หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 836 ความแตกต่างเรื่องรัศมีจั้นยี่
“ต่อไปเป็นตาข้าที่จะสอนแกว่ารัศมีจั้นยี่ใช้ยังไง**!”**
เมื่อลู่ขุยได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าก็อดกระตุกไม่ได้ เขาแสยะยิ้มด้วยความโกรธ รังสีสังหารในดวงตาพรั่งพรูออกมา แม้พลังของเขาจะอยู่อันดับสามของเจ้าสำนักพาฬมังกร แต่ตัวเขาก็มีจุดแข็งซึ่งก็คือความสามารถในการควบคุมรัศมีจั้นยี่ แม้จะไม่เพียงพอที่จะเป็นจั้นเจิ้นซือ แต่การควบคุมรัศมีจั้นยี่นักรบหลายพันคนก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเขา
จากแง่มุมนี้อย่างเดียว เขาจึงแข็งแกร่งกว่าเจ้าสำนักอันดับสองลู่หวู ดังนั้นกองทัพพาฬจึงอยู่ในการควบคุมของเขาในที่สุด
นอกจากนี้ใครก็ตามที่สู้กับสำนักพาฬมังกรจะรู้ว่าแม้ขุมพลังของลู่ขุยจะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นห้า แต่พลังต่อสู้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังไม่อาจต้านได้เมื่อเขาเข้าควบคุมกองทัพพาฬ
นั่นเป็นเพราะว่าในสถานการณ์นั้น ลู่ขุยสามารถรวมพลังของทั้งกองทัพไว้ได้ บวกกับความแข็งแกร่งที่มี เขาก็สามารถต่อสู้ได้แม้แต่กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก!
นี่คือประโยชน์ของการควบคุมรัศมีจั้นยี่ ศาสตร์นี้สามารถทำให้คนคนหนึ่งสู้กับอีกคนหนึ่งที่มีขุมพลังสูงกว่าตนเองได้
ดังนั้นเมื่อลู่ขุยที่ค่อนข้างมีพรสวรรค์ด้านรัศมีจั้นยี่ได้ยินคำพูดของมู่เฉิน โทสะในใจก็ปะทุราวกับภูเขาไฟระเบิด รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมบนใบหน้าเหมือนจะแล่เนื้อเถือหนังมู่เฉินเลยทีเดียว
ผู้คนที่อยู่รอบด้านแลกเปลี่ยนสายตากัน ต่างพากันตกตะลึงไปกับคำพูดโอหังจากมู่เฉิน เพราะตัวมู่เฉินมักจะกำจายความรู้สึกอ่อนโยนและเงียบสงบอยู่เสมอ การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้พวกเขารู้สึกตกใจไม่น้อย
แต่ขณะที่รู้สึกตกใจ แต่ละคนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกับคำพูดของมู่เฉิน ยังไงลู่ขุยไม่ใช่คนโง่ กองทัพพาฬที่เขาควบคุมประสบความสำเร็จยอดเยี่ยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ที่นี่คงไม่มีใครกล้าพูดแบบมู่เฉิน
ดังนั้นมู่เฉินในตอนนี้จึงทำให้พวกเขารู้สึกว่าเขาดูเย่อหยิ่งจากวัยหนุ่มที่พลุ่งพล่าน…
แต่มู่เฉินไม่ได้สนใจความคิดของคนอื่น รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์พวยพุ่งราวกับมหาสมุทรรอบตัว เขาฉายสีหน้าสงบนิ่ง ไม่มีระลอกคลื่นใดในดวงตา
ลู่ขุยมีพรสวรรค์ศาสตร์รัศมีจั้นยี่อยู่ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาก้าวเป็นจั้นเจิ้นซือได้ นั่นเพราะความรู้ความเข้าใจในศาสตร์แขนงนี้ของเขายังอยู่ในระดับเริ่มต้นเท่านั้น
ศาสตร์ค่ายกลใช้พลังควบคุมเป็นวิถีขั้นต่ำ
