บทที่ 58 แม่มด โดย Ink Stone_Fantasy
ภูตดำหมายเลขสิบแปดเริ่มรู้แล้ว ว่าลูกค้าตรงหน้าไม่ใช่คนที่หลอกล่อได้ง่ายๆ
มีพลังบางอย่างคอยคุ้มครองเธออยู่
พูดให้ถูกก็คือ มีพลังบางอย่างที่คล้ายกับพลังของภูตดำหมายเลขสิบแปด กำลังมอมเมาลูกค้าตรงหน้าเธอ
แน่นอนว่า พลังของมันอ่อนด้อยนัก เมื่อเทียบกับพลังของภูตดำหมายเลขสิบแปด
แต่ทูตภูตดำของสมาคมกลับไม่สามารถทำลายพลังเจือจางนี้ และหลอกล่อทำข้อตกลงกับลูกค้าได้
ถึงทูตภูตดำเหลืออยู่ไม่มากนัก เพราะผู้ที่อ่อนแอก็แพ้ไป พวกทูตภูตดำที่เหลืออยู่จึงเป็นหัวกะทิของสมาคมโดยแท้จริง…ถ้าเรื่องกระจายออกไปว่า ภูตดำหมายเลขสิบแปดอย่างเธอสู้พลังเบาบางแบบนี้ไม่ได้ แล้วเธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
“แม้ไม่รู้ว่าเธอไปได้สร้อยเส้นนั้นมาจากไหน…แต่ไม่เป็นไร…ฮึๆ”
เสียงหัวเราะน่าสะพรึงกลัวดังขึ้น
แต่จ้าวหรูกลับไม่ได้ยินสักแอะ
เธอบังเอิญเดินผ่านร้านหนังสือร้านหนึ่ง ก่อนหยุดฝีเท้าลง
คล้ายมีบางอย่างดึงดูดเธอ…ให้เดินเข้าไปในนั้น
แต่ไม่นานเธอก็เดินออกมา พร้อมกับถุงหิ้วใบหนึ่งในมือ เธอน่าจะซื้ออะไรมาจากร้านหนังสือ
ภูตดำหมายเลขสิบแปดไม่ได้สนใจว่าลูกค้าคนนี้จะซื้ออะไรเหมือนกัน แค่มองไปที่ร้านหนังสือร้านนี้แวบหนึ่ง…เป็น ‘ร้านหนังสือซินหวา’ ที่พบเห็นได้ทั่วไป
…
…
ยามเย็น ม่ายเสี่ยวจวินกับคุณปู่กลับมาพร้อมกัน
สำหรับม่ายเสี่ยวจวิน คนที่รู้จักในซอยทั้งหมดไม่ได้อายุใกล้เคียงกับเขาเลย แต่อายุประมาณสามสิบสี่สิบปีกันทั้งนั้น…นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นพี่ผู้หญิงที่ยังสาวมาอยู่ในที่แบบนี้
นอกจากเพื่อนนักเรียนหญิงในโรงเรียน และครูประจำชั้นผู้หญิงแล้ว ม่ายเสี่ยวจวินก็เพิ่งเคยเข้าใกล้ผู้หญิงเป็นครั้งแรกในชีวิต
เขาสัมผัสได้ว่าพี่สาวคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น
แต่เขาไม่พูดออกมา…แค่รู้สึกว่าพี่หรูคนนี้ไม่เคยยิ้มเลย
แม้ว่า…เธอจะมาที่นี่ได้ไม่กี่วันนี้เท่านั้น
ดูเหมือนว่าวันนี้ลุงม่ายหาเงินได้ดีทีเดียว ขากลับเลยซื้อตับหมูถูกๆ จากตลาดสดมาด้วย คิดว่าจะทำผัดตับหมู ตอนนี้เขากำลังเขี่ยเตาอยู่
คนเก็บขยะคนอื่นๆ ในซอย พวกนอนกลางแจ้งก็กำลังวุ่นอยู่กับอาหารมื้อเย็นของพวกเขาอยู่ไม่มากก็น้อย
ไม่นานที่นี่ก็มีสารพัดกลิ่นหอมลอยโชยออกมา
แต่ม่ายเสี่ยวจวินไม่ได้ถูกกลิ่นหอมดึงดูดเหมือนอย่างเคย ทว่าแอบมองพี่สาวที่มาใหม่คนนี้ด้วยความอยากรู้
เธอจะไม่เป็นฝ่ายพูดกับใครก่อน…ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาอาหารเย็นแล้วก็ตาม
เธอเอาแต่นอนอยู่ใน ‘ห้อง’ เพียงลำพัง ฉีกขนมปังเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่เข้าไปในปากทีละคำ
ม่ายเสี่ยวจวินคิดว่าขนมปังของพี่เสี่ยวหรูคงไม่ร้อนแล้ว…ท่าจะเย็นชืดไปหมด
เธอน่าจะกำลังคิดอะไรอยู่
คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ ต่างปฏิบัติตามกฎที่ไม่มีใครกำหนดขึ้นมา…นั่นก็คือไม่ไปถามเรื่องของคนอื่น ถ้าจะคุยก็คุยเรื่องที่เห็นที่ได้ยินเมื่อวานนี้หรือตอนนี้
แต่ไหนแต่ไรม่ายเสี่ยวจวินไม่คิดจะปฏิบัติตามกฎแปลกๆ แบบนี้อยู่แล้ว ด้วยเพราะเขายังอยู่ในช่วงวัยที่มีความอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งต่างๆ
“พี่เสี่ยวหรูกำลังคิดถึงพ่อแม่ของพี่อยู่เหรอครับ”
แต่เขาเพิ่งเรียนอยู่ ป.4 เรื่องที่เขาพอจะเข้าใจก็มีแต่เรื่องพวกนี้เท่านั้น
จ้าวหรูไม่ได้ตอบในทันที แต่มือพลันหยุดชะงัก แล้วมองเด็กที่อาศัยอยู่ข้างๆ เมื่อไม่กี่วันมานี้อย่างเฉยเมย…อันที่จริงก็อยู่ห่างกันแค่พวกแผ่นไม้กับกระดาษลังกั้นเท่านั้นเอง ขนาดที่เธอได้ยินเสียงลมหายใจของเด็กคนนี้ขณะนอนหลับ
“เธอคิดถึงพ่อแม่ของเธอหรือเปล่าล่ะ” จู่ๆ จ้าวหรูก็ถามขึ้น
ม่ายเสี่ยวจวินไม่ค่อยเจอคนที่ถามคำถามนี้นัก…ฉับพลันเขาก็ไม่รู้จะตอบคำถามอย่างไรดี
เขากอดหนังสือเรียนของตนเองไว้ แล้วนั่งลงตรง ‘หน้าประตู’ ของพี่เสี่ยวหรู ซึ่งก็คือใต้กระดาษลังที่มุงไว้
“อืม…คิดถึงเป็นบางครั้งครับ” ม่ายเสี่ยวจวินค่อยๆ ยื่นหัวออกมา มองดูปู่ที่กำลังยุ่งแวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างระมัดระวัง “พี่เสี่ยวหรู ผมจะบอกความลับพี่อย่างหนึ่งนะ พี่ช่วยเก็บเป็นความลับได้ไหมครับ”
“งั้นเธออย่าพูดเลย”
ม่ายเสี่ยวจวินอ้าปากค้าง นึกไม่ถึงว่าเธอจะตอบมาแบบนี้…ปกติในโรงเรียน เวลาเพื่อนจะพูดความลับอะไรก็แล้วแต่ มักจะมีคนให้ความสนใจมากมายไม่ใช่เหรอ
“ปู่ผมบอกว่า ถ้าผมตั้งใจเรียน สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว พ่อแม่ก็จะมาหาผมครับ!”
“ฉันห้ามไม่ให้เธอพูดไม่ใช่เหรอ” จ้าวหรูส่ายหัว “ฉันจะลืมมันไปแล้วกัน”
“เอ่อ…” ม่ายเสี่ยวจวินก้มหน้าด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
จ้าวหรูมองแวบหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้น “เอาการบ้านของเธอมาให้ฉันดูหน่อยสิ”
“ขอบคุณครับ พี่เสี่ยวหรู!” ม่ายเสี่ยวจวินดีใจขึ้นมาทันที…เขาพบว่าหัวข้อเรื่องที่พี่สาวคนนี้พูดอธิบายฟังเข้าใจง่ายกว่าครูที่โรงเรียนเสียอีก
เขาแทบจะอดใจรอไม่ไหว เลยมุดเข้าไปใน ‘บ้าน’ ของพี่เสี่ยวหรูคนนี้
“ไม่ต้องเข้ามาหรอก” จ้าวหรูขวางเขาเอาไว้ “ไปข้างนอกกันดีกว่านะ ในนี้มันมืดเกินไป”
ม่ายเสี่ยวจวินไม่ได้รู้สึกแย่อะไร เขาพยักหน้าแล้วคลานออกไป จึงไม่ทันเห็นว่าพี่เสี่ยวหรูคนนี้หยิบของบางอย่างขึ้นมาด้วย
ก่อนซ่อนเอาไว้ในเสื้อคลุมของเธอ
…
ดึกแล้ว ความเงียบสงัดปกคลุมซอย ผู้คนหลับไหลกันหมด รวมทั้งจ้าวหรูด้วย
แต่ดูเหมือนว่าจะมีอะไรลอยไปลอยมาข้างๆ ตัวเธอ…เหมือนเงา
ดูเหมือนว่าเงาร่างนั้นกำลังพิจารณาดูจ้าวหรูอยู่ เงานั้นมองดูจ้าวหรูหลับไป บนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อเล็กๆ แล้วเงานั้นก็เผลอส่งเสียงหัวเราะ ฮึๆ น่าสะพรึงกลัวออกมา
