บทที่ 1021 พิธีเรียกดวงวิญญาณ

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

ผ่านไปอีกสามวัน..แต่หลิงหยุนก็ยังคงไม่ฟื้นคืนสติ!
  จากคืนวันที่เกิดแสงสว่างสีขาวเจิดจ้าไปทั่งทั้งเมืองจิงฉูจนกระทั่งถึงวันนี้ก็ผ่านไปทั้งหมดแปดวันแล้ว และความวุ่นวายโกลาหลต่างๆ ก็ค่อยๆจางลง เมืองจิงฉูก็กลับสู่ความสงบเช่นเคย..
  ในช่วงสามวันที่ผ่านมานี้..ทั่วทั้งเมืองจิงฉูได้เกิดฝนฟ้าคะนองอย่างหนักเป็นประวัติกาล เจ้าหน้าที่ในเมืองจิงฉูต่างก็ต้องพากันหาเหตุผลมาชี้แจ้งกันให้วุ่นวายไปหมด เพื่อกลบคำวิพากษ์พิจารณ์ที่เกิดขึ้นต่างๆนานา
  หลังจากนั้น..ทั่วทั้งสี่ทิศของบ้านเลขที่-1 ก็ได้มีการวางกำลังป้องกันไว้แน่นหนาถึงสามชั้น มีทั้งตำรวจในเครื่องแบบติดอาวุธพร้อมกระสุนจริง และตำรวจนอกเครื่องแบบที่แฝงตัวอยู่ด้วย..
  หากไม่มีเหตุผลอันควรผู้ใดก็ยากที่จะเข้าใกล้บริเวณนี้ได้ เรียกได้ว่าบ้านเลขที่-1 นั้นได้กลายเป็นเขตพื้นที่พิเศษที่ถูกแยกออกอย่างเด็ดขาดจากโลกภายนอก..
  และนี่เป็นคำสั่งของถังเมิ่งที่สั่งการไปทางหัวหน้าหน่วยหลิวกังหย่ง และผู้อำนวยการหน่วยรักษาความมั่นคงประจำจิงฉี – หลิวจินไล๋
  และด้วยกองกำลังที่แน่นหนาเช่นนั้นแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้บ้านเลขที่-1 ได้เลยแม้เพียงครึ่งก้าว เว้นแต่ผู้คนที่อยู่ภายในบ้านหลังนี้เท่านั้น..
  ภายในสวนของบ้านเลขที่-1เวลานี้..
  “เฮ้อ..ข้าฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่จะให้เข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-5 ให้ได้โดยเร็ว แต่กลับไม่ต่างจากกบน้อยในก้นบ่อที่เฝ้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า!”
  หวังเฟยฮู๋ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจก่อนจะฝืนยิ้มออกมา..
  เวลานี้..หวังเฟยฮู๋กำลังนั่งอยู่ในสวนหน้าบ้านหันหน้าไปทางสระว่ายน้ำ พร้อมกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ..
  ยันต์บำบัดที่มีอานุภาพในการักษาได้อย่างน่าอัศจรรย์นั้นได้รักษาอาการบาดเจ็บสาหัสของหวังเฟยฮู๋ และช่วยฟื้นฟูเส้นลมปราณ และรักษาอาการบาดเจ็บภายในของเขาจนหายดีแล้ว..
  หลายวันมานี้..ทุกครั้งที่หวังเฟยฮู๋นึกถึงคืนการต่อสู้ที่ดุเดือดน่ากลัวนั้น เขาก็ยังคงรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกที่สามารถรอดชีวิต และมีโอกาสได้กลับมาชื่นชมยินดีกับชีวิตของตนเองอีกครั้ง!
  หวังเฟยฮู๋ยอมรับว่าตลอดชีวิตทีผ่านมาของเขา..คืนนั้นเป็นคืนที่เขารู้สึกตกใจและหวาดกลัวที่สุดในชีวิต และเป็นคืนแห่งการต่อสู้ที่ดุเดือดบ้าคลั่งที่สุดเท่าที่เขาเคยประสบมา..
  สิ่งที่เขาเคยได้ยินได้ฟังมาในตำนานเล่าขานไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9 พรรคมาร แวมไพร์ และแม้แต่ปีศาจภัยแล้งกับปีศาจจิ้งจอก แม้กระทั่งเรื่องของการรับทัณฑ์สวรรค์!
  หวังเฟยฮู๋ไม่นึกไม่ฝันว่า..เรื่องที่เขาเคยคิดว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อหลังจากที่ได้ยินได้ฟังมานั้น จะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาตนเองจริงๆ ราวกับว่าเขาได้ฝันไป!
