บทที่ 682 เมืองต้าเหลียงยากจนมาก

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 680 เมืองต้าเหลียงยากจนมาก

คนที่อยู่ข้างหน้าไม่พูดอะไร และม้าก็เดินได้อย่างราบรื่นมากขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นแนบอิงไปในอ้อมกอดของเขา จากนั้นจึงกลับไปพร้อมกัน

ระหว่างทาง หนานกงเย่ได้สั่งให้คนไปที่ปีกทางด้านใต้ในทันที และแจ้งให้คนที่ปีกทางด้านใต้รวบรวมเรื่องราวที่เกี่ยวกับขององค์ชายสามทั้งหมดและส่งกลับมา

ฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นเมื่อเดินทางมาถึงจวนท่านอ๋องเย่ เมื่อลงจากรถม้าหนานกงเย่จึงอุ้ม

เมื่อกลับมาถึงเรือนสวนดอกกล้วยไม้ก็เป็นเวลาดึกแล้ว หวาชิงรออยู่ในเรือนนานแล้ว เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นแต่งตัวแปลกประหลาดและถูกอุ้มกลับมาก็อยากจะเข้าไปด้วย

เมื่อเข้าประตูไป หนานกงเย่ก็อุ้มฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปด้วยสีหน้าไม่พอใจนักและไม่พูดอะไร

“ท่านแม่ทัพน้อยมาเป็นแขกในจวนของข้านั้น ข้าก็ไม่ได้มีข้อขัดแย้งใดๆ ถึงอย่างไรเรื่องนี้พระชายาก็เป็นคนตอบตกลง แต่หากท่านอม่ทัพน้อยต้องการเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องระหว่างสามีภรรยาของข้าละก็ ข้าทำได้เพียงไปขอร้องฝ่าบาท เพื่อเชิญท่านแม่ทัพน้อยออกไปจากจวน”

หนานกงเย่มีสีหน้าที่หนักแน่น เท้าของหวาชิงหยุดชะงักอยู่ที่หน้าประตู และเหลือบมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นจึงถามขึ้นมาว่า “นางเป็นอย่างไรบ้าง?”

หนานกงเย่ทำสีหน้าเคร่งขรึม เรื่องของซูมู่หรงก็ทำให้เขาปวดหัวมากพอแล้ว ตอนนี้กลับมีเรื่องของหวาชิงเพิ่มเข้ามา

“นางปกติดี ท่านแม่ทัพน้อยกลับไปเสียเถอะ อาอวี่ ส่งแขก!”

หนานกงเย่หันกลับไปและพาฉีเฟยอวิ๋นไปที่สระน้ำกำมะถัน และเข้าไปอาบน้ำพร้อมกับฉีเฟยอวิ๋น

ฉีเฟยอวิ๋นถูกวางลงไปสระน้ำกำมะถัน เธอจึงเริ่มปลดเสื้อผ้าออก

เมื่อลงมาในน้ำ ฉีเฟยอวิ๋นก็นั่งพิงลงบนก้อนหินขนาดใหญ่

ไม่นานหนานกงเย่ก็ทำเช่นเดียวกับเธอ เริ่มปลดเสื้อผ้า

เมื่อลงน้ำไปก็เริ่มเดินไปหาฉีเฟยอวิ๋น

“ข้าไม่ดีตรงไหนหรือ? บอกให้ข้าเข้าใจได้หรือไม่?” หนานกงเย่มีสีหน้าจริงจัง เดิมทีต้องการจะสั่งสอนฉีเฟยอวิ๋นเสียหน่อย แต่เมื่อปลดเสื้อผ้าออก เขาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้น!

ราวกับครอบครัวมีภรรยาที่ดุร้าย และสามีก็เกรงกลัว!

ฉีเฟยอวิ๋นลืมตาขึ้นมา “ท่านอ๋องช่างพูดจาตลก ท่านอ๋องเป็นคนพูดเองว่าจะให้เงินตำลึงกับหม่อมฉันไม่ใช่หรือ?”

