บทที่ 1023 เป็นหนี้ชีวิต

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

หลิงหยุนค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นเพียงเล็กน้อย อาจเป็นเพราะนอนหลับใหลมานานเกินไป หรืออาจะเป็นเพราะแสงสว่างภายในห้องไม่เพียงพอ เขาจึงมองเห็นร่างสามร่างที่ยืนอยู่ข้างเตียงได้ไม่ชัดเจนนัก..
  ในเวลานั้น..ทั้งหนิงหลิงยู่ หลินเมิ่งหาน และเหยาลู่ ต่างก็ถือโคมไฟนำวิญญาณอยู่ในมือ และยังคงยืนเรียกชื่อหลิงหยุนข้างเตียง..
  “พี่ใหญ่!พี่ใหญ่ตื่นแล้ว! พี่ใหญ่ลืมตาแล้ว!”
  หนิงหลิงยู่ดูเหมือนจะเป็นห่วงอาการของหลิงหยุนมากที่สุดเธอเป็นคนแรกที่เห็นว่าหลิงหยุนลืมตาขึ้น และถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ!
  “หลิงหยุน!”
  หลินเมิ่งหานและเหยาลู่จึงรีบก้มหน้ามองดูร่างของหลิงหยุนที่อยู่บนเตียงพร้อมกับร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นตกใจ..
  และเมื่อทั้งคู่เห็นหลิงหยุนลืมตาขึ้นน้ำตาแห่งความประหลาดใจ และปลื้มปิติก็ไหลพรากออกมาทันที จากนั้นทั้งคู่ก็ได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก
  “อย่าขยับเขยื้อนร่างกายของเขาเด็ดขาด!”
  เสียงร้องตะโกนดังขึ้นจากด้านหลังของหญิงสาวทั้งสามคนโม่วู๋เตารีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนของหลิงหยุน และปรี่เข้าไปที่เตียงทันที!
  จากนั้นโม่วู๋เตาก็รีบหยิบด้ายแดงขึ้นมาพันรอบข้อมือของหลิงหยุนไว้พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาราวกระซิบ..
  “หลิงหยุนยังไม่ฟื้นคืนสติอย่างสมบูรณ์พวกเจ้าทั้งสามคนยังต้องเรียกชื่อของเขาไปเรื่อยๆก่อน ข้าจะจัดการพันด้ายแดงผูกดวงวิญญาณของเขาไว้..”
  แต่กลับได้ยินเสียงของหลิงหยุนดังขึ้นว่า“ไม่ต้องเรียกแล้ว.. ข้ารู้สึกตัวแล้ว!”
  โม่วู๋เตาที่กำลังพันด้ายแดงรอบข้อมือหลิงหยุนนั้นถึงกับหน้าเปลี่ยนไปทันทีและร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ
  “ห๊ะ..เจ้าฟื้นตัวเร็วถึงเพียงนี้เชียวรึ”
  มนุษย์นั้นต้องมีสามจิต-เจ็ดวิญาณจึงจะสามารถเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้..
  โม่วู๋เตารู้ว่าการที่หลิงหยุนนอนหลับใหลไปนานนั้นเพราะถูกสายฟ้าเทวะสีทองฟาดใส่ร่างอย่างรุนแรง จนเป็นเหตุให้ดวงวิญญาณหลุดออกจากร่างเช่นนั้น เขาจึงได้ใช้เวลาหลายวันในการตระเตรียมพิธีแปลกประหลาดนี้ เพื่อเรียกดวงวิญญาณที่หลุดลอยของหลิงหยุนให้กลับเข้าร่าง..
  แต่เมื่อดวงวิญญาณของหลิงหยุนเข้าร่างได้แล้วยังไม่ทันจะเสร็จพิธีดีด้วยซ้ำไป ระหว่างที่โม่วู๋เตากำลังทำการพันด้ายแดงผูกดวงวิญญาณของหลิงหยุนไว้กับร่างนั้น หลิงหยุนกับร้องบอกว่า.. ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว และโม่วู๋เตาไม่จำเป็นต้องทำอะไรต่ออีกแล้ว โม่วู่เตาจึงได้แต่ตกตะลึงและนิ่งอึ้งไปทันที..
