บทที่ 59 ฝันที่ผ่านไปแล้ว และ ‘คัมภีร์มรณะ’ โดย Ink Stone_Fantasy
เห็นได้ชัดว่า ชายหนุ่มไม่เก็บคำพูดของคนประหลาดมาใส่ใจ
การผนึกไม่ใช่วิธีการเพียงอย่างเดียวของเขา เป็นแค่หนึ่งในวิธีที่เขาใช้มาจับเป้าหมาย…ซึ่งเป็นวิธีที่นุ่มนวลอย่างหนึ่ง
“ผมไม่เคยได้ยินศาลยุติธรรมอะไรหรอก แต่ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมก็มีกระสุนมาใช้จัดการคุณ” ชายหนุ่มหัวเราะ คริสทัลที่เตรียมไว้เหนือฝ่ามือ ยิงพุ่งออกมาเหมือนลูกกระสุนทันที
เม็ดคริสทัลที่พุ่งออกมา มีอานุภาพยิงทะลุแผ่นเหล็กหนาหนึ่งเซนฯได้เลย!
การเคลื่อนไหวของพวกมันเร็วมากจนตาคนธรรมดามองไม่ทัน!
แต่ทันทีที่เม็ดคริสทัลพวกนี้กำลังจะทะลุร่างสวมเสื้อคลุมยาวสีดำตรงหน้านี้ มันกลับเปลี่ยนเป็นควันสีดำกลุ่มหนึ่งกระจายตัวออกจากกันทันที!
พอเม็ดคริสทัลทะลุผ่านไปแล้ว มันก็กลับมารวมตัวกันใหม่…เธอหลบการโจมตีได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้ชายหนุ่มก็ตระหนักได้ถึงอันตราย แต่เขายังคงรักษาความใจเย็นไว้ได้ คริสทัลจำนวนมากกลิ้งตกลงมาจากแขนเสื้อของเขาอีกครั้ง เขาขยับริมฝีปาก ก่อนถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว…แต่เขาจำต้องหยุดชะงัก
ระยะห่างแค่เพียงห้าก้าว
ไม่รู้ว่าสิ่งที่มีตาดุจแมวดำในชุดยาวสีดำมาอยู่ตรงหน้าเขาจนแทบจะชิดกัน…ตั้งแต่เมื่อไร
“ฉันถึงบอกว่าแกไม่เอาถ่านไง จิ๊ๆๆ…นักเวทอันดับหนึ่งจะไม่ร่ายมนตร์เกินหนึ่งวินาที!”
คริสทัลยังลอยเหนือฝ่ามือของชายหนุ่ม แต่หน้าอกของเขากลับปริเป็นบาดแผลขนาดใหญ่!
ชายหนุ่มถึงเรียกสติกลับมาได้ เขาก้มหัวลงไปมองดูบาดแผลน่ากลัวบนตัวทันที…แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้ว “แกเป็นใครกันแน่?”
เขากำลังจ้องเขม็ง
ร่างกายของเขาเกาะตัวเป็นก้อนผลึกโดยพลัน ก่อนแตกกระจายเหมือนกระจกที่ถูกทุบแตก กระจายร่วงลงมาเป็นเม็ดคริสทัลทีละเม็ด ทีละเม็ด
เม็ดคริสทัลพวกนั้นเด้งกระจายอยู่บนพื้น เธอในชุดคลุมตัวยาวสีดำ…เธอ ภูตดำหมายเลขสิบแปดกำลังส่งเสียงหัวเราะอันน่าสะพรึงกลัวอีกครั้ง “ไม่เอาถ่านจริงๆ แต่อย่างน้อยก็ยังรู้จักใช้วิชาตัวแทนนี่”
ชายคนนี้ ไม่ได้ใช้ร่างของตัวเอง…ตั้งแต่ตอนแรกที่ปรากฏตัวแล้ว
แต่ภูตดำหมายเลขสิบแปดก็ไม่ได้คิดจะไปตามล่า ว่าร่างที่แท้จริงของชายคนนี้ซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่ เธอต้องถืองานที่ได้รับมอบหมายมาเป็นอันดับแรกเสมอ
หลังจากครั้งนี้ ชายหนุ่มก็หนีไปอย่างหวาดผวา แล้วไม่ปรากฏตัวมาอีกเลย ซึ่งนั่นก็ทำให้ความกังวลใจของเธอน้อยลง
แต่ถึงเป็นตายยังไงเขาก็จะมาอีกไม่ยอมเลิกรา สำหรับเธอแล้วก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
เพราะไม่ว่าร่างจริงหรือร่างตัวแทนจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ ก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
หากยังกำจัดไม่ได้ในครั้งเดียว งั้นสองครั้งก็แล้วกัน
ง่ายดายแบบนี้แหละ
ที่สำคัญก็คือ แดนฝันอันเป็นฝันในอดีตของลูกค้าไม่ได้ถูกสั่นคลอนไปด้วย…
เธอแปลงเป็นเงามืดอีกครั้ง แทรกซึมเข้าไปในซอยเงียบสงัดซอยนั้น
“จิ๊ๆๆ…”
…
สิ่งที่จ้าวหรูภูมิใจเพียงอย่างเดียวก็คือ เธอเก็บหอมรอมริบจากการทำงานมานาน จนเธอสร้างบ้านเล็กๆ สองชั้นในหมู่บ้านแห่งนี้ได้แล้ว
ปีถัดมา ที่นี่ก็จะเพิ่มเติมชั้นที่สามแล้ว
จ้าวหรูมองดูมันอยู่ไกลๆ ด้วยความรู้สึกพึงพอใจเล็กน้อย
“อ้าว เสี่ยวหรูกลับมาแล้วเหรอ!”
