องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 681 คำอุปมาของท่านพ่อเหมาะสมมาก
หลังจากพักผ่อนหนึ่งคืนเต็ม ฉีเฟยอวิ๋นก็ได้ยึดเงินเหล่านั้น จะเป็นหรือตายก็จะไม่มีวันหยิบมันออกมา
ภายใต้ความโกรธหนานกงเย่ไม่ต้องการมันอีกแล้ว บอกจะยอมหิวตายด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นขี้เกียจจะสนใจ เมื่อจึงตื่นขึ้นในตอนเช้าก็ตรงไปหาเด็ก ๆ ทันที
หลังจากกอดจูบพวกเขาทีละคนแล้ว ก็เพิ่งได้รู้เรื่องที่เฟิงอู๋ชิงโดนวางยา
เฟิงอู๋ชิงมาสะสางและฟ้องร้องฉีเฟยอวิ๋นตั้งแต่เช้าตรู่
ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มเจ้าห้าไว้ในอ้อมกอด มีเสี่ยวเฉียวตามอยู่ข้างกาย
นางมองพิจารณาเฟิงอู๋ชิงด้วยความประหลาดใจ : “เจ้าหอ ท่านจะฟ้องร้องเจ้าห้า หรือเสี่ยวเฉียวกันแน่?”
“ทั้งคู่” เฟิงอู๋ชิงในชุดสีแดง แสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก ฉีเฟยอวิ๋นอดชื่นชมไม่ได้ ผู้ชายที่เติบโตมาเป็นเช่นนี้ก็ช่างเถอะ แต่ชุดแดงที่สวมใส่นี่สิ คล้ายกับปีศาจอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าหอ ตอนนี้เสี่ยวเฉียวและเจ้าห้าเป็นศิษย์ของท่านแล้ว ไม่ว่าใครจะวางยา หากเจ้าหอสั่งสอน ข้าจะไม่บ่นสักนิด
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังเด็ก ย่อมมีช่วงเวลาไม่เชื่อฟังบ้าง หากไม่สั่งสอนเพิ่ม วันข้างหน้าก็คงไม่ทางเคารพอาจารย์ เช่นนั้นได้หรือ?”
ใบหน้าของเฟิงอู๋ชิงเย็นชา: “อู๋ฮัวจะไม่สนใจเรื่องนี้แล้วหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นแย้มยิ้ม : “เจ้าหอ เจ้าห้ามีแค่ท่านเป็นอาจารย์ผู้เดียว พวกเขาและเสี่ยวกั๋วจิ้วไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนม ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาก่อน หากเจ้าหอไม่เชื่อ ก็ถามเสี่ยวกั๋วจิ้วได้”
“ข้าขี้เกียจจะถาม ในเมื่ออู๋ฮัวบอกว่าจะยกพวกเขาให้แก่ข้าแล้ว เช่นนั้นข้าจะจัดการเอง”
เฟิงอู๋ชิงอุ้มเจ้าห้าเดินไป แต่ก็ยังไม่วายหันกลับมาเรียกเจ้าห้า : “เสี่ยวเฉียว ไปกันเถอะ”
เสี่ยวเฉียวเงยหน้ามองฉีเฟยอวิ๋นแวบหนึ่ง จากนั้นตามไปหาเฟิงอู๋ชิง
อวิ๋นจิ่นเดินมากล่าวว่า : “นายท่านวางใจแล้วหรือไม่?”
