางพูดว่า “ข้ารู้มานานแล้วว่าข้าไว้ชีวิตเจ้าไม่ได้ เจ้าแย่งอาจารย์ลุงไปไม่ได้หรอก ข้าไม่ยอม!”  

 

 

มีความรู้สึกเย็นเยือกที่หน้าอกนางขึ้นมากะทันหัน นางรู้สึกตกใจ ความคิดแจ่มแจ้งปรากฏขึ้นในจิตใจนาง 

 

 

ผิด! นี่มันผิดแล้ว! ฉินซีไม่มีทางพูดอะไรแบบนี้กับข้า เขาจะไม่ยั่วศิษย์ของโรงเรียนด้วยเจนตนาชั่วร้ายแน่ ศิษย์พี่เว่ยก็จะไม่พยายามฆ่าข้าเพื่อประโยชน์ของตัวเองแน่ 

 

 

ปลอม! ทั้งหมดนี้เป็นของปลอม!  

 

 

สมองของนางเจ็บปวด นางไม่สามารถปัดป้องการโจมตีของเว่ยจยาซือได้ทันเวลาและนางรู้สึกเจ็บตรงแขนทันที อย่างไรก็ตาม ภาพเบื้องหน้านางจู่ๆ ก็ดูเหมือนคลื่นน้ำกระเพื่อมในทันใด คลื่นแล้วคลื่นเล่ายิ่งค่อยๆ รุนแรงมากขึ้น ท้ายที่สุดภาพเบื้องหน้านางก็แตกออกทีละนิด 

 

 

พวกนางยังคงอยู่ในบริเวณใกล้เคียงตระกูลอวี๋จากโรงเรียนตานติ่ง ไม่ใช่เขาไท่คัง 

 

 

ทันทีที่นางตื่นขึ้นจากภาพหลอน โม่เทียนเกอรีบขยับหลบการโจมตีจากเว่ยจยาซือทันที ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนางถูกปล่อยออกไป สกัดกั้นการจู่โจมที่เข้าหานางอีกครั้งหนึ่งได้สำเร็จ ชั่วขณะต่อมา นางคว้าเชือกรัดอสูรที่ใช้ในการจับสัตว์วิเศษออกจากกระเป๋าเอกภพของนาง โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก นางมัดตัวเว่ยจยาซือผู้ที่สูญสิ้นสติและเหตุผลทั้งหมดและกำลังเสกคาถาอย่างหน้ามืด 

 

 

โม่เทียนเกอถอนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกพร้อมถอนหายใจโล่งอก จากนั้นนางมองไปรอบๆ พยายามหาหยกชิ้นบางอันนั้น มันวางนอนอยู่บนพื้น แตกเป็นเสี่ยง สิ่งนี้มันคืออะไรกัน สามารถทำให้นางและเว่ยจยาซือที่อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังทั้งคู่เห็นภาพหลอนได้! ยิ่งไปกว่านั้น ในทุกภาพหลอนที่นางเจอ นางถูกดับฝันตอนช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดพอดี หรือว่าบางทีเว่ยจยาซืออาจจะเจอแบบเดียวกันกับนางเช่นกัน เมื่อพวกนางเห็นภาพหลอนเดียวกัน หรือจิตใจเว่ยจยาซืออ่อนแอเลยทำให้เว่ยจยาซือโจมตีนางในความเป็นจริง 

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกกลัวขึ้นมาในทันใด หากไม่ใช่เพราะนางไม่สามารถถูกปีศาจครอบงำได้อีกต่อไป ถ้าไม่ใช่เพราะจงมู่หลิงขัดเกลาจี้ซ่อนวิญญาณของนางใหม่อีกครั้ง เช่นนั้นบางทีนางก็อาจจะ… 

 

 

“ปล่อยข้า!” เว่ยจยาซือกล่าว โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าเว่ยจยาซือกำลังเห็นอะไรในภาพหลอนของนาง แต่สีหน้าของเว่ยจยาซือดูน่าหวาดกลัวและสายตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เกือบจะเหมือนกับว่านางหวังว่านางจะฆ่าโม่เทียนเกอได้ 

 

 

โม่เทียนเกอเดินไปหาเว่ยจยาซือ หยิบยาออกมาจากกระเป๋าเอกภพและโยนมันเข้าปากเว่ยจยาซือ 

 

 

“ปล่อยข้า… ไป…” เปลือกตาเว่ยจยาซือปิดลงและหมดสติไป 

 

 

หลังจากคิดอะไรบางอย่าง โม่เทียนเกอเก็บชิ้นหยกที่แตกและเก็บเอาไว้ หลังจากนั้นนางพาตัวเว่ยจยาซือบินไปทางตระกูลอวี๋ 

 

 

ระหว่างทางบนถนน นางเจอกับหลัวเฟิงเสวี่ยและผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังจากตระกูลอวี๋ ทั้งสี่คนจึงมุ่งหน้ากลับไปที่ตระกูลด้วยกัน 

 

 

— 

 

 

หันชิงอวี้เดินออกมาจากห้องหลังจากเอาเว่ยจยาซือนอนบนเตียง พอทั้งสองคนที่อยู่ในสนามเห็นนาง สายตาของพวกนางก็จับจ้องอยู่ที่ตัวนาง 

 

 