“ไม่เจอกันตั้งนาน รีบกลับบ้านเถอะ!”
เธอเจอคนรู้จักระหว่างทางกลับบ้าน…ถึงที่นี่จะล้าหลังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เงียบวังเวงเหมือนในเมือง
ถึงจะเป็นแบบนี้ แต่ช่วงปลายปีก็ผ่านไปได้ยากยิ่ง เบื้องหลังของรอยยิ้มชาวบ้านพวกนี้ซ่อนความทุกข์ทรมานเอาไว้…คาดว่าทุกคนก็เคยได้สัมผัส
การกลับบ้านสักครั้งหนึ่งสำหรับคนที่ออกไปทำงานข้างนอกนั้นไม่ง่ายเลย
จ้าวหรูเจอพ่อ แม่ แล้วก็น้องชายของเธอ นี่เป็นเพียงครั้งเดียวที่เธอได้เจอครอบครัวของตัวเองตลอดหนึ่งปี
นี่คงเป็นอาหารมื้อแรกของปีใหม่ที่หวนให้นึกถึงอดีตอันแสนนาน
“น้องชาย นายเปิดเรียนเมื่อไร?”
แม่หั่นน่องไก่ชิ้นสมบูรณ์ให้จ้าวหรู แล้วคีบมาไว้ในชามไก่ตัวผู้ด้านหน้าเธอ แต่เธอกลับมองไปทางน้องชายตัวเองด้วยความห่วงใย
น้องชายก้มหน้าจ้วงข้าวไปหลายคำ แล้วพูดอุบอิบว่า “ไม่เปิดเทอมแล้ว”
“ไม่เปิดเทอม?” จ้าวหรูตะลึง เธอยังไม่เข้าใจ
คุณพ่อจ้าวถึงช่วยอธิบาย “อ๋อ น้องหมายถึง ช่วงนี้จะอยู่เป็นเพื่อนแกหลายวันหน่อย”
จ้าวหรูยิ้ม เธอรู้สึกอบอุ่นบางเบาในใจ “เด็กโง่ ก่อนพี่จะกลับไปทำงาน นายคงได้ปิดเทอมฤดูหนาวไปอีกนานเลย พี่คงต้องรีบนั่งรถไฟกลับตั้งแต่วันที่ห้าซะแล้ว”
คาดไม่ถึงว่าตอนนี้น้องชายกลับวางตะเกียบลง “พ่อ พ่อก็บอกไปตรงๆ เลยสิ ว่าผมลาออกแล้ว”
พอได้ยินประโยคนี้ คุณแม่จ้าวก็ถอนสายตากลับมาทันที…จ้าวหรูสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศบนโต๊ะนี้เปลี่ยนเป็นอึดอัดไปแล้ว
“ลาออก?” จ้าวหรูอึ้งไปพักหนึ่ง ทำไมถึงได้วู่วามอย่างนี้…เธอควบคุมอาการหุนหันพลันแล่นนี้ไว้ แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทำใจให้สงบ “ทำไมถึงลาออก? ไม่ได้เรียนดีอยู่หรอกเหรอ?”
“ออกแล้วทำไม ยังไงก็เรียนไม่ได้อะไรอยู่แล้ว” น้องชายพุ้ยข้าวเข้าปาก พร้อมกับพูดว่า “ค่าเรียนวิทยาลัยวิชาชีพแพง จบมาแล้วก็ไม่มีโอกาสได้ทำงานตำแหน่งดี ผมไม่เรียนแล้ว ออกมาทำงานเลยดีกว่า่าเรียนล้วกาสใจขึ้นมาทันทีด้หรอ”
“ไม่ได้! ค่าเทอมจะแพงก็ช่าง นายอุตส่าห์เรียนมานานขนาดนี้แล้วนะ!” จ้าวหรูพูดเสียงเข้ม “นายต้องกลับไปเรียน ปีหน้าก็จะจบแล้ว ตอนนี้จะมาบอกเลิกเรียนกลางคันได้ยังไง? ผ่านปีใหม่ไป พี่จะไปลองคุยกับอาจารย์ที่โรงเรียนนาย! ค่าเทอมหลายปีนี้จะเสียเปล่าไม่ได้!”
