“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราควรทำอย่างไร” หลัวเฟิงเสวี่ยถามอย่างเป็นกังวล
หันชิงอวี้ไม่ได้ตอบ แต่กลับดูสงบนิ่ง ในขณะที่นางมองที่เว่ยจยาซือผู้ที่กำลังนอนอยู่บนเตียง สุดท้ายนางจึงตัดสินใจ นางพูด “ปลุกศิษย์น้องรองดูก่อนแล้วกัน”
“อื้อ” หลัวเฟิงเสวี่ยตอบขณะพยักหน้า ตอนนี้เมื่อพวกเขาคาดเดาว่าสัตว์ปีศาจเหล่านั้นต้องการที่จะทำอะไร นางก็ยิ่งรู้สึกเป็นกังวลมากขึ้น การตัดสินใจของหันชิงอวี้เหมาะกับสภาพอารมณ์ของหลัวเฟิงเสวี่ยตอนนี้เป็นอย่างมาก
“เทียนเกอ มาช่วยหน่อย”
โม่เทียนเกอส่งเสียงตอบรับก่อนที่จะขยับมาบริเวณข้างเตียง ขณะที่หลัวเฟิงเสวี่ยและหันชิงอวี้จับตัวเว่ยจยาซือให้อยู่ในท่านั่ง
หันชิงอวี้เงยหน้าขึ้นพร้อมกับพูดว่า “เทียนเกอ ระดับการฝึกตนของเจ้าอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้วตอนนี้ อีกครู่หนึ่งพวกข้าทั้งสองคนจะสอดแทรกพลังวิญญาณให้กับตานเถียนและห้วงทะเลแห่งความรู้ของศิษย์น้องรองเพื่อกระตุ้นจิตวิญญาณเริ่มต้น”
“ตกลง” โม่เทียนเกอพยักหน้า ไม่นานนางจึงนั่งลงข้างหลังเว่ยจยาซือกับหันชิงอวี้ ในขณะที่รอคำชี้แนะจากนาง
“ข้าจะนับถึงสามและเจ้าจะต้องสอดแทรกพลังวิญญาณเข้าไปในร่างของนางจากจุดหลิงไถ เมื่อพวกเราเริ่ม พลังวิญญาณภายในร่างกายของนางจะต่อต้านในทันที แต่เจ้าจะต้องทำต่อไป ข้าจะช่วยเจ้าทีหลังหากข้าสามารถ”
“ตกลง”
“เริ่มกันเลย หนึ่ง สอง สาม!”
เมื่อหันชิงอวี้นับจบ โม่เทียนเกอก็ยกมือของนางขึ้นทันที รวบรวมพลังของนางไว้ที่อุ้งมือ และวางติดไว้ที่จุดหลิงไถบริเวณหลังของเว่ยจยาซือ ในขณะเดียวกับที่หันชิงอวี้กดไปที่จุดไป๋ฮุ่ยของเว่ยจยาซือโดยตรง
“เฟิงเสวี่ย คอยดูศิษย์พี่รองของเจ้าไว้ หากนางดูเหมือนจะไม่ไหวแล้ว ก็ให้ป้อนยาบำรุงวิญญาณนาง”
“เข้าใจแล้วศิษย์พี่ใหญ่”
พลังวิญญาณของโม่เทียนเกอมีลักษณะของหยินบริสุทธิ์ มันเยือกเย็น แต่ก็นุ่มนวลและอ่อนโยน ทันทีที่นางส่งเข้าไปที่จุดหลิงไถ นางก็สัมผัสได้ถึงแรงต้านต่อพลังวิญญาณของนางจากเส้นลมปราณภายในร่างกายของเว่ยจยาซือ ยิ่งไปกว่านั้นแรงต้านนั้นค่อนข้างรุนแรงเกินกว่าที่นางจะต้านทานได้
ถึงแม้ว่าการจัดแบ่งลำดับที่ใช้ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังจะแตกต่างจากดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ แต่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังก็แบ่งลำดับเป็นขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสุดท้ายเช่นกัน ดินแดนย่อยเล็กๆ เหล่านี้ก็จะถูกแบ่งออกเป็นเก้าชั้น ชั้นแรก ชั้นสอง และชั้นที่สามเป็นที่รู้จักในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ชั้นสี่ ห้า และหกเป็นที่รู้จักในขั้นกลาง ส่วนชั้น เจ็ด แปด และเก้าเป็นที่รู้จักในขั้นสุดท้าย ส่วนสิ่งที่เรียกว่าจุดสูงสุดหรือความบริบูรณ์ของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ฝึกตนเข้าถึงชั้นที่สิบซึ่งแยกออกด้วยขอบเขตเส้นบางๆ จากดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง
หลัวเฟิงเสวี่ยเพิ่งเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังดังนั้นนางจึงอยู่เพียงแค่ชั้นแรก มันเป็นเวลาไม่นานที่หันชิงอวี้เข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ดังนั้นนางจึงยังคงอยู่ที่ชั้นเจ็ด สำหรับโม่เทียนเกอและเว่ยจยาซือ ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะอยู่ในขั้นกลาง เว่ยจยาซือได้อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังมาเกือบหนึ่งร้อยปี ถึงแม้ว่านางจะยังคงอยู่ขั้นกลาง แต่นางก็อยู่ในชั้นหกแล้ว ในทางกลับกันโม่เทียนเกอเพิ่งสามารถผ่านเข้าสู่ขั้นกลาง ดังนั้นนางจึงยังอยู่ในชั้นที่สี่
แม้กระทั่งในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ช่องว่างระหว่างชั้นก็ค่อนข้างแตกต่างอย่างมากในเรื่องของความแข็งแกร่ง นับประสาอะไรกับดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเล่า เมื่อพลังวิญญาณของโม่เทียนเกอไหลเข้าสู่เส้นลมปราณของเว่ยจยาซือ แรงกดดันจากการต่อต้านทำให้โม่เทียนเกอถึงกับต้องยู่หน้าทันที
แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา นางก็ใช้จี้ซ่อนวิญญาณของนาง จี้ซ่อนวิญญาณโดยแท้จริงแล้วจะใช้เพื่อซ่อนร่างกายของบุคคลและรวบรวมพลังวิญญาณ ผลจากการรวบรวมพลังวิญญาณคือมันจะช่วยขัดเกลาเวทของผู้สวมใส่ หลังจากที่จี้ซ่อนวิญญาณได้รับการขัดเกลาใหม่โดยจงมู่หลิง การทำงานของมันก็เห็นได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เส้นใยของพลังวิญญาณที่เข้มข้นและบริสุทธิ์ไหลออกจากจี้ซ่อนวิญญาณ ส่งผลให้โม่เทียนเกอรู้สึกถึงแรงกดดันน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้น เพราะพลังวิญญาณของโม่เทียนเกอประกอบไปด้วยหยินบริสุทธิ์ซึ่งนุ่มนวลแต่เหนียวแน่น ดังนั้นจึงสามารถจัดการพลังต่อต้านของเว่ยจยาซือและเคลื่อนที่ต่อไปตามเส้นลมปราณเพื่อเข้าสู่ตานเถียนของนางได้
หันชิงอวี้จ้องมองที่โม่เทียนเกอด้วยความประหลาดใจ ในตอนแรกนางตั้งใจที่จะช่วยโม่เทียนเกอหลังจากที่นางจัดการส่วนของนางเสร็จ นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าโม่เทียนเกอจะสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง หลังจากที่คิดอยู่ระยะหนึ่ง นางก็เข้าใจว่าในเมื่อศิษย์น้องของนางได้เผชิญเข้ากับโอกาสต่างๆ มากมาย บางทีอาจจะมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับพลังวิญญาณของนางก็เป็นได้ ดังนั้นหันชิงอวี้จึงไม่ได้พูดอะไรและตั้งใจที่จะคอยชี้นำพลังวิญญาณของตัวเองสู่เว่ยจยาซือ
ในไม่ช้า พลังวิญญาณของโม่เทียนเกอและหันชิงอวี้ได้ผสานรวมเข้าไปในตานเถียนของเว่ยจยาซือ หลังจากนั้นไม่นาน พลังวิญญาณที่ผสานกันได้ไหลไปในเส้นทางระหว่างตานเถียนและทะเลแห่งความรู้ เพื่อเข้าสู่ทะเลแห่งความรู้ต่อไป
ในทันที ทั้งสองคนทำหน้าตาบูดบึ้งอย่างเจ็บปวด ทำให้หลัวเฟิงเสวี่ยผู้ที่กำลังจ้องมองพวกนางรู้สึกเป็นกังวลอย่างมากขึ้นมาในทันที