  หวังเฟยฮู๋ถึงกับต้องหยิกต้นขาตนเองอยู่หลายครั้งหลายคราเพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้นมันไม่ใช่ความฝัน.. แต่มันคือความจริง!
  และในคืนนั้น..แม้ว่าจะสามารถสังหารศัตรูไปได้มากมาย แต่หวังเฟยฮู๋ก็ต้องสูญเสียลูกน้องทั้งสองคนไป เวลานี้หวังเฟยฮู๋ยังจำเหตุการณ์ในคืนนั้นได้อย่างกระจ่างชัด และตอนนี้เขาก็กำลังนั่งเดินลมปราณฟื้นฟูสภาพร่างกายตนเองอยู่ในสวน..
  ส่วนภายในห้องเก็บของเล็กๆที่สวนด้านหลังนั้นก็มีสองพี่น้องตระกูลเฉิน – เฉินเจี้ยนกุ่ยกับเฉินเซิน แล้วก็มีร่างที่ไร้แขนขาราวกับท่อนไม้อยู่สองร่าง ซึ่งก็คือนักบวชเลี่ยยื่อแห่งเขาหลงหู่ และโอรสพรรคมารซือกงวู่จี๋ รวมทั้งไห่ซานซึ่งเป็นลูกน้องของเฉินเซิน..
  หวังเฟยฮู๋ไม่จำเป็นต้องคอยเฝ้าทั้งห้าคนอีกแล้วเพราะมีแวมไพร์บริวารที่ซื่อสัตย์ของหลิงหยุนคอยทำหน้าที่อยู่ และเวลานี้ทั้งพอลกับเจสเตอร์ก็ได้เข้าสู่ขั้นเคานต์เรียบร้อยแล้ว..
  เรียกได้ว่าในคืนนั้นไม่มีศัตรูคนใดที่บุกเข้ามาในบ้านเลขที่-1แล้ว จะสามารถมีชีวิตรอดกลับออกไปได้เลยแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สำนักแดนใต้ สำนักโลหิตมาร หรือแม้แต่มือสังหารขององค์กรนักฆ่า ยอดฝีมือร่วมร้อยคนนั้นล้วนถูกไป๋เซียนเอ๋อสังหารตายไปกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น ท้ายที่สุดก็ถูกไป๋เซียนเอ๋อสังหารตายจนหมดเช่นกัน!
  สำหรับแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสทั้งห้าที่ติดตามดยุคแดร๊กคูล่ามานั้นภายใต้ทัณฑ์สวรรค์ พลังอมตะ-เสวียนหวง และพลังหยางพิสุทธิ์ของหลิงหยุน พวกมันล้วนถูกเผาจนมอดไหม้ และไม่เหลือให้เห็นแม้แต่เถ้าถ่าน..
  ในครั้งนั้น..พลังอมตะ-เสวีนหวงที่หลิงหยุนปล่อยออกมานั้น นับได้ว่าไม่เปล่าประโยชน์ เพราะทั้งหนิงหลิงยู่ เหลายู่ พอล และเจสเตอร์ ต่างก็ได้รับอานิสงค์ไปตามๆกัน..
  กายอัปสรของหนิงหลิงยู่ได้ดูดซับเอาพลังอมตะ-เสวียนหวงเข้าไปจนสามารถที่จะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9 ได้ทุกเมื่อ แต่เพราะหนิงหลิงยู่มัวแต่เป็นห่วงหลิงหยุน จึงไม่มีกะจิตกะใจที่จะสนใจเรื่องเหล่านี้..
  แต่ที่ได้ประโยชน์อย่างที่สุดดูเหมือนจะเป็นเหยาลู่..ร่างกายของเธอนั้นอุดมด้วยเบญจธาตุจากผืนดิน อันได้แก่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไม้ ธาตุไฟ และธาตุทอง ซึ่งเป็นผลจากการฝึกวิชาใต้พิภพ และพลังอมตะ-เสวียนหวงที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้น ก็ถูกร่างกายของเหยาลู่ดูดซับเข้าไปตั้งแต่เริ่มต้น จนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ แต่ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น ขั้นของเหยาลู่ยังคงพุ่งทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดก็ไปหยุดนิ่งอยู่ที่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-3!
  ส่วนพอลกับเจสเตอร์นั้นหลังจากที่ดูดเอาพลังอมตะ-เสวียนหวงนี้เข้าไปจนมากพอ ก็สามารขึ้นเป็นแวมไพร์ขั้นเคานต์ได้ในทันทีเช่นกัน..