“บอกแล้วว่าไม่ต้อง” น้องชายส่ายหน้า
คุณแม่จ้าวใช้เท้าเตะน้องชายเบาๆ ใต้โต๊ะหนึ่งครั้ง
“ทุกคนยังมีเรื่องปิดบังหนูอยู่หรือเปล่า?” จ้าวหรูรู้สึกได้ถึงการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของแม่แล้ว
“เปล่าๆ” คุณแม่จ้าวรีบตอบ “กินข้าว กินข้าวเถอะ! อย่าพูดเรื่องพวกนี้ตอนข้ามปีเลย เรื่องของน้องแก ไว้ค่อยว่ากันพรุ่งนี้!”
“ไม่ได้! วันนี้ต้องพูดให้รู้เรื่อง” จ้าวหรูพูดเสียงหนักแน่น “งั้น หนูไม่กินมื้อนี้แล้ว! ไม่บอกใช่ไหม? หนูจะไปถามคนอื่น หนูไม่เชื่อว่าไม่มีใครรู้เรื่องสักคน!”
พอคุณพ่อจ้าวเห็นจ้าวหรูออกจากโต๊ะอาหารไป ก็ตบโต๊ะอย่างแรงทันที “กลับมา! ยังขายขี้หน้าไม่พอหรือไง? น้องชายแกทำร้ายคนที่โรงเรียนบาดเจ็บถึงได้ถูกไล่ออก! แกจะโวยวายทำอะไร?”
“ทำร้ายคน?” จ้าวหรูหันหน้ากลับมามองน้องชายทันที “นายทำร้ายใคร ทำไมต้องทำร้าย”
“พวกเขาแหย่ผมก่อน ไอ้พวกชั้นต่ำ! ตีให้ตายก็สมควรแล้ว”
“ไม่พูดจะตายไหม?” คุณพ่อจ้าวตบหน้าน้องชายอย่างแรง พูดอย่างเดือดดาล “ทำร้ายจนเข้าโรงพยาบาล ชดใช้เงินไปสามหมื่นหยวนยังไม่สาแก่ใจอีกหรือ? ต้องเอาให้ตายถึงจะพอใจหรือไง? แกมันไร้ยางอาย!”
“เงินสามหมื่นอะไร?” จ้าวหรูมองไปทางพ่อของเธอทันที
“ไม่มีอะไร” คุณพ่อจ้าวเงียบลงทันที แล้วเทเหล้าให้ตัวเอง
“พูดสิคะ! เงินสามหมื่นอะไร?” จ้าวหรูซักไซ้ไม่หยุด “ที่บ้านเอาเงินเยอะขนาดนั้นมาจากไหน พูดสิคะ! แม่? บอกมาสิคะ!”
“เอ่อ…ยืมมา ขอยืมคนอื่นมา”
“ขอใคร?”
“ขอ…ขอข้างบ้าน…”
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว!” จ้าวหรูลูบหน้าอย่างแรง “หนูรู้แล้วว่าเงินมาจากไหน เงินที่หนูส่งให้ใช่ไหมล่ะ?”
คุณแม่จ้าวก้มหน้าลงทันที
“นั่นเป็นเงินที่หนูเอามาสร้างบ้าน! เงินที่พ่อแม่ขอหนูครั้งที่แล้ว! ครั้งที่แล้วพ่อแม่ส่งข้อความมาบอกหนูว่า รัฐบาลให้เงินช่วยเหลือ เป็นเงินสร้างชั้นสามให้หนู! หนูนึกว่า…หนูนึกว่า…” จ้าวหรูตะคอกเสียงดัง “หนูนี่มันโง่จริงๆ! ทำไมถึงหลงเชื่อพ่อแม่ไปได้!”
“พอแล้ว!” คุณพ่อจ้าวโกรธขึ้ง “เอาเงินสามหมื่นของแกมาช่วยน้องหน่อยจะเป็นอะไร? เขาเป็นน้องแกหรือเปล่า? แค่เงินสามหมื่น คิดหยุมหยิมไปได้”
“หนูไม่ช่วยน้อง? พ่อบอกว่าหนูไม่ช่วยน้อง?” จ้าวหรูชี้หน้าคุณพ่อจ้าว พูดอย่างโมโห “หลายปีมานี้ ใครเป็นคนออกค่าเรียนของน้อง? พ่อบอกว่าสร้างชั้นสองเพื่อให้น้องแต่งสะใภ้ในอนาคต ใครเป็นคนออกเงิน? ตอนแรก…ตอนแรก ไหนใครบอกให้หนูลาออก จะได้เอาเงินไปส่งน้องแทน? ใครกัน? พ่อ…ทำไมพ่อทำกับหนูแบบนี้? หนูไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อหรือไงกัน?”