โม่เทียนเกอรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลเมื่อพลังวิญญาณของนางเข้าถึงทะเลแห่งความรู้ของเว่ยจยาซือ นี่เป็นจุดที่จิตวิญญาณเริ่มต้นอยู่ มันตั้งอยู่ไกลจากตานเถียนมาก อย่างไรก็ตามตานเถียนเป็นเพียงจุดเดียวที่เชื่อมต่อเข้าสู่มัน พวกนางจะต้องผ่านตานเถียนที่ซึ่งเก็บพลังวิญญาณไว้อยู่ก่อน
โม่เทียนเกอและหันชิงอวี้ร่วมมือกันเมื่อต่างได้รับแรงกดดันจากพลังวิญญาณในตานเถียนของเว่ยจยาซือ ดังนั้นพวกนางจึงไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากนัก เมื่อพวกนางเข้าสู่เส้นทางที่เชื่อมไปยังทะเลแห่งความรู้ อย่างไรก็ตามพวกนางก็ต้องรู้สึกแทบหมดหวัง พวกนางทำได้เพียงแค่เคลื่อนไหวพลังวิญญาณอย่างช้าๆ ทีละนิด ทีละนิดเท่านั้น
ในที่สุด พลังวิญญาณของพวกนางก็เข้าถึงทะเลแห่งความรู้ไร้จุดสิ้นสุด ทั้งสองคนถอนใจอย่างโล่งอกและพบจิตวิญญาณเริ่มต้นของเว่ยจยาซือที่หลับใหลอยู่
“พวกเราจะต้องระวังให้มาก จิตวิญญาณเริ่มต้นของผู้ฝึกตนทั่วไปค่อนข้างบอบบาง แม้กระทั่งพลังวิญญาณที่อ่อนแอเช่นนี้ก็อาจจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดให้กับจิตสัมผัสของนางได้ พวกเราควรที่จะคลุมจิตวิญญาณเริ่มต้นของนางก่อนหลังจากนั้นข้าจะค่อยๆ เพิ่มแรงดันเข้าไป”
“ตกลงศิษย์พี่หัน”
จากคำแนะนำของหันชิงอวี้ โม่เทียนเกอควบคุมพลังวิญญาณของนางให้คงที่ ด้วยความช่วยเหลือของจี้ซ่อนวิญญาณ นางก็ได้กลายเป็นคนที่คล่องแคล่วในการควบคุมพลังวิญญาณทีเดียว นางปลดปล่อยพลังวิญญาณของนางให้ค่อยๆ ครอบคลุมจิตวิญญาณเริ่มต้นของเว่ยจยาซือก่อนที่จะหยุดลง
หันชิงอวี้ระมัดระวังอย่างที่สุด หลังจากผ่านกระบวนการที่ยากแล้ว ขนตาของเว่ยจยาซือสั่นไหวเล็กน้อย และสีหน้าของความเจ็บปวดก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าของนาง
“เฟิงเสวี่ย! ยาบำรุงวิญญาณ!”
หลัวเฟิงเสวี่ยปฏิบัติตาม รีบหยิบยาบำรุงวิญญาณออกมาและป้อนให้กับเว่ยจยาซือ
จิตวิญญาณเริ่มต้นของเว่ยจยาซือเริ่มคงที่เกือบในทันที หลังจากนั้นไม่นานนางก็ลืมตาขึ้น
“ศิษย์น้องรอง อย่าขยับ! รอจนกว่าพวกเราจะนำพลังวิญญาณออกจากเส้นลมปราณของเจ้าก่อนที่จะใช้พลังวิญญาณของเจ้าเอง”
เว่ยจยาซือจ้องมองอย่างว่างเปล่าครู่หนึ่งหลังจากที่นางได้ยินสิ่งที่หันชิงอวี้พูด และทำตามที่นางบอกในทันที
โม่เทียนเกอและหันชิงอวี้ใช้ความแข็งแกร่งของพวกนางอีกครั้งในขณะที่เคลื่อนย้ายพลังวิญญาณออกจากเส้นลมปราณของเว่ยจยาซือ
การเสียพลังวิญญาณขนาดนี้ไม่ส่งผลกระทบใดต่อพวกนาง อย่างไรก็ตาม ทะเลแห่งความรู้นั้นนับได้ว่าเป็นจุดที่บอบบาง หากพวกนางไม่ระมัดระวังให้มากพอ และทิ้งพลังวิญญาณของพวกนางไว้ด้านใน เว่ยจยาซือจะต้องเจอกับปัญหาอย่างแน่นอน
“เฮ้อ…” โม่เทียนเกอถอนใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเสียสละพลังวิญญาณขนาดนี้เพื่อทำสิ่งที่แสนละเอียดอ่อน ดังนั้นนางจึงอ่อนล้าเป็นอย่างมาก
หลัวเฟิงเสวี่ยรีบช่วยพานางลงจากเตียงและป้อนยาวิเศษให้ก่อนที่นางจะถามเว่ยจยาซือ “ศิษย์พี่รอง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