  พลังอมตะ-เสวียนหวงนี้ก็คือพลังอมตะนั่นเองดังนั้นทุกคนภายในบ้านเลขที่-1 ไม่ว่าจะเป็นฉินตงเฉี่วย ไป๋เซียนเอ๋อ เหมี่ยวเสี่ยวเหมา ตี้เสี่ยวอู๋ เสี่ยวเม่ยหนิง และคนอื่นๆ หลังจากที่ได้ดูดซับเอาพลังอมตะนี้เข้าไป ก็ย่อมได้รับประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพียงแต่ไม่เท่ากับสี่คนที่กล่าวมา..
  หวังเฟยฮู๋ยังคงนั่งเหม่อมองไปทางสระว่ายน้ำนิ่งเงียบ..
  รถสีดำพุ่งตรงเข้ามาภายในบ้านเลขที่-1และถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋ก็เดินลงมาจากรถพร้อมกัน..
  ทั้งสองคนเพิ่งกลับมาจากบ้านเลขที่-9ในอ่าวจิงฉู เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของทั้งคู่นั้นเศร้าหมองยิ่งนัก แต่เมื่อพบหน้าหวังเฟยฮู๋ทั้งคู่ก็ฝืนยิ้มออกมาทันที..
  ถังเมิ่งเดินเข้าไปตบบ่าหวังเฟยฮู๋พร้อมกับพูดกระเซ้าเย้าแหย่“จิ้งจอกเฒ่า.. คุณออกมาตากแดดอีกแล้วเหรอ แล้วอาการบาดเจ็บเป็นยังไงบ้าง?”
  หวังเฟยฮู๋ยิ้มเล็กน้อยและตอบกลับไปว่า “เรื่องอาการบาดเจ็บของข้าไม่เท่าไหร่หรอก.. ว่าแต่หลิงหยุน.. ตอนนี้เป็นเช่นใดบ้าง”
  สีหน้าของถังเมิ่งสลดลงทันทีพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย“พี่หยุนก็ยังเหมือนเดิม.. เขานอนหลับใหลมานานถึงแปดวันแล้ว แล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาได้เลย..”
  หวังเฟยฮู๋ขมวดคิ้วพร้อมกับส่ายหน้าไปมาพร้อมกับถอนหายใจก่อนจะพึมพำเบาๆกับตัวเอง
  “เฮ้อ..สายฟ้าสีทองนั่นช่างมีอานุภาพรุนแรงยิ่งนัก!”
  เมื่อพูดถึงเรื่องนี้..ทั้งสามคนต่างก็พากันนิ่งเงียบไปพักใหญ่ แต่แล้วจู่ๆ ถังเมิ่งก็หันไปสำรวจรอบๆบ้าน ก่อนจะร้องถามออกไปว่า
  ก็จ้องมองร่างกายของหวังเฟยฮู๋จนทั่วพร้อมกับขมวดคิ้วและร้องถามขึ้นมา สำรวจไปรอบๆบ้าน
  “นี่คุณอยู่บ้านคนเดียวงั้นเหรอแล้วพ่อเจ้าพิธีโม่วู๋เตาไปใหนเสียล่ะ?”.novel-lucky.
  หลังจากค่ำคืนนั้นนักพรตน้อยโม่วู๋เตาก็ยังไม่ยอมจากไปใหน แต่เป็นฝ่ายขออยู่ที่บ้านเลขที่-1 อีกอย่าง.. โม่วู๋เตาก็เป็นคนที่หลิงหยุนนำกลับมาที่บ้านด้วยตัวเอง แม้จะไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงต้องนำนักพรตน้อยนี้กลับมาที่บ้าน แต่ในเมื่อหลิงหยุนยังไม่ฟื้น หากโม่วู๋เตาจะจากไปทุกคนในบ้านก็คงไม่ยินยอมเช่นกัน..
  หลายวันนี้..ในสายตาของถังเมิ่ง โม่วู๋เตาทำตัวไม่ต่างจากร่างทรง หรือนักพรตเจ้าพิธีกรรม!
  เพราะตั้งแต่โม่วู๋เตาเข้ามาอยู่ในบ้านเลขที่-1นั้น ทุกเช้าเขาก็จะต้องทำการจุดธูปหอมเพื่อกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามแบบเต๋า..
