ถังเมิ่งรับหน้าที่ขับรถให้หนิงหลิงยู่กับโม่วู๋เตา..
ช่วงนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่มตรงพอดีตามถนนหนทางจึงไม่มีรถรา หรือผู้คนขวักไขว่มากนัก ถังเมิ่งจึงสามารถขับรถไปด้วยความเร็วสูงได้..
แต่เพราะสิ่งที่โม่วู๋เตากำลังทำอยู่นั้นไม่เพียงดูไม่น่าเชื่อถือ แต่ยังดูน่าขับขันอีกด้วย! บรรยากาศภายในรถจึงมีแต่ความท้อแท้สิ้นหวังมากขึ้น จนไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว..
หลังจากขับรถไปได้ราวสองสามกิโลเมตรถังเมิ่งก็อดรนทนไม่ได้ ในที่สุดก็พูดขึ้นทำลายความเงียบ..
“นี่มันทางไปโรงเรียนมัธยมจิงฉูนี่..ทำไมต้องไปที่นั่นด้วย”
โม่วู๋เตาที่นั่งอยู่ข้างคนขับและเอาแต่จ้องมองไปด้านหน้าด้วยสายตามุ่งมั่น โดยที่ไม่พูดอะไรมาตลอดทางนั้น เมื่อได้ยินคำถามของถังเมิ่ง จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“เจ้ามีหน้าที่ขับรถก็ขับไป..แล้วก็ทำตามที่ข้าสั่งเท่านั้น ไม่ต้องถามอะไรมากมาย..”
ถังเมิ่งฟังแล้วก็ได้แต่หุบปากเงียบไม่ตอบโต้และตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไป..
ในช่วงบ่ายนั้น..โม่วู๋เตาได้ย้ำนักย้ำหนาว่า หน้าที่ของถังเมิ่งในคืนนี้สำคัญอย่างยิ่ง เขาจึงได้รับอาสาทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้..
“แม่นางหลินเกิดในปีและเดือนที่เป็นหยินร่างกายของนางจึงมีหยินบริสุทธิ์อยู่ ข้าจึงเลือกนางให้ทำหน้าที่เรียกวิญญาณของหลิงหยุน!”
“ส่วนแม่นางเหยาลู่นั้น..ข้าได้ยินมาว่าวิชาที่นางฝึกล้วนข้องเกี่ยวกับผืนดิน ในเมื่อสวรรค์คือหยาง ผืนดินคือหยิน ข้าจึงเลือกนางเข้าร่วมพิธีด้วยเช่นกัน!”
“สำหรับแม่นางหลิงยู่..เจ้าเป็นผู้ที่สนิทสนมใกล้ชิดกับหลิงหยุนที่สุด ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมอบภารกิจสำคัญนี้ให้กับเจ้า..”
โม่วู๋เตาเลือกที่จะอธิบายสาระสำคัญของพิธีกรรมครั้งนี้ให้กับหนิงหลิงยู่กับถังเมิ่งฟังนั้นก็เพื่อต้องการให้ถังเมิ่งหุบปาก และเขาเองก็สังเกตเห็นสีหน้าที่ไม่สบายใจของหนิงหลิงยู่ด้วย..
หลังจากที่รถวิ่งไปได้ราวห้ากิโลเมตรโม่วู๋เตาก็สั่งให้ถังเมิ่งหยุดรถ เขายกมือขึ้นชี้ไปทางสี่แยกซึ่งอยู่ห่างไปราวห้าร้อยเมตร พร้อมกับพูดขึ้นว่า..
“ถังเมิ่ง..เจ้ามีหยางที่รุนแรงมากเกินไป เจ้าเข้าไปในบริเวณนั้นไม่ได้!”
“นี่โม่วู๋เตา..ฉันว่านายเพี้ยนไปใหญ่แล้ว! พี่หยุนได้รับบาดเจ็บสาหัสที่บ้านเลขที่-1 และเวลานี้ร่างของเขาก็นอนอยู่ที่นั่น ดวงวิญญาณของเขาจะมากไกลถึงขนาดนี้ได้ยังไงกัน”
ถังเมิ่งร้องออกมาด้วยความรู้สึกผิดหวังและสีหน้าของเขาก็บ่งบอกว่าไม่เชื่อถือโม่วู๋เตาอย่างมาก..