เพี๊ยะ!
คุณพ่อจ้าวตบหน้าจ้าวหรู ถลึงตาพูดว่า “ใครสั่งสอนแก ให้พูดกับพ่อแบบนี้!”
จ้าวหรูหัวเราะเย้ยตัวเอง
เธอยกมือขึ้นมากุมหน้าตัวเอง แล้วก็หัวเราะ “ไม่มีใครสอนหนู หนูเรียนมาเอง”
เธอหันกลับไปที่ห้องของตัวเองโดยไม่พูดอะไรสักคำ หลังจากนั้นไม่นานก็ถือกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งออกมา เธอมองแล้วก็จะเดินออกจากบ้านไป
คุณแม่จ้าวพูดด้วยน้ำตานองหน้า “เสี่ยวหรู อย่าทำแบบนี้เลย! มีอะไรก็พูดกันดีๆ แกก็รู้ว่าพ่อแกเป็นคนยังไง”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” จ้าวหรูสูดลมหายใจลึกๆ อย่างช้าๆ “หนูจะไม่กลับมาแล้ว น่องไก่แม่ก็เหลือไว้ให้ลูกชายแม่กินแล้วกัน”
“แกไปเลย!” คุณพ่อจ้าวชี้นิ้วพูดอย่างโกรธเคือง “เก่งจริงแกก็ไปเลย! ไปแล้วไม่ต้องกลับมาอีก!”
“วางใจได้ หนูไม่กลับมาแล้ว”
เสียงประทัดข้ามปีถูกจุด เสียงดังกังวานไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
เธอเพิ่งกลับมาถึงตอนบ่าย
กลางคืนยาวนานได้ผ่านไปแล้ว
…
เธอลืมตาขึ้น เหงื่อซึมท่วมทั้งตัว…เธอยังอยู่ใน ‘บ้าน’ เล็กๆ และโกโรโสแห่งนี้
ฟ้ายังไม่สว่าง น่าจะเป็นช่วงกลางดึก
จ้าวหรูคว้าสร้อยคริสทัลที่พกติดตัวไว้ทันที
แต่เธอพบว่า คริสทัลเม็ดนี้ต่างไปจากก่อนหน้านี้ มันทำให้เธอสงบใจได้โดยสิ้นเชิง
…
…
ชื่อของเขาคือเฉาอวี้ อย่างน้อยที่สุด ตอนที่เริ่มใช้ชื่อนี้เมื่อครั้งที่แล้ว ก็ยังไม่ถึงเวลาที่เขาต้องเปลี่ยนชื่อใหม่
เขาลืมตาขึ้นทันที
จู่ๆ ของประดับรูปเหมือนคนก็ออกมาจากคริสทัลตรงหน้าเขา แตกออกจากตรงกลางเป็นสองท่อนทันที
เฉาอวี้ขมวดคิ้ว การสร้างตัวแทนแบบนี้ใช้เวลาและวัสดุของเขาไปไม่น้อย อีกทั้งความเสียหายของตัวแทน ยังส่งผลให้จิตของเขาบาดเจ็บไปเล็กน้อย
เขารู้สึกได้ถึงลางไม่ดี …และความไม่สบายใจโดยสัญชาตญาณ
เขารู้สึกอย่างนี้เป็นครั้งแรกหลังจากได้รับพลังชนิดนี้มา เฉาอวี้สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วรีบหยิบหนังสือโบราณเล่มหนาที่เก็บไว้เป็นอย่างดีออกมาจากในลิ้นชัก
เขาเริ่มเปิดหนังสือโบราณเล่มนี้ และหวังว่าจะหาเงื่อนงำเล็กๆ น้อยๆ ได้
หนังสือโบราณเล่มนี้ก็คือต้นกำเนิดพลังของเขา…เขาบังเอิญเจอมันในร้านขายของโบราณแห่งหนึ่ง สมัยเรียนอยู่ต่างประเทศเมื่อสิบปีก่อน
หลังจากนั้น ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เขารู้สึกราวกับหนังสือโบราณเล่มนี้เลือกเขาแล้ว…เพราะว่าเขาสามารถแปลภาษาอียิปต์ในหนังสือโบราณเล่มนี้ได้พอดี
‘คัมภีร์มรณะ’