เว่ยจยาซือลืมตา ด้วยความสับสน งุนงง นางถาม “ข้า… เกิดอะไรขึ้นกับข้า”
หันชิงอวี้อธิบายอย่างอ่อนโยน “ศิษย์น้องรอง เจ้ากับเทียนเกอประสบเข้ากับอุบัติเหตุ ม่านพลังมายาล่อลวงจิตใจของเจ้า แต่เจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าได้คิดมากไป จงพักผ่อนเสียก่อน ข้าจะอธิบายมากกว่านี้ในภายหลัง”
“…” เว่ยจยาซือไม่ได้พูดอะไร นางก้มหัวลงและรู้สึกมึนงง ดูเหมือนพยายามที่จะระลึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น
“ศิษย์พี่รอง” หลัวเฟิงเสวี่ยเรียกด้วยความรู้สึกกังวลเล็กน้อย
เป็นเวลานาน ในที่สุดเว่ยจยาซือก็เรียบเรียงความคิดของนางกลับคืนมาได้ นางส่ายหัวและพูด “ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
หัวเราะอย่างเบาๆ หันชิงอวี้ตอบ “ข้าอยู่ที่นี่ แล้วเจ้าจะกังวลอะไร ศิษย์น้องรองพักผ่อนเสียก่อนเถิด เมื่อเจ้าฟื้นกำลังกลับคืนมาได้แล้ว ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียดเอง”
“อือ” ท่าทางของเว่ยจยาซือยังคงเปลี่ยนไป แต่สุดท้ายแล้วนางก็ยังคงพยักหน้า
นี่ทำให้ทั้งหันชิงอวี้และหลัวเฟิงเสวี่ยโล่งอก หันชิงอวี้ยืนขึ้นและพูด “เจ้าพักเสียก่อน พวกข้าไม่รบกวนเจ้ามากไปกว่านี้แล้ว”
“รอก่อน” เว่ยจยาซือเงยหน้าขึ้นขณะที่นางพูด นางมองไปยังโม่เทียนเกอ และพูดว่า “เทียนเกอ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
โม่เทียนเกอตกใจ ตามองไปที่หันชิงอวี้และหลัวเฟิงเสวี่ยทันที
หลัวเฟิงเสวี่ยขมวดคิ้วในขณะที่หันชิงอวี้ดูสับสน หลังจากนั้นไม่นาน หันชิงอวี้จึงมองนางอย่างมีความหมายบางอย่างและพูดด้วยรอยยิ้ม “เทียนเกอ ในเมื่อตอนนี้ไม่ได้มีเรื่องอะไร เจ้าอยู่เป็นเพื่อนกับศิษย์พี่เว่ยก่อนแล้วกัน”
เมื่อจับใจความที่หันชิงอวี้ต้องการจะสื่อได้ โม่เทียนเกอจึงพยักหน้าและตอบ “ตกลงศิษย์พี่หัน”
เมื่อหลัวเฟิงเสวี่ยและหันชิงอวี้ออกจากห้องไป โม่เทียนเกอจึงก้าวมาทางด้านหน้า จัดเตียงให้เรียบร้อย และช่วยเว่ยจยาซือให้นั่งตัวตรงขึ้น นางพูด “ศิษย์พี่เว่ย ท่านมีเรื่องที่อยากจะบอกกับข้าหรือ”
เว่ยจยาซือยังคงนิ่งเงียบ แต่ยังคงจ้องมองโม่เทียนเกออย่างไม่วางตา สายตาของนางเป็นการจ้องอย่างพินิจพิเคราะห์ ทั้งพินิจพิเคราะห์และครุ่นคิด
โม่เทียนเกอหยุดเคลื่อนไหวและนั่งเงียบๆ อยู่ข้างเตียง การจ้องมองของหันชิงอวี้อย่างลับๆ บอกนางให้อดทนหน่อย และให้คอยช่วยเหลือ เพราะเว่ยจยาซืออารมณ์เสียและยังบาดเจ็บอยู่ด้วย เนื่องจากโม่เทียนเกอไม่จุกจิกในเรื่องพวกนี้ นางจึงเชื่อฟังอย่างดี
ถึงแม้ว่าเว่ยจยาซือจะมองนางเช่นนี้ โม่เทียนก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด ชีวิตสมัยเด็กของนางนั้นยากลำบากอยู่แล้ว นางค่อนข้างเคยชินกับความแปรปรวนในธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นทำไมนางจึงจะต้องใส่ใจในเรื่องแบบนี้ด้วย
หลังจากเวลาที่ผ่านไปนานเสมือนนิรันดร์ ในที่สุดเว่ยจยาซือก็พูด “เทียนเกอ เจ้ารู้ไหมว่าข้าต้องการที่จะพูดอะไรกับเจ้า” อย่างไม่คาดคิด น้ำเสียงของนางช่างสงบนิ่ง