ถังเมิ่งแทบไม่อยากจะเชื่อ..สี่แยกตรงหน้านั้นอยู่ห่างจากบ้านเลจที่-1 เกือบสิบกิโลเมตร และห่างจากโรงเรียนมัธยมจิงฉูไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร ต่อให้ดวงวิญญาณของหลิงหยุนออกจากร่างจริง เขาก็ไม่เชื่อว่าดวงวิญญาณจะร่อนเร่มากไกลถึงเพียงนี้!
ครั้งนี้..ดูเหมือนหนิงหลิงยู่ก็ประหลาดใจมากเช่นกัน และสีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย!
แต่โม่วู๋เตาซึ่งมีสีหน้าท่าทางไม่น่าเชื่อถือนั้นกลับไม่สนใจ และไม่ตอบคำถามใดๆของถังเมิ่ง เขาเปิดประตูรถก้าวลงไปทันที และยังหันมาส่งสายตาเร่งให้หนิงหลิงยู่รีบตามเขาไปด้วย..
จากนั้นโม่วู๋เตาก็หันไปพูดกับถังเมิ่งว่า“ส่วนเจ้า.. รีบจัดการตามที่ข้าบอก!”
เมื่อช่วงเย็นนั้น..โม่วู๋เตาได้สั่งการถังเมิ่งด้วยตัวเอง เขามอบหมายให้ถังเมิ่งทำหน้าที่เคลียร์เส้นทางจากนี้ไปจนถึงบ้านเลขที่-1!
เพราะหลังจากนี้..หนิงหลิงยู่จะต้องถือโคมไฟเดินนำหลิงหยุนกลับไปยังบ้านเลขที่-1 และตลอดเส้นทางจะต้องไม่มีสิ่งใดรบกวนอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ตลอดเส้นทางกลับบ้านจึงต้องไม่มีรถ หรือว่ามีคนเดินผ่านไปมาแม้แต่คนเดียว..
ถังเมิ่งหันไปมองโม่วู๋เตาและพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “โม่วู๋เตา.. การปิดถนนห้ามคนสัญจรไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่เพื่อพี่หยุนฉันก็ไม่สามารถปฏิเสธได้! แต่ถ้าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดในคืนนี้ไร้ประโยชน์ ฉันจะจัดการกับนายแน่!”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของถังเมิ่งเช่นนี้โม่วู๋เตาก็ถึงกับเครียดขึ้นมาทันที เขาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า..
“ข้าบอกได้เพียงแค่ว่าจะพยายามทำอย่างดีที่สุดเท่านั้น!เรื่องอื่น.. ข้าเองก็ไม่อาจรับรองได้!”
ถังเมิ่งได้แต่แอบถอนหายใจในเมื่อหลิงหยุนเป็นเช่นนี้ แม้แต่ท่านหมอเสี่ยวยังหมดหนทางช่วย และเมื่อโม่วู๋เตาเอ่ยปากจะออกตามหาดวงวิญญาณของหลิงหยุนกลับมา เขาจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน
ยิ่งไปกว่านั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำเนินการเรียบร้อยแล้ะว และเป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเลิกกลางคัน เมื่อคิดได้เช่นนี้ถังเมิ่งจึงไม่ถามอะไรโม่วู๋เตาอีก เขาสูดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ
จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและคนแรกที่เขาโทรหาก็คือถังเทียนห่าวที่กำลังรออยู่แล้ว และคนที่สองก็คืออาปิง – หัวหน้าแก๊งมังกรเขียว ถังเมิ่งสั่งอาปิงเพียงแค่สั้นๆ
“จัดการเคลียร์เส้นทาง..”
และเพียงแค่ได้รับคำสั่งสั้นๆนั้นเส้นทางในเมืองจิงฉูเกือบครึ่งเมืองก็ถูกสั่งปิดทันที!
จากนั้นตลอดเส้นทางสองฟากถนน..ไม่ว่าจะเป็นไฟถนน ไฟบ้าน หรือไฟร้านค้า ต่างก็พร้อมใจกันดับพรึบลงทันที!