“วางใจสิ เขาเป็นอาจารย์ อาจารย์ไม่มีทางทำร้ายลูกศิษย์ ยิ่งไปกว่านั้นเขาที่ดูใจดีเช่นนั้น คงไม่ทำเรื่องอะไรที่โหดร้ายเช่นนั้นหรอก”
เฟิงอู๋ชิงเป็นคนเฉลียวฉลาดแต่ไหนแต่ไร ได้ยินฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเช่นนี้ ก็โกรธเคืองจนปากกระตุกสั่นเลยทีเดียว
จากนั้นก็หมุนตัวคิดจะไปเล่นงานฉีเฟยอวิ๋น แต่ฉีเฟยอวิ๋นกลับเข้าห้องไปแล้ว
ช่วยไม่ได้ ก็คงทำได้แค่หมุนตัวกลับเข้าห้องไป
เมื่อเฟิงอู๋ชิงเข้าห้องไปก็เรียกเสี่ยวเฉียวมาฝึกวิทยายุทธ์การต่อสู้ คิดอยากฝึกเสี่ยวเฉียวอย่างหนักหน่วง
“ท่านอาจารย์ เมื่อวานข้าทำหมอนใบหนึ่ง จึงนำมาให้ท่าน”
ดูเหมือนเสี่ยวเฉียวจะไม่ได้ยินว่าเฟิงอู๋ชิงกล่าวอะไร หมุนตัวและเดินเข้าไปในหลังฉากกั้นทันที
ฉากกั้นนั้นงดงามประณีตมาก ด้านบนเป็นรูปนกยูงสีน้ำเงินแหงนหน้ามองดอกโบตั๋น ดอกโบตั๋นถูกปักด้วยดิ้นทองอย่างงดงาม หากไม่สังเกตให้ดี คงคิดว่าเป็นความจริงแน่
ยามสายลมพัดผ่าน ดอกโบตั๋นได้พลิ้วไหวไปตามสายลมเสมือนจริงเลยทีเดียว
เสี่ยวเฉียวชอบฉากกั้นนี้มาก นางบอกเฟิงอู๋ชิงว่านางมักจะอาศัยอยู่ในห้องนี้เป็นครั้งคราว ปรนนิบัติรับใช้อยู่ในชีวิตประจำวันของเฟิงอู๋ชิง
สายตาที่เฟิงอู๋ชิงมองเสี่ยวเฉียวในตอนนั้นล้วนเต็มไปด้วยความดูถูก
เด็กหญิงที่มากเรื่องผู้หนึ่ง จะปรนนิบัติรับใช้เขาได้?
แต่เมื่อเห็นท่าทางของเสี่ยวเฉียวแล้ว เฟิงอู๋ชิงที่เดิมทีอยากปฏิเสธพอถึงคราวพูดกลับกลายเป็นตอบรับเสียอย่างนั้น
แต่เมื่อเขาตอบรับไปแล้วก็ต้องทำมันให้ดี ทุกสิ่งในห้องของเขาจะต้องงดงามไม่เป็นสองรองใคร
ในอดีตเขายากจนข้นแค้น แต่ตอนนี้เขามีเงินที่มากจนใช้อย่างไรก็ไม่หมด
อีกอย่างในบรรดาสมบัติของเขาก็ยังมีฉากกั้นอีกหลายชิ้น เขาให้อู๋ซังย้ายเข้ามาหนึ่งชิ้น ใครจะรู้ว่าอู๋ซังจะโง่เขลาเสียได้ ย้ายฉากกั้นลายนกยูงชมดอกโบตั๋นที่โปรดปรานมากที่สุดเข้ามา
เฟิงอู๋ชิงที่ปวดใจมากเกือบจะฆ่าอู๋ซังให้รู้แล้วรู้รอดไปแล้ว
เมื่อเสี่ยวเฉียวเห็นฉากกั้น ย่อมชอบมากเป็นธรรมดา
รีบออกคำสั่งให้ขนย้ายของใช้บางส่วนของนางเข้ามาในห้องของเฟิงอู๋ชิง สร้างที่อยู่อาศัยเล็กๆ ของนางหลังฉากกั้น
เฟิงอู๋ชิงแสดงสีหน้าหดหู่ใจครู่หนึ่ง อยากจะอ้าปากขับไล่ แต่ก็จนปัญญาเพราะเขาคืออาจารย์ เหตุใดการเป็นอาจารย์ถึงต้องขับไล่ผู้อื่นเพียงเพราะลูกศิษย์ชอบฉากกั้นด้วย
ดังนั้นเขาจึงทำตามความต้องการของเสี่ยวเฉียว
เสี่ยวเฉียวอาศัยอยู่ภายใน เฟิงอู๋ชิงต้องตระเตรียมงานอื่น ๆ การเปลี่ยนเสื้อผ้าในที่พักคงไม่ค่อยสะดวกนัก
โชคดีที่มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยเฉพาะ
ตอนนี้เสี่ยวเฉียวเข้าไปหยิบหมอนใบหนึ่ง แล้วยื่นให้เฟิงอู๋ชิง
เฟิงอู๋ชิงกำลังอุ้มเจ้าห้าอยู่ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ยื่นออกมารับหมอน หลังจากมองอย่างละเอียด ก็ได้เห็นถึงการปักที่ค่อนข้างประณีตบนหมอนใบนั้น เฟิงอู๋ชิงรู้สึกแปลกใจอย่างมาก : “เจ้าปักเองหรือ?”