  อีกทั้งเมื่อคืนที่ผ่านมากโม่วู๋เตาก็เพิ่งทำพิธีขับไล่ดวงวิญญาณภายในบ้านเขาบอกว่าภายในบ้านมีคนตายนับร้อยเช่นนี้ ทำให้มีพลังหยินชั่วร้ายมากเกินไป และควรจะต้องทำพิธีขับไล่ออกไป..
  หากนี่ไม่เรียกร่างทรงหรือเจ้าพิธีจะให้เรียกอะไรกันเล่า
  แต่เนื่องจากตอนนี้หลิงหยุนยังคงนอนหลับใหลภายในบ้านเลขที่-1 จึงเหลือเพียงแวมไพร์สองตน หวังเฟยฮู๋ และโม่วู๋เตา จึงไม่มีใครห้ามปรามโม่วู๋เตาได้ และได้แต่ปล่อยให้เขาทำพิธีกรรมไปตามต้องการ จะมีก็แต่คอยหยอกเย้าเป็นบางครั้งบางคราเท่านั้น..
  เมื่อพูดถึงโม่วู๋เตาหวังเฟยฮู๋จึงได้แต่ยิ้มออกมา และตอบกลับไปว่า “หลายวันมานี้นักพรตน้อยนั่นเอาแต่นิ่งไม่ทำอะไร อีกทั้งยังปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา อีกอย่างเขาเองก็ไม่ได้คิดที่จะหนีไปใหน ข้าก็เลยคร้านที่จะคอยเฝ้าเขาไว้..”
  หลังจากนั้น..หวังเฟยฮู๋ก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางหัวมุมทางด้านตะวันตกของบ้าน พร้อมกับพูดยิ้มๆ
  “เมื่อวานเย็น..เขาก็ตั้งปรัมพิธีคล้ายเซ่นไหว้คนตายอยู่ทั้งคืนไม่หลับไม่นอน แล้วนี่ก็ออกไปข้างนอนตั้งแต่เช้าตรู่..”
  ถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋มองตามนิ้วของหวังเฟยฮู๋ไปและถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่พบเห็น..
  มีโคมไฟลักษณะคล้ายกันวางเรียกันอยู่สามอันแต่เป็นโคมไฟชนิดพิเศษ มีลักษณะยาว ทำด้วยกระดาษสีขาว และที่โคมกระดาษนั้นก็มีอักขระโบราณเขียนอยู่ด้วย..
  และเมื่อถังเมิ่งเห็นเช่นนั้นเขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันทีพร้อมกับร้องตะโกนออกมาเสียงดัง
  “นักพรตบ้า!นี่มันโคมไฟสำหรับแขวนไว้หน้าโลงศพคนตายไม่ใช่เหรอ พี่หยุนยังไม่ตายสักหน่อย เจ้าบ้านี่ทำพิธีพวกนี้ทำไมกัน?”
  ตีเสี่ยวอู๋เองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีเช่นกันและได้แต่กำหมัดแน่น..
  “ถังเมิ่ง..หากเจ้าไม่รู้เรื่องอะไร ก็สู้อย่าอ้าปากพูดจะดีกว่า! นี่เรียกว่าโคมไฟนำวิญญาณ ข้าตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อลูกพี่ของเจ้าจนไม่ได้หลับได้นอน..”
  โม่วู๋เตากลับมาทันได้ยินคำพูดของถังเมิ่งพอดีทั้งสามคนหันไปมองตามเสียงพร้อมกันทันที และพบว่านักพรตน้อยผู้นี้กำลังลากกระสอบใบใหญ่เข้ามาในบ้านด้วย..
  “โคมเรียกวิญญาณ!มันคืออะไรกัน?!”
  ถังเมิ่งถามออกมาอย่างขุ่นเคืองเขาแทบไม่อยากจะเสียเวลาวิสาสะกับโม่วู๋เตาหากไม่จำเป็น..
  โม่วู๋เตาเหลือบมองถังเมิ่งก่อนจะตอบไปเพียงแค่สั้นๆ “เดี๋ยวถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง..”
  จู่ๆโม่วู๋เตาก็เงยหน้าขึ้นมองถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับสั่งว่า “ข้ากำลังจัดเตรียมพิธีกรรมที่สวนภายในบ้าน และเกือบจะเสร็จสิ้นแล้ว พรุ่งนี้เช้าพวกเจ้าสองคนนำตัวหลิงหยุนมาที่นี่ได้เลย!”
  ถังเมิ่งถึงกับตาโตลุกวาวพร้อมกับร้องตะโกนถามเสียงดัง..
  “พาพี่หยุนมาที่นี่พามาทำไมกัน?”