  “หลิงยู่..เมิ่งหาน.. เหยาลู่..”
  ระหว่างที่ปรับสายตาอยู่ครู่ใหญ่หลิงหยุนก็ส่งเสียงเรียกหญิงสาวทั้งสามคน แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีความลำเอียงให้เห็นเล็กน้อย เพราะสายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ร่างของหนิงหลิงยู่เป็นคนแรก
  เวลานี้หลิงหยุนกำลังอดทนอดกลั้นต่ออาการปวดศรีษะที่เสมือนถูกเข็มนับร้อยๆเล่มทิ่มแทงอยู่..
  “พี่ใหญ่!”
  หนิงหลิงยู่ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่น้ำตาของเธอไหลพรากออกมาทันทีเมื่อได้ยินหลิงหยุนเรียกชื่อตนเองออกมาเช่นนั้น และรีบเอื้อมมือออกไปหมายกุมมือหลิงหยุนไว้!
  “ช้าก่อน!”
  หนิงหลิงยู่หันไปมองโม่วู๋เตาด้วยความตกใจโม่วู๋เตาเลียริมฝีปากของตนเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปแก้ด้ายแดงซึ่งผูกอยู่ที่ข้อมือของหนิงหลิงยู่ออกพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ต้องให้ข้าแก้ด้ายแดงที่ข้อมือของเจ้าออกก่อนเจ้าจึงจะสัมผัสตัวเขาได้..”
  หลังจากแก้ด้ายแดงออกแล้ว..หนิงหลิงยู่ก็รู้สึกหนาวจนสั่นสะท้านปากสั่นขึ้นมาทันที และใบหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ
  โม่วู๋เตาเองยังนึกตกใจกับสิ่งที่พบเห็น..เพราะหลังจากที่เขาจัดการผูกด้ายแดงสกัดกั้นหยางในกายของหนิงหลิงยู่แล้ว หนิงหลิงยู่จะต้องเดินอย่างช้าๆ อยู่ท่ามกลางถนนที่มืดมิดกว่าสิบกิโลเมตรเพียงลำพัง และใช้เวลาในการเดินร่วมสามชั่วโมงกว่าจะมาถึงบ้านเลขที่-1
  การกระทำเช่นนี้..จำเป็นต้องใช้ความเพียรพยายาม ความกล้าหาญ และความอดทนอย่างมากมาย เช่นนี้แล้วโม่วู๋เตาจึงได้แต่แอบคิดว่า.. หนิงหลิงยู่มีความรู้สึกเช่นใดกับพี่ชายของตนเองกันแน่!
  “เจ้าต้องรีบทำให้ร่างกายตนเองอบอุ่นทันที!”
  โม่วู๋เตาร้องบอกหนิงหลิงยู่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนหลังจากแกะด้ายแดงออกให้นางแล้ว
  โคมไฟสีขาวด้ายแดง และเสียงเรียกจากความทรงจำ ทำให้หลิงหยุนตื่นจากอาการหลับใหล ผู้อื่นอาจจะไม่เข้าใจในสิ่งนี้นัก แต่หลิงหยุนซึ่งมาจากโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น กลับเข้าใจในสิ่งที่นักพรตน้อยโม่วู๋เตาทำได้เป็นอย่างดี..
  ในช่วงเวลาที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้นหลิงหยุนเองก็ได้สังหารเหล่าภูติผีปีศาจไปตั้งมากมาย..