“ข้าพูดว่าจะให้ แต่ไม่ได้บอกว่าให้เจ้าเอาไป แต่ตอนนี้กลับเอาไปหมดแล้ว เช่นนั้นกองกำลังทหารของข้าที่เขตชายแดน ประชาชนในเมืองต้าเหลียงก็ไม่มีความหวังแล้วสิ?

ดินแดนในเมืองต้าเหลียงนั้นไม่ได้อุดมสมบูรณ์นัก แต่จำนวนประชากรกลับมีเป็นจำนวนมาก หากไม่มีเงินตำลึง เช่นนั้นการใช้ชีวิตอยู่ก็จะลำบากอย่างมาก

ข้าอุตส่าห์ได้พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์มาหนึ่งอย่างไม่ง่ายดาย และคาดหวังว่าจะคลายปัญหาความยากลำบากของเมืองต้าเหลียงได้บ้าง แต่อวิ๋นอวิ๋นกลับทำเช่นนี้ ยิ่งทำให้ข้าทำงานยากยิ่งขึ้น?”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่พอใจ “หม่อมฉันไม่เข้าใจเลย ท่านอ๋องมีความสามารถในการปกครองเมือง แต่กลับคิดเรื่องที่ไม่อาจเป็นจริงขึ้นมาได้

หากเป็นดังที่ท่านอ๋องพูดมา เช่นนั้นก็นำเงินตำลึงมอบให้กับประชาชนในเมืองต้าเหลียงไปเลย ให้ประชาชนได้รับเงินตำลึงที่ได้มาเปล่าๆ ไปเลยดีหรือไม่เพคะ?

พวกเขาคิดเพียงแค่ จักรพรรดิของเมืองต้าเหลียงมีความเมตตา รักประชาชนเหมือนลูกหลาน และมีเงินทองให้พวกเขาใช้

แต่ไม่เสมอไปที่พวกเขาจะแสดงพลังความโกรธ

ท่านอ๋องก็รู้ดี สาเหตุที่อำนาจแห่งเมืองของต้าเหลียงตอนนี้ด้อยลงก็เพราะว่าชาวเมืองต้าเหลียงพอใจกับสถานการณ์อาหารและเครื่องนุ่งห่มในปัจจุบัน

ประชาชนต่างไม่ชอบการทำสงคราม เพราะคิดว่าการทำสงครามเป็นเรื่องลำบากและสูญเสียเงินทอง ขุนนางในราชสำนัก ข้าราชการก็ยังดี แต่พลเรือนมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมออกไปสู้รบ

เพียงแค่กรมการคลังกรมเดียวก็สามารถรวบรวมเงินตำลึงได้เยอะเช่นนั้น จะต้องไม่เป็นเรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน

ทั้งหมดนี้ล้วนมีเหตุผลเพราะข้าราชการมีความโลภในเงินตำลึง ประชาชนเมื่อมีความสงบสุข พวกเขาก็ไม่ต้องการสิ่งอื่นใดแล้ว

เรื่องอื่นในสายตาของประชาชนนั้น ขอเพียงแค่ใช้ชีวิตอยู่ในแต่ละวันก็ได้แล้ว

แต่ท่านอ๋องน่าจะเข้าใจ ส่วนของการเรียกเก็บภาษีนั้น ประชาชนยิ่งเริ่มแคลงใจมากขึ้น

เด็กๆ ไม่ไปร่ำเรียน อยู่แต่ในบ้านและในท้องทุ่ง เวลามีเรื่องออกรบประชาชนก็ไม่มีความสนใจจะเข้าร่วม บางคนก็กลัวการสู้รบ จนถึงกับนำลูกชายไปแอบ