หันชิงอวี้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร ศิษย์น้องรองแค่เหนื่อยน่ะ ปล่อยให้นางพักเถอะ เดี๋ยวนางก็ดีขึ้นเมื่อนางตื่น”  

 

 

โม่เทียนเกอที่รู้สึกโล่งอกได้ในที่สุดถามขึ้นว่า “ศิษย์พี่หัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมตัวข้าและศิษย์พี่เว่ยถึงเห็นภาพหลอนหลังจากเรามองเข้าไปในของสิ่งนั้น”  

 

 

หันชิงอวี้ส่ายหน้าและตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไรเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ในโลกนี้มีวัตถุวิญญาณมากมายที่เหนือจินตนาการของเรา ในเมื่อของสิ่งนี้ถูกเก็บไว้โดยสัตว์ปีศาจ บางทีมันอาจจะมาจากป่าทางใต้ เราไม่มีทางรู้หรอก”  

 

 

ความคิดของหันชิงอวี้ก็สมเหตุสมผล ในป่าทางใต้มีสัตว์ปีศาจนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ ของบางอย่างเป็นที่รู้จักกันในหมู่มนุษย์ แต่บางอย่างก็รู้กันเพียงแค่ในหมู่สัตว์ปีศาจที่อาศัยอยู่ที่นั่น 

 

 

“แต่ดูจากพลังเวทของสิ่งนี้ มันไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน น่าเสียดายที่มันแตกเสียแล้ว ลองจินตนาการดูสิว่าถ้ามันยังอยู่ดี บางทีอาจจะกลายเป็นอาวุธวิเศษขึ้นมาก็ได้~!” หลัวเฟิงเสวี่ยพูด 

 

 

หันชิงอวี้เคาะหัวหลัวเฟิงเสวี่ยและพูดด้วยรอยยิ้ม “ของสิ่งนี้แตกเมื่อมันทำงาน เห็นได้ชัดว่ามันใช้ได้ครั้งเดียว อย่างกับว่ามันจะเป็นอาวุธวิเศษขึ้นมาได้อย่างนั้นล่ะ เลิกฝันเฟื่องได้แล้ว!”  

 

 

หลังจากมึนงงชั่วขณะหนึ่ง หลัวเฟิงเสวี่ยพยักหน้าและพูดว่า “มีเหตุผล…”  

 

 

“เอาละ” หันชิงอวี้พูดต่ออย่างเคร่งขรึม “เทียนเกอ เจ้าบอกว่าตอนเจ้าและศิษย์น้องรองออกไปสอดแนม เจ้าทั้งสองเห็นแค่หมาป่าหนึ่งตัวและหมาป่าขาสั้นอีกตัวเท่านั้นใช่ไหม ไม่มีปีศาจตัวอื่นอีกงั้นหรือ”  

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมตอบว่า “ใช่ ปีศาจขาสั้นตัวนั้นสามารถใช้ม่านพลังอำพรางวิญญาณได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นเราจึงสัมผัสความผันผวนของพลังวิญญาณใดๆ ไม่ได้เลย หลังจากพวกมันตาย ข้าไม่รู้สึกถึงพลังวิญญาณของปีศาจตัวอื่นอีก นอกจากนั้น บนซากของพวกมันมีรอยแผล จากการเดาของข้า พวกมันคงได้รับบาดเจ็บและถูกทิ้งไว้ที่นั่นโดยพวกสหายของมัน หมาป่าขาสั้นมันฉลาด เพราะอย่างนั้นบางทีมันอาจจะกลัวว่าเราจะตรวจจับได้แค่พลังวิญญาณของพวกมันในบริเวณเท่านั้น ทำให้มันจงใจทำตัวเช่นนี้…”  

 

 

“นั่นก็เป็นไปได้” หันชิงอวี้กล่าว นางเห็นซากของสัตว์ปีศาจทั้งสองตัวที่โม่เทียนเกอนำกลับมา การคาดเดาของนางก็เหมือนกันกับของโม่เทียนเกอ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางพูดว่า “แต่ทำไมสัตว์ปีศาจตัวอื่นๆ ถึงล่าถอยไป เรากำลังจะอพยพคน ดังนั้นนี่จึงไม่น่าจะเป็นผลของการวางแผนกลยุทธ์ของพวกมัน ต่อให้มันเป็นหมาป่าขาสั้นที่ฉลาดโดยกำเนิด มันก็ไม่น่าจะสามารถคิดแผนเช่นนั้นได้”  

 

 

“ศิษย์พี่หันหมายความว่า…”  

 

 

หันชิงอวี้ยิ้มและสายตาของนางจ้องลงลึก นางพูดว่า “ข้าเกรงว่าจะมีสัตว์ปีศาจระดับสูงกำลังสั่งการอยู่เบื้องหลัง”  

 

 

หลังจากที่นางพูด โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยต่างเหลือบมองกัน ใบหน้าของพวกนางค่อยๆ ซีดเผือดเพราะพวกนางทุกคนก็นึกถึงความเป็นไปได้แบบเดียวกัน!  

 

 

สัตว์ปีศาจระดับต่ำถูกส่งมาคุกคามตระกูลผู้ฝึกตนในบริเวณใกล้เคียง ทำให้โรงเรียนตานติ่งต้องส่งผู้ฝึกตนของพวกเขาออกไป จากนั้นก็ลงมือโจมตีโต้กลับจนสำเร็จ…