  หลิงหยุนเองก็สัมผัสได้ว่าภายในห้องนอนของตนเองนั้นเย็นราวกับขั้วโลก..เขาอดทนต่ออาการปวดศรีษะ และรีบเดินพลังลับหยิน-หยางเพื่อปรับหยางในร่างกายทันที
  แต่กลับพบว่าตนเองไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เพราะหลังจากที่พยายามจะเดินลมปราณ หลิงหยุนจึงพบว่าภายในร่างกายของตนเองนั้นว่างปล่า จึงได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นใจ..
  หลิงหยุนยังไม่รู้ว่าตนเองนั้นได้นอนหลับใหลไปนานเพียงใดและในเมื่อไม่สามารถเดินวิชาพลังลับหยิน-หยางได้ เหตุผลเดียวที่หลิงหยุนนึกได้ในเวลานี้ก็คือ เป็นผลพวงจากการใช้วิชาพลังมังกร ซึ่งหลังจากใช้วิชานี้ ร่างกายของผู้ใช้จะอ่อนแอลงมาก..
  หลิงหยุนคาดว่าผลกระทบจากการใช้วิชาพลังมังกรในครั้งนี้คงจะทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแออย่างที่สุดในช่วงเวลาหนึ่งเลยทีเดียว..
  ในการต่อสู้ที่ดุเดือดครั้งนี้..หลิงหยุนได้ใช้พละกำลังเกินขีดจำกัดของร่างกายไปมากมายเหลือเกิน!
  เมื่อครั้งที่สายฟ้าเทวะสีทองซึ่งทรงพลังที่สุดฟาดใส่ร่างของหลิงหยุนนั้นเป็นช่วงจังหวะที่พลังมังกรของหลิงหยุนหมดฤทธิ์พอดี แต่เพราะหลิงหยุนยังคงมีพลังหยางที่ดูดมาจากร่างของปีศาจภัยแล้ง จนกระทั่งวิชาหยางพิสุทธิ์ของเขาเข้าสู่ขั้นที่สองได้สำเร็จ
  ไม่เช่นนั้นแล้ว..หากมีเพียงกายเนื้อที่มีเพียงวิชาดาราคุ้มกายปกป้อง กับดวงจิตขั้นอมตะเท่านั้น รับรองได้ว่าสายฟ้าเทวะสีทองคงจะพรากชีวิตของเขาไปอย่างนิรันด์แล้วเป็นแน่!
  เวลานี้เมื่อนึกถึงแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าที่ยังฝังแน่นตราตรึงอยู่ในใจเมื่อใดหลิงหยุนก็จะถึงกับขนหัวลุกขึ้นมาทันที!
  “เมิ่งหาน..เหยาลู่.. พวกคุณสองคนไม่ต้องกังวลใจไป ผมไม่เป็นอะไรแล้ว! คุณสองคนรีบพาหลิงยู่ออกไปพักผ่อนก่อน และช่วยหาอะไรห่มให้ร่างกายหลิงยู่อบอุ่นด้วย..”
  “อ่อ..ช่วยเรียกเซียนเอ๋อมาหาผมด้วย!”
  เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนรู้สึกตัวแล้วหลินเมิ่งหานกับเหยาลู่ก็รีบทำตามคำสั่ง และพาหลิงยู่กลับไปพักผ่อนทันที
  หลังจากที่หญิงสาวทั้งสามออกไปจากห้องแล้วหลิงหยุนก็ค่อยๆ หันไปมองที่มือข้างขวาของตนเอง และพบว่าในมือของตนเองกำบางสิ่งบางอย่างอยู่..
  ศิลากลั่นวิญญาณ..
  “มิน่า..เหตุใดภาพในความฝันของข้าจึงได้ชัดเจนยิ่งนัก! ความทรงจำของข้าทั้งหมดหลอมรวมกันได้เช่นนี้ เป็นเพราะศิลากลั่นวิญญาณก้อนนี้เองหรอกรึ!”