  โม่วู่เตายิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมตอบกลับไปว่า“ข้าได้บอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่รึว่าจะตามดวงวิญญาณของหลิงหยุนกลับเข้าร่าง!”
  ถังเมิ่งพับแขนเสื้อขึ้นทันทีและเตียมวางมวยกับโม่วู๋เตา เขาโกรธมากจนร้องตะโกนใส่หน้าโม่วู๋เตา..
  “ไอ้นักพรตบ้า..พี่หยุนยังไม่ตายโว้ย! แต่นายกลับพูดว่าจะตามดวงวิญญาณพี่หยุนกลับเข้าร่าง วันนี้ฉันจะสั่งสอนนายเอง..”
  ความจริงแล้วโม่วู๋เตานั้นอยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-9และถังเมิ่งไม่มีทางทำร้ายเขาได้อย่างแน่นอน โม่วู๋เตาจ้องหน้าถังเมิ่งนิ่งก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง..
  “ข้าพูดรึว่าหลิงหยุนตายแล้วความหมายของข้าก็คือ.. อสุนีบาตที่รุนแรงนั่น ได้ทำให้ดวงวิญญาณของหลิงหยุนออกจากร่างชั่วคราว เราจึงต้องหาทางทำให้วิญญาณของเขากลับเข้าร่างให้ได้ จากนั้นเขาก็จะตื่นขึ้นมาเอง!”
  ถังเมิ่งถึงกับตกตะลึงและถามออกมาอย่างไม่แน่ใจ “ไสยศาสตร์จะเชื่อถือได้แค่ใหนกัน”
  โม่วู๋เตาเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและตอบไปว่า “ไสยศาสตร์งั้นรึ แวมไพร์.. ปีศาจภัยแล้ง.. ปีศาจจิ้งจอก.. แล้วก็การที่ลูกพี่ของเจ้าเข้ารับทัณฑสวรรค์.. ทุกสิ่งทุกอย่าง เจ้าก็ได้เห็นกับตาตัวเองแล้วไม่ใช่รึ? แล้วเหตุใดจึงเรียกวิชาเหมาซานของข้าว่าไสยศาสตร์เล่า?”
  โม่วู๋เตาตั้งคำถามกับถังเมิ่งจบแล้วก็พูดต่อว่า “ข้าเองก็ไม่กล้ารับปากอย่างมั่นใจ แต่ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถของข้า!”
  ถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ต่างก็หันไปมองหน้ากันทั้งสองคนกัดฟันแน่น และพูดขึ้นว่า..
  “พยายามอย่างดีที่สุดงั้นเหรอแต่ถ้าวิธีนี้ไม่ได้ผล แล้วพี่หยุนเป็นอะไรไป.. รับรองว่านายต้องเจอดีแน่!”
  โม่วู๋เตาไม่ตอบโต้แต่กลับมองด้วยสายตาเย้ยหยัน..
  ………
  และในเช้าของวันที่เก้า..ร่างของหลิงหยุนก็ได้ถูกส่งกลับมายังบ้านเลขที่-1 อย่างลับๆ
  ตกเย็น..โม่วู๋เตาก็จัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และหลังจาที่เตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาก็เริ่มพิธีกรรมทันที!
  ทันทีที่เริ่มพิธีกรรมโม่วู๋เตาก็เริ่มคัดผู้คนออกไปนอกบริเวณทันที..
  “ผู้ชายมีหยางที่รุนแรงเกินไปขอให้ออกจากบริเวณที่ทำพิธีกรรมด้วย..”
  “เหลือเพียงแค่หญิงสาวสามคนนี้เท่านั้น..”
  โม่วู๋เตาอนุญาตให้เพียงแค่หนิงหลิงยู่หลินเมิ่งหาน และเหยาลู่อยู่ในพิธีกรรมของเขาเท่านั้น และให้พวกนางถือโคมไฟไว้คนละดวง..
  หลังจากอธิบายหน้าที่ของแต่ละคนเพียงสั้นๆแล้วโม่วู๋เตาก็พูดขึ้นว่า “พวกเจ้าสองคนรออยู่ในสวนแห่งนี้ จำไว้ว่าต้องปฏิบัติตามที่ข้าบอกอย่างเคร่งครัด อย่าให้มีอะไรผิดพลาดโดยเด็ดขาด!”
  “หนิงหลิงยู่..เจ้ามากับข้า!”
  ท่ามกลางความมืด..โม่วู๋เตาและหนิงหลิงยู่นั่งรถอออกไปข้างนอก และสถานที่พวกเขาทั้งคู่ไปนั้นก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจเป็นอย่างมาก!