“ท่านป้ามอบให้ข้ามา ข้าเห็นว่านางปักได้งดงาม ข้าก็เลยปักมาให้อาจารย์ ด้านในคือเศษอำพัน กลิ่นหอมมาก หากอาจารย์ไม่เชื่อก็ลองดมดู”
เฟิงอู๋ชิงเห็นเด็กที่แสดงความกตัญญูต่อเขาเช่นนี้ จึงดึงหมอนมากอดพลางสูดดมกลิ่น
หอมจริง ๆ เหมือนกลิ่นไม้สน
“มันคืออะไร?” เฟิงอู๋ชิงไม่รู้จัก
เสี่ยวเฉียวอธิบายว่า “ท่านแม่บอกว่านี่เป็นเศษอำพันและขี้ผึ้ง ซึ่งสามารถใช้เป็นยาได้ และยังช่วยให้นอนหลับสบาย ทำให้ร่างกายของผู้ใช้มีกลิ่นหอมอีกด้วย แต่ท่านแม่บอกว่าต้องนอนเป็นเวลานานถึงจะได้…”
เสี่ยวเฉียวอธิบาย พูดจนเฟิงอู๋ชิงเชื่อเสียด้วย
เมื่อวางหมอน เฟิงอู๋ชิงก็เอนกายนอนลง เจ้าห้าก็เอนกายนอนด้วย เจ้าห้าชอบหมอนมาก เขาครอบครองหมอนไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
เฟิงอู๋ชิงมองไปยังเจ้าห้า ส่งสัญญาณให้เขาขยับออกไป
เจ้าห้าพลิกตัวไปหาเขา และครอบครองหมอนมากกว่าครึ่ง เฟิงอู๋ชิงตั้งใจจะอุ้มเจ้าห้าขึ้นมา เจ้าห้าหลับตาและผล็อยหลับไป
เฟิงอู๋ชิงลุกขึ้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
เสี่ยวเฉียวนำผ้าห่มผืนเล็กๆ มาคลุมเจ้าห้า เฟิงอู๋ชิงหงุดหงิดงุ่นง่านใจอย่างมาก สรุปเป็นหมอนใครกันแน่?
เสี่ยวเฉียวนั่งลงพลางเอ่ยเรื่องนี้ เล่าเรื่องราวให้เฟิงอู๋ชิงฟัง
เฟิงอู๋ชิงเป็นกังวลเรื่องหมอน เสี่ยวเฉียวพูดสิ่งใดบ้าง เขาล้วนจำไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ผล็อยหลับไป
เสี่ยวเฉียวนำผ้าห่มผืนใหญ่มาคลุมให้เฟิงอู๋ชิง จากนั้นก็อ่านตำราของนางต่อ
อู๋ซังที่พิงอยู่ตรงประตู ก็ใกล้กลับแล้วเช่นกัน
เสี่ยวเฉียวจึงหยิบผ้าห่มให้อู๋ซัง คลุมตัวให้เขา
อู๋ซังเหลือบมองไปยังเสี่ยวเฉียว เขาเองก็ต้องพักผ่อน
ฉีเฟยอวิ๋นเข้ามานั่งพูดคุยกับอวิ๋นจิ่น ถามเรื่องราวบางอย่างของเมืองต้าเหลียง แต่อวิ๋นจิ่นไม่ใช่คนท้องถิ่น ก็ไม่ถือว่าเป็นคนท้องถิ่น หลังจากถามบางอย่างแล้ว จึงได้รู้ว่าอวิ๋นจิ่นหาเงินได้เก่งมาก นางกลับขาดแคลนเพียงแค่การใส่ใจในการดำรงชีพของประชาชน
“นายท่าน ไม่สู้ไปถามท่านแม่ถามดีกว่า?” อวิ๋นจิ่นเอ่ยเตือน ฉีเฟยอวิ๋นมองท่านแม่ทัพฉี เวลานี้ท่านแม่ทัพฉีกำลังเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ให้แก่เด็ก ๆ ฟังอยู่
ฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกท่านพ่อของนางเล่นงานซะจนยิ้มไม่ออกเลยทีเดียว