  เวลานี้..ทั้งความทรงจำ และอารมณ์ความรู้สึกต่างๆในอดีตกับปัจจุบันของหลิงหยุนนั้น ได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่แบ่งแยกหลิงหยุนคนก่อน หรือหลิงหยุนคนใหน..
  เพราะเวลานี้..เขาก็คือหลิงหยุน และหลิงหยุนก็คือเขา!
  “ข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้าแล้ว!”
  หลิงหยุนหันไปพูดกับโม่วู๋เตาแต่แทนที่โม่วู๋เตาจะซาบซึ้งใจ เขากลับพูดขึ้นว่า “เจ้ามันบ้าบิ่นเกินไป!”
  แต่หลิงหยุนกลับทำหูทวนลมและตอบกลับไปเพียงแค่ว่า “ครั้งนี้นับว่าข้าประมาทเกินไป จนเกือบต้องเอาชีวิตไปทิ้ง!”
  หลิงหยุนยิ้มแล้วจึงพูดต่อว่า“นี่มันวิชาเรียกวิญญาณไม่ใช่รึ”
  โม่วู่เตาถามขึ้นอย่างประหลาดใจ“เจ้ารู้กระทั่งเรื่องนี้ด้วยรึ”
  หลิงหยุนไม่ตอบคำถามและนึกชมโม่วู๋เตาอยู่ในใจ จากนั้นจึงถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น..
  “หลังจากที่ข้าหลับใหลไปแล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ไปจากที่นี่ ข้าเชื่อว่าหากเจ้าบอกเหตุผลกับทุกคน คงไม่มีใครคิดที่รั้งเจ้าไว้แน่..”
  “อีกอย่าง..หากข้าไม่ฟื้นขึ้นมาจริงๆ ไม่เท่ากับเป็นการแก้แค้นให้กับศิษย์สำนักเหมาซานที่ตายไปงั้นรึ”
  โม่วู๋เตาจ้องมองหลิงหยุนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเขายิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่.. เรื่องนั้นข้ายังไม่ล้มเลิกความคิดแน่!”
  “เพียงแต่..ข้าเรียนวิชาเหล่านี้กับอาจารย์มาตั้งหลายปี เมื่อได้เห็นเจ้านอนนิ่งหมดสติเช่นนั้น ก็เลยอดไม่ได้ที่จะ.. ที่จะลองวิชาที่เรียนมาดู!”
  “…….”
  หลิงหยุนได้ฟังคำตอบของโม่วู๋เตาก็ถึงกับนิ่งอึ้งและพูดอะไรไม่ออก เขาหมดความอดทน และในที่สุดก็ตะโกนใส่หน้าโม่วู๋เตาอย่างเดือดดาล
  “เจ้านักพรตบ้า!นี่เจ้าใช้ชีวิตของข้าเป็นการลองวิชางั้นรึ ห๊ะ?”
  โม่วู๋เตายักไหล่อย่างไม่ยี่หระพร้อมกับตอบไปว่า“แต่ถึงอย่างไรข้าก็สามารถนำดวงวิญญาณของเจ้ากลับเข้าร่างได้ และสามารถฉุดเจ้าออกมาจากประตูนรกได้ก็แล้วกัน..”
  ความปรารถนาดีและไมตรีจิตที่หลิงหยุนมีต่อนักพรตน้อยนั้นลดฮวบลงทันที เขาคร้านที่จะสนใจนักพรตน้อยอีก และทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหลับตาลง..
  แต่แล้วหลิงหยุนก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงร้องถามออกไปว่า “นี่ข้าหลับไปนานเท่าไหร่แล้ว”
  โม่วู๋เตาที่เห็นอาการของหลิงหยุนดีขึ้นมากแล้วและกำลังจะเปิดประตูเดินออกจากห้องไป จึงหันกลับมาตอบคำถามของเขา
  “รวมแล้วก็เก้าวันเต็มๆ!”
  “อะไรนะ!”
  หลิงหยุนแทบกระโจนลุกขึ้นจากเตียง!