เวลานี้..ตลอดเส้นทางที่ถังเมิ่งขับรถกลับไปยังบ้านเลขที่-1 นั้น ก็เปลี่ยนเป็นมืดสนิท!
ในเวลาเดียวกัน..ที่สี่แยกก็มีสัญญาณไฟ ‘ห้ามการสัญญจร’ ปรากฏขึ้น และไม่อนุญาตให้รถราวิ่งผ่านอีกเลย และตลอดสี่แยกก็มีคนของแก๊งมังกรเขียวเฝ้าไว้ทุกหนทุกแห่ง!
ส่วนบริเวณที่คนของแก๊งมังกรเขียวไม่สะดวกที่จะปรากฏตัวนั้นก็จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเฝ้าดูแทน เรียกได้ว่าตลอดเส้นทางเกือบสิบกิโลเมตรนี้ มีคนเฝ้าอยู่ตลอดเส้นเลยทีเดียว..
ท่ามกลางความมืดมิด..ถังเมิ่งจ้องมองโม่วู๋เตาและหนิงหลิงยู่เดินข้ามถนนไปอย่างเงียบๆ จากนั้นจึงเลี้ยวรถกลับไปทางเดิน เขาค่อยๆขับไปอย่างช้าๆ เพื่อสำรวจดูความเรียบร้อยไปตลอดเส้นทางด้วย..
“พี่หยุน..พี่ต้องตื่นขึ้นมานะ! หากพี่ไม่ตื่นขึ้นมาล่ะก็ พี่ต้องเจอดีแน่!”
ถังเมิ่งได้แต่ขับรถไปและพร่ำภาวนาอยู่ในใจเงียบๆ
……
โม่วู๋เตาและหนิงหลิงยู่เดินข้ามถนนไปอย่างรวดเร็ว..
ไม่เพียงถังเมิ่งและหนิงหลิงยู่ที่ประหลาดใจแม้แต่โม่วู๋เตาเองก็ประหลาดใจไม่น้อย..
ตลอดระยะเวลาเก้าวันที่ผ่านมานั้นโม่วู๋เตาก็ไม่ได้นิ่งดูดาย เขาใช้วิชาเหมาซานที่ร่ำเรียนมาคำนวนหลายต่อหลายครั้ง และในที่สุดก็สามารถคำนวณตำแหน่งดวงวิญญาณของหลิงหยุนได้..
โม่วู๋เตาไม่ตอบคำถามของถังเมิ่งไม่ใช่เพราะเขาไม่ต้องการที่จะตอบ! แต่เขาไม่สามารถตอบได้.. นั่นเพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใดดวงวิญญาณของหลิงหยุนจึงได้เร่ร่อนออกมาจากร่างได้ไกลถึงเพียงนี้
แต่ก็ไม่แปลกหากโม่วู๋เตาจะคิดหาเหตุผลในเรื่องนี้ไม่ได้..
นั่นเพราะสี่แยกแห่งคือสถานที่หลังจากหลิงหยุนออกมาจากร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่แล้วถูกรถพ่วงชนตายนั่นเอง!
เวลานี้ทั้งไฟถนนไฟตามร้าน และไฟตามอาคารบ้านเรือน ต่างก็ปิดหมด ถนนทั้งเส้นจึงมีเพียงแค่ความมืดเท่านั้น..
โม่วู๋เตาส่งสัญญาณให้หนิงหลิงยู่หยุดนิ่งจากนั้นเขาจึงล้วงเอาเทียนขาวออกมาจากถุงผ้าหนึ่งเล่ม และนำไปจุดไว้ในโคมไฟ จากนั้นจึงหยิบด้ายแดงสำหรับพันแขนออกมาจากกระเป๋า แล้วนำไปผูกไว้ที่ข้อมือของหนิงหลิงยู่อย่างแน่นหนา…ไอลีนโนเวล.
“ปกติดวงวิญญาณจะค่อนข้างตกใจและหวาดกลัวได้ง่าย เจ้าต้องถือโคมไฟนี้เดินไปตลอดเส้นทาง และต้องคอยเรียกชื่อหลิงหยุนไปเรื่อยๆด้วย อย่าหยุด และอย่าให้โคมไฟดับโดยเด็ดขาด จำไว้ให้ดีล่ะ!”