เพราะเงานี้รู้ว่า จ้าวหรูกำลังฝันถึงเรื่องราวในอดีต
ในความฝัน เธอรีบนั่งรถกลับบ้านนอกเมืองอันแสนห่างไกลในคืนก่อนวันปีใหม่
เธอเผลอออกแรงคว้าเสื้อของตนไว้แน่น ลูกตาใต้เปลือกตากลอกไปมา
เสียงหัวเราะน่าสะพรึงกลัวมากขึ้น…แน่นอนว่าไม่มีใครได้ยิน
ทันใดนั้นเอง เสียงหัวเราะก็หยุดลง แล้วเงาดำก็ลอยออกไปจาก ‘ห้อง’ โกโรโกโสแห่งนี้ ก่อนออกจากซอยเล็กๆ แห่งนี้ ถึงได้เผยตัวตนที่แท้จริงของมัน
ชุดสีดำปกคลุมตัว สิ่งเดียวที่มีคือดวงตาเป็นประกายคล้ายแมวสวยประหลาดคู่หนึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ดวงตาคล้ายแมวคู่นี้กำลังพิจารณาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า…ตรงนั้นมีชายสวมแว่นตายืนอยู่นิ่งเงียบ
เหมือนว่าเขาจะรอมาสักพักหนึ่งแล้ว
ขณะเดียวกันชายคนนั้นก็กำลังมองพิจารณาคนแปลกๆ ตรงหน้าคนนี้เหมือนกัน…หรือก็คือคนที่สวมเสื้อคลุมสีดำ
เขาเป็นฝ่ายจู่โจมถามอย่างรวดเร็ว “ปีศาจเหรอ หรือว่าเป็นพวกวิญญาณอาฆาต”
พอเขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ได้ใส่ใจ ก็ส่ายหัว “ช่างมันเถอะ ยังไงคุณก็ต้องหายไปอยู่ดี”
“จิ๊ๆๆ รู้แต่แรกแล้วว่ามีคนสะกดรอยตามผู้หญิงคนนี้ ดูท่าแกคงให้จี้คริสทัลกับเธอสินะ?”
ชายสวมแว่นตาหัวเราะเบาๆ “ไม่ว่าคุณเป็นผีเร่ร่อนจากไหน แต่ถ้าคิดจะทำลายไอเดีย ‘องค์ประกอบ’ อันงดงามของฉันละก็ ยังเร็วไปหลายปีนะ”
ว่าแล้ว จู่ๆ เขาก็แบมือซ้ายออก แล้วคริสทัลสีดำเม็ดเล็กๆ ห้าเม็ดก็กลิ้งออกมาจากในแขนเสื้อเขา
ก่อนมาหยุดอยู่กลางฝ่ามือของเขา ไม่ได้ตกลงพื้น แต่ลอยขึ้น!
พอได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊ง คริสทัลพวกนี้ก็พุ่งเข้ามาพร้อมๆ กัน!
คริสทัลลพุ่งแยกออกเป็นห้าทิศทาง สี่อันอยู่บนพื้น อีกหนึ่งอันลอยอยู่กลางอากาศ ตำแหน่งห้าจุดเป็นโครงสร้างพีระมิดฐานสี่เหลี่ยม พวกมันเชื่อมโยงถึงกัน กลายเป็นผนึกทรงพีระมิดสามเหลี่ยมอันหนึ่ง
แล้วชายสวมแว่นตาก็เอามือไพล่หลังอีกครั้ง ยิ้มพลางพูดอย่างเฉยชา “ฉันจะใช้แกเป็นใจกลางคริสทัลเม็ดถัดไปพอดี…ถ้าผีเร่ร่อนอย่างแกมีพลังแข็งแกร่งพอละก็นะ”
แต่เขาก็หยุดพูดกะทันหัน…ผนึกที่ใช้ดักจับวิญญาณเร่ร่อนประสิทธิภาพสูงของเขาก็ปรากฎรอยร้าวเส้นหนึ่ง
รอยร้าวนี้กำลังแผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว…เร็วยิ่ง!
ผ่านไปไม่ทันไรหลังจากรอยร้าวรอยแรก ผนึกก็แตกกระเจิง รวมทั้งคริสทัลห้าอันนั้นด้วย
“จิ๊ๆๆ หลงนึกว่าเจอคนน่าสนใจเข้าแล้ว ที่แท้ก็แค่ตัวตลกที่เรียนโชว์มายากลเท่านั้นเอง จิ๊ๆๆ…”
สีหน้าชายคนนั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนก้าวถอยหลังไปสามสี่ก้าว สองมือวางไว้ข้างลำตัว แล้วคริสทัลจำนวนมากขึ้นก็ไหลออกมาจากในแขนเสื้อของเขา ก่อนลอยอยู่กลางฝ่ามือเขา
“ขนาดถูกไฟเผาที่เยรูซาเล็มยังฆ่าฉันไม่ได้เลย…แล้วนับประสาอะไรกับฝีมือกิ๊กก๊อกอย่างแก? จิ๊ๆๆ…”