  “เจ้าเด็กดื้อ..”
  “หลิงหยุน!”
  “พี่หยุน!”
  ในเวลานั้น..คนอื่นๆ ต่างก็พากันตามขึ้นมาบนห้องนอนของหลิงหยุนเช่นกัน และเมื่อได้ยินเสียงของคนที่ตนเองรักร้องเรียกเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว คนรัก หรือว่าพี่น้อง หลิงหยุนจึงได้แต่ยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นใจ..
  ความรู้สึกที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า..คนที่ตนเองตั้งใจ และพยายามที่จะปกป้องนั้น ยังมีชีวิตอยู่ครบกันทุกคน ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีอย่างหาใดเปรียบไม่ได้!
  “เจ้าแน่ใจนะว่าหายดีแล้ว”โม่วู๋เตาร้องถามออกด้วยความสงสัย
  “เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป..ข้าดีขึ้นแล้ว!” หลิงหยุนร้องบอกโม่วู๋เตาพร้อมกับกำศิลากลั่นวิญญาณในมือไว้แน่น..
  โม่วู๋เตาหันซ้ายหันขวาและหันไปมองรอบๆห้อง ราวกับว่าในห้องที่มืดมิดนั้น มีบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่..
  จากนั้นโม่วู๋เตาก็วิ่งกลับเข้าไปหาหลิงหยุนอีกครั้งพร้อมกับทำเสียงกระซิบ “ข้าต้องไปก่อนแล้ว! คืนนี้อาจจะมีเสียงดังรบกวนเจ้าไปบ้าง เพราะดูท่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย ข้าต้องจัดการส่งพวกเขากลับไป..”
  โม่วู๋เตาคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดและตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
  “อืมม..ข้าเห็นด้วยว่าไม่ง่าย! แต่ไม่จำเป็นต้องทำร้ายพวกเขาให้บาดเจ็บ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเหนื่อยเกินไป..”
  จากนั้นผู้บ่มเพาะตนและนักพรตน้อยแห่งเหมาซานก็มองตากันอย่างเข้าใจโดยไม่ต้องพูดอะไร..
  โม่วู๋เตามองหลิงหยุนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าตกใจราวกับพบเห็นปีศาจและได้แต่แอบคิดในใจว่า ‘เรื่องนี้เจ้าก็รู้ด้วยงั้นรึ’
  คืนนี้..หนิงหลิงยู่เดินถือโคมไฟนำดวงวิญญาณของหลิงหยุนกลับมาท่ามกลางความมืดร่วมสามชั่วโมง ระยะทางก็เกือบจะครึ่งเมืองจิงฉูได้ ไม่เช่นนั้นร่างกายของหนิงหลิงยู่คงจะไม่หนาวสั่นถึงเพียงนั้น..
  “ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ..”.novel-lucky.
  โม่วู๋เตาส่ายหัวไปมาและรีบออกไปทำสิ่งที่ควรจะทำต่อไปทันที..
  …..
  “พี่หลิงหยุน!”
  ไป๋เซียนเอ๋อซึ่งมีวิชาตัวเบาสูงส่งกว่าใครๆจึงมาถึงห้องนอนของหลิงหยุนก่อนคนอื่น ทันทีที่เข้ามาในห้องนอนก็ปรี่เข้าไปหาหลิงหยุนที่เตียงทันที…
  หลิงหยุนลืมตาขึ้นอีกครั้งและยิ้มให้กับไป๋เซียนเอ๋อ..
  “เซียนเอ๋อ..ข้าสังหารปีศาจภัยแล้งไปแล้ว เจ้าไม่ได้ลงมือฆ่ามันด้วยตนเอง เจ้าตำหนิข้าหรือไม่”
  ไป๋เซียนเอ๋อซึ่งยืนอยู่ข้างเตียงนั้นดวงตาเล็กหรี่มีเสน่ห์อย่างนางจิ้งจอกแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง และหากไม่คิดว่าร่างกายของหลิงหยุนยังคงอ่อนแออยู่มาก นางคงจะโถมเข้าไปกอดเขาแล้วอย่างแน่นอน..