จากนั้นโม่วู๋เตาก็อธิบายต่อด้วยสีหน้าขึงขังจริงจัง“ไม่ว่าชายหรือหญิง หากยังมีชีวิต ก็จะมีทั้งลมหายใจและหยางไหลเวียน แต่เวลานี้ข้าได้ผูกด้ายแดงไว้ที่ข้อมือของเจ้าแล้ว ด้ายแดงนี้จะทำหน้าที่กั้นหยางของเจ้าไว้ไม่ให้กระจายออกมา และจะทำให้สามารถเรียกดวงวิญญาณได้ง่ายขึ้น..”
“หลังจากที่ผูกด้ายแดงนี้แล้ว..เจ้าจะต้องทำจิตใจให้สงบนิ่งต่อทุกสถานการณ์ที่พบเห็น ไม่เช่นนั้นหยางในกายเจ้าจะปั่นป่วน และจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกายของเจ้าเอง..”
โม่วู๋เตาอธิบายให้หนิงหลิงยู่ฟังถึงวิธีการเรียกดวงวิญญาณอย่างละเอียดพร้อมกับกำชับว่า
“เอาล่ะ..ข้าต้องรีบออกไปแล้ว! เมื่อเจ้าไม่เห็นข้าแล้ว ก็เริ่มเรียกชื่อหลิงหยุนได้เลย และบอกเขาให้เดินตามเจ้ากลับไปยังบ้านเลขที่-1 ด้วย ส่วนข้าจะคอยคุ้มกันเจ้าอยู่ห่างๆ”
หนิงหลิงยู่พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับถามขึ้นอย่างแปลกใจ“ต้องมีคนคอยคุ้มกำด้วยเหรอ!”
โม่วู๋เตาเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร จากนั้นจึงส่งสัญญาณให้หนิงหลิงยู่เริ่มพิธีได้..
“หลิงหยุน..หลิงหยุน..”
หลังจากที่โม่วู๋เตาหายลับตาไปหนิงหลิงยู่ก็เริ่มเดินข้ามถนนไปพร้อมกับกระซิบเรียกชื่อหลิงหยุนไปตลอดทาง หนิงหลิงยู่ยืนเรียกชื่อหลิหงยุนอยู่นานราวเจ็ดถึงแปดนาที จากนั้นจึงค่อยๆเดินกลับไปยังบ้านเลขที่-1 อย่างช้าๆ!
และเธอต้องเดินกลับไปเป็นระยะทางถึงสิบกิโลเมตร..
……
ตูม..ตูม.. ตูม..
ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่หลิงหยุนกำลังรับทัณฑ์สวรรค์อยู่ถึงเก้าวันเก้าคืน!
นี่คือทัณฑ์สวรรค์ที่น่ากลัวที่สุดที่เขาเคยพบเจอมาสายฟ้าชุดแรกที่เขาพบเจอในวันแรกนั้นเป็นสายฟ้าเทวะสีม่วง และในทุกๆวันพลังของอสุนีบาตก็จะเพิ่มความรุนแรงขึ้นเป็นสองเท่า ตอนนี้หลิงหยุนรู้สึกขมขื่นใจเป็นอย่างมาก!
ทัณฑ์เมฆาสับเปลี่ยนกันมาหลากหลายชนิดอย่างไม่หยุดไม่หย่อน..
“สวรรค์..เพียงแค่บททดสอบ เหตุใดจึงต้องโหดร้ายกับข้าถึงเพียงนี้ด้วย!”
ในที่สุด..หลิงหยุนก็ไม่สามารถทานทนได้อีกต่อไป ภายใต้อสุนีบาตสีม่วงนี้ เสื้อผ้าของหลิงหยุนขาดวิ่น และนิ้วหักไปหนึ่งนิ้ว! หลิงหยุนได้แต่ร้องตะโกนกร่นด่า..
เขาสัมผัสได้ว่า..นี่คือช่วงเวลาแห่งความตายของตนเอง!
ในเวลานี้..ค่ายกลต่างๆของหลิงหยุนได้ถูกทำลายจนสิ้นซาก โอสถพลังชีวิตมากมาย ยันต์ หรือแม้แต่ดวงตราสิบสองเซียนก็ถูกใช้ไปจนหมดไม่มีเหลือ ไม่มีของวิเศษที่จะเหลือใช้ป้องกันตัวอีกแม้แต่อย่างเดียว!