นับตั้งแต่เจ้าห้ายอมรับเฟิงอู๋ชิงเป็นอาจารย์ ท่านพ่อของนางได้สอนเด็ก ๆ ทั้งสี่ทุกวัน เกี่ยวกับเรื่องศิลปะการต่อสู้ที่บอกเล่ากันมาปากต่อปาก
ตามหลักเหตุผลแล้วเด็กที่ยังเล็กเพียงนี้ย่อมไม่เข้าใจเป็นทุนเดิม แต่ในตอนที่ท่านพ่อพูดนั้น พวกเด็กๆ เหล่านี้ก็เอาจริงเอาจัง ตั้งอกตั้งใจฟัง บางครั้งท่านพ่อของนางก็แสดงท่าทางเล็กน้อย พวกเด็ก ๆ ก็ทำตาม
เวลานี้ท่านแม่ทัพฉีได้เงยหน้ามองลูกสาว และกล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า “หากต้องใช้คำมาอธิบายเมืองต้าเหลียง พ่อรู้เพียงความยากจน
ความซื่อสัตย์ของประชากรในเมืองต้าเหลียง บ่งบอกได้ถึงความยากจน
มีเพียงแต่คนที่มั่งคั่งและมีอำนาจเท่านั้น ถึงจะป่าเถื่อนและกดขี่ข่มเหงได้
ที่ดินไม่เพียงพอ ประชากรก็มีจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาทั้งสิ้น
ประเด็นหลักคือพืชไร่เกษตรไม่เติบโต ประชาชนไม่มีอาหารกิน
หนอนไหมสำหรับก็เลี้ยงไม่ได้เช่นกัน”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า: “ท่านพ่อ ท่านเดินทางไปมาจนทั่ว ออกรบอยู่ในต่างแดนตลอดทั้งปี เหตุใดท่านถึงเข้าใจเมืองต้าเหลียงได้มากเพียงนี้?”
“อย่าลืมสิว่าพ่อเจ้าก็เป็นคนธรรมดา ก่อนที่ข้าจะมาเป็นแม่ทัพก็เหมือนคนทั่วไปนั่นแหละ ข้าเคยต่อรองราคาเพื่อข้าวไม่เท่าไหร่ด้วยนะ
แม้ว่าครอบครัวของข้าจะไม่ยากจน แต่ข้าก็ยังถือเป็นคนจน
เมื่อครั้งฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ พระองค์ก็เหมือนกับเสด็จพ่อของพระองค์ มีชีวิตที่ยากลำบากท่ามกลางสามัญชน
จักรพรรดิย่อมมีความอึดอัดใจของฝ่าบาทเอง ประชาชนย่อมมีทางตันของประชาชนเอง
เหมือนผู้หญิงให้กำเนิดลูก จะทำอย่างไรหากนางไม่สามารถคลอดบุตรได้?
เจ้ามาอยากให้กำเนิดแล้วหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะ: “คำอุปมาของท่านพ่อเหมาะสมมาก!”
“เหมาะสมไม่เหมาะสม พ่อไม่รู้ แต่พ่อรู้ว่า อวิ๋นอวิ๋นมีอคติอย่างลึกซึ้งต่อฝ่าบาท พ่อกลับไม่คิดว่าอวิ๋นอวิ๋นผิด เพียงแต่… หากไม่มีปัจจัยในด้านวัตถุก็คงทำงานให้ดีไม่ได้
หากฝ่าบาทไม่รักประชาชน เมืองต้าเหลียงก็ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังท่านแม่ทัพฉี พลางพยักหน้าอยู่เนิ่นนาน