  ไป๋เซียนเอ๋อกลั้นน้ำตาเอาไว้ก่อนจะตอบไปว่า “ข้าไม่ตำหนิท่าน! มันไม่มีทางเลือก และท่านก็จำเป็นต้องทำเช่นนั้น..”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับโบกมือห้ามไม่ให้ไป๋เซียนเอ๋อพูดต่อ“นาทีนั้น.. ข้าไม่กล้าเสี่ยง!”
  หลิงหยุนตอบไปตามความจริง..เขาไม่กล้าเสี่ยงด้วยการเอาชีวิตของคนในบ้านทั้งหมดเป็นเดิมพัน!
  น้ำตาไหลพรากออกจากดวงตาของไป๋เซียนเอ๋อทันทีและนางก็พูดขึ้นทั้งน้ำตา “แต่.. พี่หลิงหยุน.. ท่านเองก็เกือบจะ..”
  หลิงหยุนหัวเราะพร้อมตอบกลับไปว่า“เซียนเอ๋อ.. ไม่มีอะไรต้องกังวลใจอีก ตอนนี้ข้าเองก็ตื่นขึ้นมาแล้วไม่ใช่รึ”
  แต่แล้วจู่ๆก็มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้นที่หน้าประตู “นี่เจ้าเด็กดื้อ! เจ้าบอกให้พวกเราไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราก็สามารถเลิกเป็นห่วงเจ้าได้งั้นรึ”
  ฉินตงเฉี่วยร้องตะโกนแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าถมึงทึง..
  หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มและไม่ตอบโต้.. เขารู้ดีว่าหลายวันมานี้ฉินตงเฉี่วยคงต้องเครียด และกดดันอย่างมาก..
  “น้าหญิง..”
  “ยังมีหน้ามาเรียกน้าหญิงอีกรึ”
  ฉินตงเฉี่วยนั่งลงข้างเตียงหลิงหยุนด้วยดวงตาแดงก่ำพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก..
  แต่แล้วเสียงท้องร้องของหลิงหยุนก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาพอดีตลอดเก้าวันมานี้เขาไม่เพียงไม่ได้กินอะไร แม้แต่น้ำสักหยดก็ยังไม่ตกถึงท้องเลย เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาจึงหิวโหยมากเป็นธรรมดา
  “เอ่อ..น้าหญิง ตอนนี้ข้าหิวมาก!”
  ฉินตงเฉี่วยได้ฟังก็ถึงกับใจอ่อนและลืมความโกรธเกรี้ยวในใจทั้งหมด พร้อมกับหันหน้าไปทางประตู และร้องตะโกนออกไปว่า
  “ใครก็ได้จัดการต้มข้าวต้มให้หลิงหยุนสักถ้วย!”
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเป็นฝ่ายวิ่งลงไปที่ห้องครัวและพบว่าเกาเฉินเฉินกำลังอุ่นข้าวต้มเตรียมให้หลิงหยุนแล้ว เธอจึงร้องบอกเกาเฉินเฉิน
  “เฉินเฉิน..หลิงหยุนฟื้นแล้ว เธอรีบขึ้นไปดูเถอะ! ส่วนข้าวต้มนี่เดี๋ยวฉันจัดการเอาขึ้นไปให้ที่ห้องเอง”
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมาร้องบอกเกาเฉินเฉินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะเดินไปยืนข้างเกาเฉินเฉิน และได้เห็นว่าเวลานี้เกาเฉินเฉินนั้นน้ำตาไหลอาบสองแก้ม และตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ..
  “ไม่ดีกว่า..ในห้องมีคนอยู่เยอะแล้ว หลิงหยุนเองก็เพิ่งจะฟื้น!”
  เกาเฉินเฉินยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วจึงพูดต่อว่า “ตอนนี้.. ฉันไม่มีประโยชน์อะไรกับหลิงหยุนเลย!”
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้กับเกาเฉินเฉินพร้อมกับพูดขึ้นว่า“หลิงหยุนต้องไม่คิดแบบนั้นแน่!”
  เกาเฉินเฉินเงยหน้าขึ้นมองเหมี่ยวเสี่ยวเหมาด้วยสายตาซาบซึ้งพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เสี่ยวเหมา.. ขอบคุณมาก!”
  ……..
  “พ่อ..พี่หยุนฟื้นแล้วนะ! พ่อสั่งถอนกำลัง และเปิดเส้นทางได้เลย!”
  “ห๊ะ!พ่อจะมาเยี่ยมงั้นเหรอ? ไม่ต้องหรอก.. ที่นี่มีคนมากพอ พ่อจัดการธุระของพ่อให้เสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาก็ได้..!”
  หลังจากโทรบอกถังเทียนห่าวแล้วถังเมิ่งก็วิ่งหน้าตั้งขึ้นไปหาหลิงหยุนที่ห้องทันที..
  “นี่เสี่ยวอู๋..คอยฉันด้วยสิ!”
  หลิงหยุนหลับไปถึงเก้าวันเวลานี้เขาตื่นขึ้นมาแล้ว มีใครในบ้านที่จะไม่ตื่นเต้นบ้างเล่า
  “พี่หยุน..พี่หยุน.. พี่ตื่นแล้วจริงๆด้วย! คิดไม่ถึงว่าพ่อเจ้าพิธีกรรมนั่นจะทำได้สำเร็จจริงๆ ”
  ทันทีที่เข้าไปในห้องถังเมิ่งก็ร้องตะโกนออกมาเสียงดังทันที
  “ถังเมิ่ง..นายจะตะโกนเสียงดังไปทำไมกัน”
  หลิงหยุนมองถังเมิ่งที่ร้องตะโกนเสียงดังพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างเหนื่อยใจ..
  ท่านหมอเสี่ยวนั่งอยู่ข้างเตียงและกำลังจับชีพจรของหลิงหยุน แม้เขาจะรู้สึกสบายใจขึ้นมาก แต่ในแววตากลับแฝงไว้ด้วยความกังวลใจ
  ท่านหมอเสี่ยวมองหน้าหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า“วิชาของเต๋านับว่าล้ำเลิศนัก เพียงแต่..”
  จากการจับชีพจร..ท่านหมอเสี่ยวสัมผัสไม่ได้ถึงพลังปราณในร่างกายของหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย
  หลิงหยุนกระแอมออกมาเบาๆและรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที “ท่านปู่เสี่ยว.. ข้าสบายดี! พรุ่งนี้ก็จะสามารถลุกขึ้นเดินเหินได้แล้ว..”
  หลิงหยุนรู้ดีว่าท่านหมอเสี่ยวกำลังจะบอกอะไรแต่เขาไม่ต้องการให้ทุกคนในห้องต้องเป็นกังวลกับเรื่องของตนเองอีก จึงรีบห้ามไว้เสียก่อน..  ท่านหมอเสี่ยวเข้าใจความหมายของหลิงหยุนดีจึงไม่พูดอะไรต่อ เขาเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย และดึงนิ้วออกจากข้อมือของหลิงหยุน
  ร่างกายของหลิงหยุนไม่เพียงอ่อนแอแต่พลังปราณในร่างกายก็หมดไปด้วย เวลานี้ร่างกายของเขานั้นด้อยกว่าคนธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำ และไม่สามารถใช้จิตหยั่งรู้กับเนตรหยิน-หยางได้อีก ท่ามกลางความมืดเช่นนี้ หลิงหยุนจึงเห็นเพียงแค่เงาเลือนรางของทุกคนเท่านั้น..