เหล่านี้เป็นปัญหาพื้นฐานที่มีอยู่ในเมืองต้าเหลียง

จักรพรรดิไม่ได้เป็นกษัตริย์ที่โง่เขลา แต่เป็นจักรพรรดิธรรมดาคนหนึ่ง

เขาไม่สนใจอะไรเลย และไม่ลงมือทำอะไรเลย

ท่านอ๋องตวนยังเก่งและสำคัญกว่าเขา อย่างน้อยท่านอ๋องตวนยังสามารถทำงานหาเงินเพื่อเลี้ยงดูประชาชนในเมืองต้าเหลียง และทำเงินให้กับท้องพระคลัง

แต่เขาก็ทำเพียงเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น

แผนของเขาไม่ใช่เพื่อประชาชน แต่เพื่อฮองเฮา

จักรพรรดิเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร?

หม่อมฉันกลับรู้สึกยกย่องท่านอ๋องตวน เงินที่เขาหามาได้นั้นก็นำไปมอบให้กับประชาชน”

“พูดจาแหลวไหล หากฝ่าบาทได้ยินเข้า ข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้” หนานกงเย่จับคางของฉีเฟยอวิ๋นและกดไปมา

ฉีเฟยอวิ๋นเบือนหน้าหนี “ท่านอ๋องเคยคิดหรือไม่เพคะ คนเพียงสองสามคนต่อให้พยายามเพียงใด และเอาทรัพย์สินเงินทองออกมามากเพียงใด ก็ไม่สามารถช่วยผู้คนทั้งเมืองได้ แต่หากทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันคนละเล็กน้อย?”

“……ข้าก็เคยคิด แต่การจะทำขึ้นมาได้นั้นช่างยากเย็นเหลือเกิน ถึงแม้ว่าเมืองต้าเหลียงจะเพิ่งได้รับมาไม่นาน แต่เมื่อต้องยืนอยู่บนทางเลือก โชคดีที่เมืองต้าเหลียงยังสามารถอยู่ได้จนถึงตอนนี้ การดำรงอยู่ได้นั้นก็ไม่ง่ายเลย หากไม่ทำให้ประชาชนสงบสุข เช่นนั้นอาณาจักรจะร่มเย็นได้อย่างไร

ถึงแม้ว่าเมืองนี้จะมีสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่มากมาย แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ไร้หนทางเยียวยา

ถึงแม้ว่าประชาชนจะไม่สนใจมีส่วนร่วมในการออกรบ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าประชาชนมีความพึงพอได้ใจง่าย

เมื่อเทียบกับเมืองอื่นแล้ว ไม่มีอาณาจักรเมืองใดที่มีขนบธรรมเนียมพื้นบ้านที่เรียบง่ายอย่างเมืองต้าเหลียงของข้า

ถึงแม้ว่าประชาชนจะไม่ยอมให้ลูกชายของพวกเขาไปออกรบ แต่ประชาชนชายในเขตชายแดนนั้นก็มีนับแสนนับล้านคน

สาเหตุที่คนในเมืองต้าเหลียงไม่ค่อยมีคนทำงานหาเงิน ก็เพราะผู้ชายไม่อยู่บ้าน และเก้าในสิบครัวเรือนมีเพียงผู้สูงอายุและคนอ่อนแอ ผู้หญิงและเด็กเล็ก

เช่นนี้แล้วยังต้องเรียกเก็บภาษีจากพวกเขา ข้าก็ทำไม่ได้เช่นกัน

การทวงคืนที่ดิน เพื่อการพัฒนาถนนเชิงพาณิชย์ การจัดระเบียบสิ่งทอของผู้หญิง การเลี้ยงม้าและแกะ ข้าล้วนเคยคิดไว้แล้วทั้งหมด

แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการได้

นอกจากนี้บริเวณโดยรอบก็ยังมีเมืองเล็กเมืองน้อยเต็มไปหมด นอกจากสี่เมืองใหญ่ของเราแล้วนั้น เมืองเล็กๆ นอกเหนือจากนี้ก็ร่ำรวยกว่าเรามาก

ดินแดนของพวกเขานั้นอุดมสมบูรณ์มาก วัฒนธรรมพื้นบ้านของพวกเขาก็เป็นเอกลักษณ์ พวกเขาหมักเหล้า พวกเขาปลูกชา พวกเขายังส่งออกผ้าไหม แต่เราไม่มีอะไรเลย

หรือจะให้ข้าไปปล้นสะดมอย่างนั้นหรือ?