หลิงหยุนยิ้มขมขื่นและรู้ดีว่าจุดจบของตนเองนั้นได้มาถึงแล้ว เขาจ้องมองสายฟ้าเทวะที่ฟาดลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง และใช้กายเนื้อที่ไร้เครื่องป้องกันนี้ต้านทานทัณฑ์สวรรค์อย่างไม่ยำเกรง!
เปรี้ยง!
สายฟ้าเทวะสีม่วงฟาดใส่ร่างของหลิงหยุนอีกครั้ง!
“ดาราคุ้มกาย!”
“พลังมังกร!”
หลิงหยุนใช้ทุกวิชาที่สามารถใช้ได้ในตอนนี้แต่ก็ช่างไร้ประโยชน์!
ภายในรัศมีแสนลี้..พื้นดินทั่วทั้งบริเวณเกิดสั่นไหวอย่างรุนแรง..
หลิงหยุนซึ่งอยู่ในเขตรับทัณฑ์ถูกสายฟ้าเทวะสีม่วงฟาดใส่อย่างรุนแรง จนพื้นดินบริเวณนั้นทรุดลงเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่กว้างถึงหนึ่งร้อยลี้ และลึกจนไม่สามารถมองเห็นก้นหลุม และไม่ได้ยินเสียงร้องของผู้ที่อยู่ด้านล่าง..
และร่างของหลิงหยุนก็แตกสลาย..
ระหว่างความเป็นและความตายนั้นหลิงหยุนได้แยกดวงจิตเดิมซึ่งอ่อนแอมากนั้นออกมาได้ทันเวลา!
……………
ตูม!
ภาพที่ปรากฏขึ้นในใจของหลิงหยุนอีกหนึ่งภาพก็คือเหตุการณ์ที่ร่างของเขาถูกสายฟ้าเทวะสีทองฟาดใส่ร่างในค่ำคืนที่มืดมิด..
ทุกเรื่องราวของชีวิตก่อนหน้า..และชีวิตนี้.. ได้ถูกสายฟ้าเทวะสีทองหล่อหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์!
หลิงหยุนผู้อหังกาในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่หลิงหยุนผู้ซึ่งเกิดในโลกใบนี้จนถูกรถพ่วงชนตาย และหลิงหยุนซึ่งเป็นผู้ดู ได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว..
แล้วหลิงหยุนก็หมดสติไป..
แต่เมื่อรู้สึกตัวเอีกครั้งหลิงหยุนก็พบว่าเขาอยู่ท่ามกลางความมืด และความว่างเปล่า แต่มีแสงสว่างๆอยู่ในที่ไกลๆ
………
แสงสีขาวสว่างนวลตานั้นช่างน่าดึงดูดอย่างบอกไม่ถูก! หลิงหยุนจึงค่อยๆ ลอยตามแสงขาวนวลนั้นไปเรื่อยๆ ใช่แล้ว.. หลิงหยุนกำลังลอยตามไป!
“นี่ข้ากำลังจะไปที่ใหนกันข้ายังไม่อยากตาย? ข้ากำลังจะไปรายตัวต่อยมโลกงั้นรึ?”
หลิงหยุนต้องการจะดื้อดึงขัดขืนแต่ก็ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ และร่างของเขายังคงลอยตามแสงสว่างสีขาวนั้นไปเรื่อยๆ
ระหว่างที่รู้สึกคล้ายกับว่าร่างของตนเองกำลังจะตกไปอยู่ในแสงสีขาวนวลนั้นหลิงหยุนก็ได้ยินเสียงเรียก ‘หลิงหยุน’ ดังก้องอยู่ในหู..
“หลิงหยุน..”
“หลิงหยุน..”
“หลิงหยุน..”
และมันคือเสียงเรียกของหนิงหลิงยู่หลินเมิ่งหาน และเหยาลู่ หลิงหยุนได้ยินเสียงเรียก และในที่สุดเขาก็สามารถกลับเข้าสู่ร่างได้!
ร่างของหลิงหยุนที่นอนหลับใหลอยู่ในห้องนอนชั้นสองของบ้านเลขที่-1นั้น จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา!!