  เสี่ยวเม่ยหนิงที่เพิ่งเข้ามาได้วิ่งไปเปิดไฟในห้องทันที และเมื่อหลิงหยุนปรับสายตาจนเริ่มคุ้นกับแสงสว่างภายในห้อง จึงเงยหน้าขึ้นมองทุกคนอย่างละเอียด..
  เวลานี้ทุกคนต่างก็มีสีหน้าไม่ต่างกันเลยดวงตาทั้งสองข้างของทุกคนนั้นแดงก่ำ ใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำตา และสีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ..
  “เอ่อ..ทุกคน..”
  หลิงหยุนพูดได้เพียงแค่นั้นก็ตื้นตันจนไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก..
  ฉินตงเฉี่วยกลั้นน้ำตาก่อนจะฝืนยิ้มและพูดขึ้นว่า“ข้าสั่งให้ทุกคนปิดเรื่องของเจ้าไว้เป็นความลับ และไม่ให้แพร่งพรายให้คนนอกรู้ นอกจากท่านหมอเสี่ยวแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้อีก..”
  แม้ว่าพายุจะได้พัดผ่านเมืองจิงฉูไปแล้วแต่ก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ฉินตงเฉี่วยจึงต้องปิดบังอาการบาดเจ็บของหลิงหยุนไว้เป็นความลับ!
  จากนั้นฉินตงเฉี่วยก็หันไปพูดกับหลิงหยุนว่า“เจ้าไม่ต้องกังวลสิ่งใด.. พักผ่อนให้พอ แล้วก็รักษาอาการบาดเจ็บให้หายดี ส่วนเรื่องอื่นๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!”
  ผ่านไปถึงเก้าวันเวลานี้หลิงหยนุมไม่มีแม้แต่แรงจะลุกลงจากเตียง ต่อให้กังวลใจไปก็ไร้พละกำลังอยู่ดี
  “ข้าวต้มร้อนๆมาแล้ว!”
  เสียงร้องของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาดังขึ้นและเกาเฉินเฉินก็ไปนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ท่านหมอเสี่ยวนั่งเมื่อครู่..
  “เฉินเฉิน..”
  หลิงหยุนวางศิลากลั่นวิญญาณในมือลงพร้อมกับพยายามใช้มือพยุงร่างเพื่อที่จะลุกขึ้นนั่ง
  “ไม่ต้องลุกขึ้นก็ได้..”
  เวลานี้..ความทรงจำ และอารมณ์ความรู้สึกในอดีตได้หล่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว เมื่อได้เห็นเกาเฉินเฉินหลิง หยุนจึงถึงกับหัวใจเต้นแรง เพราะนี่คือรักแรกของเขา..
  เกาเฉินเฉินนั่งลงและค่อยๆป้อนข้าวต้มในชามให้หลิงหยุนอย่างระมัดระวัง แต่เมื่อเห็นหลิงหยุนจ้องมองตาของเธออย่างเปิดเผยเช่นนั้น เกาเฉินเฉินก็ถึงกับใจสั่นขึ้นมาทันที..
  และที่สำคัญ..เกาเฉินเฉินจำแววตาที่คุ้นเคยเช่นนั้นได้ดี!
  เกาเฉินเฉินจำได้ว่า..แววตาเช่นนี้ได้หายไปจากดวงตาของหลิงหยุนนานมากแล้ว แต่เวลานี้มันได้กลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง!
  หลิงหยุนจ้องตาเกาเฉินเฉินเนิ่นนานในที่สุดก็ขยิบตาให้เธอพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่นึกไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าหัวหน้าจะมานั่งป้อนข้าวผมแบบนี้!”
  เกาเฉินเฉินสั่นสะท้านพร้อมกับน้ำตาไหลออกมาและตอบกลับไปด้วยท่าทางเอียงอาย “รีบๆกินข้าวต้มดีกว่า!”