ประชาชนมีที่ไหนที่ไม่อยากร่ำรวย พวกเขาก็เป็นเหมือนข้า ชอบอาศัยอยู่ในเรือนหลังใหญ่และเพลิดเพลินกับชาชั้นดี

แต่อวิ๋นอวิ๋นไม่เคยได้ดื่ม ชาของเมืองอื่นนั้นรสชาติดีกว่าชาของเมืองต้าเหลียงหลายสิบเท่าตัว ผ้าไหมของเมืองอื่นก็มีสัมผัสนุ่มลื่นกว่าเมืองต้าเหลียงเราหลายสิบเท่า

ข้าจะยังมีวิธีการใดอีก?”

ฉีเฟยอวิ๋นนิ่งเงียบ ดูเหมือนว่าเธอยังไม่เข้าใจสถานการณ์ของเมืองต้าเหลียงดี

เมื่อนึกถึงที่ซูมู่หรงกล่าวว่าเมืองต้าเหลียงนั้นไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าเมืองอู๋โยวสักเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้สึกไม่มีความสุข

เมื่อคิดให้ละเอียดรอบคอบ พื้นดินของเมืองอู๋โยวนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ เสบียงอาหารก็มีมากมาย ประชาชนมีฐานะ เจ้าของบ้านรายเล็กในหลายๆ แห่งสามารถหาเครื่องประดับและเงินทองได้มากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเมืองอู๋โยวนั้นร่ำรวยเพียงใด

แต่พวกเขากลับไม่มีอะไรเลย

หากผู้คนในเมืองอู๋โยวลุกขึ้นสู้ขึ้นมา และมีคนอย่างจวินโม่ซ่างคอยปกครองเมืองละก็ คงใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็สามารถแซงหน้าเอาชนะเมืองต้าเหลียงไปได้

ถึงตอนนั้น เมืองต้าเหลียงก็จะตกอยู่ในอันดับท้ายสุด

ฉีเฟยอวิ๋นจ้องมองไปบนน้ำ “ลูกชายของหม่อมฉันต่างก็เป็นคนของเมืองต้าเหลียง”

หนานกงเย่ยังไม่เข้าใจ “ลูกชายของข้าก็ต้องเป็นคนของเมืองต้าเหลียงสิ”

ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้วและมองไปที่หนานกงเย่ “อนาคตต่อไปหากเมืองต้าเหลียงต้องล่มสลาย พวกเขาก็จะตกเป็นตัวตลก”

“……” หนานกงเย่ไม่ได้แยแส แต่เธอก็พูดถูก

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและเตรียมที่จะออกไป หนานกงเย่กลับไม่ยอมและรีบคว้าตัวของฉีเฟยอวิ๋นมากอดไว้ และให้เธอนั่งอยู่บนโขดหิน

“อวิ๋นอวิ๋นยังไม่มอบความสุขให้กับข้าเลย อวิ๋นอวิ๋นลืมแล้วหรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นทำสีหน้าไม่มีความสุข “เชอะ!”

“เชอะอะไรหรือ?” หนานกงเย่ไม่เข้าใจ

“ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องยังอยากจะสั่งสอนหม่อมฉัน แต่ตอนนี้กลับนึกถึงเรื่องอย่างว่า ไม่สั่งสอนหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ?”

“ข้าไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอก รีบมาเถอะ! ข้านึกท่าทางใหม่ๆ ได้แล้ว!”

เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นไม่ยินยอม แต่ก็ทนการฉุดกระชากของหนานกงเย่ไม่ได้