ใช้หัวใจในการควบคุมเป็นวิถีขั้นสูง
ตอนนี้ลู่ขุยใช้พลังควบคุมซึ่งเป็นวิถีขั้นต่ำ ซึ่งด้อยกว่าหัวใจแห่งจั้นเจิ้นที่มู่เฉินได้เรียนรู้วิถีขั้นสูงไว้
ในขณะที่มีปริมาณและคุณภาพของกองทัพใกล้เคียงกัน การอยู่ภายใต้การควบคุมของสองวิถี ความแตกต่างสามารถทำให้เกิดพลังงานที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
มู่เฉินค่อยๆ กางมือออกแผ่คลื่นจิตออกไปสัมผัสกับรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ที่พวยพุ่ง ไม่มีปฏิริยาต่อต้านใดๆ ทั้งสองผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เสียงคำรามเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจในการต่อสู้กวาดออก แต่นั่นก็ไม่ได้รบกวนสภาพจิตใจของมู่เฉิน เนื่องจากสมาธิของเขาเติบโตขึ้นพร้อมกับรัศมีจั้นยี่
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
รัศมีจั้นยี่สีดำเมื่อมพวยพุ่งโดยไม่มีแรงลมรวมตัวกันรอบกายมู่เฉิน ทุกคนสัมผัสได้ว่ารัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ดูจะทบกันหลายชั้นในตอนนี้
แรงกดดันแผ่กระจายออกไปเงียบๆ
ทันใดนั้นม่านตาสีดำของมู่เฉินก็เปล่งประกายคมกล้าขณะที่รัศมีจั้นยี่พวยพุ่งออกมาพร้อมกับมือเขาที่กำเป็นหมัดทันที
ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่ทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้า ก่อนจะรวมตัวกันบนท้องฟ้า ขณะเกิดการรวมตัวก็ก่อร่างเป็นขนนกสีดำขนาดร้อยจั้งโดยมีสายฟ้าแล่นแปลบปลาบ พลังทำลายล้างอัดแน่น
เมื่อจอมยุทธ์รอบด้านเห็นขนนกสีดำ ดวงตาก็สั่นไหว กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ายังมีสีหน้าเปลี่ยนไป ชัดว่าพวกเขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่มาจากขนนกดำนั่น
“ไป”
มู่เฉินหลุบตาลงพลางสะบัดนิ้ว ขนนกสีดำทะลวงผ่านมิติ ราวกับกระบี่ขนนกฟาดฟันใส่กองทัพพาฬ ความคมกริบไม่มีใครเทียบเทียมได้
แคว๊ก!
กระบี่ขนนกยังไม่ทันกระทบเป้าหมาย แต่รอยแตกลึกก็ปรากฏบนพื้นดินเบื้องล่างแล้ว
“ข้าจะดูสิว่าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกจะสอนข้าใช้รัศมีจั้นยี่ได้ยังไง!”
ดวงตาลู่ขุยหดลงขณะรู้สึกถึงรังสีต่อสู้คมกริบที่มาจากกระบี่ขนนก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอะไร เขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายก่อนจะตะโกนออกมา “กองทัพพาฬ!”
“ฆ่า!”
เบื้องล่างกองทัพพาฬระเบิดเสียงคำราม รัศมีจั้นยี่สีเทาดำก็กระจายออกมาพร้อมกับฝ่ามือของลู่ขุยกำแน่น รัศมีจั้นยี่ป่าเถื่อนรวมกันก่อเป็นง้าวอสรพิษสีเทาดำแผ่ซ่านไอเย็นเยือก ทั่วบริเวณอุณหภูมิลดฮวบลง
“ง้าวพาฬปีศาจ!”
ลู่ขุยกระทืบเท้าขณะที่ง้าวสีเทาดำบิดตัวราวกับงู เมื่อพุ่งออกไปมิติก็ถูกผ่าออก อึดใจก็ปะทะกับกระบี่ขนนกดำจังใหญ่
ปัง!
คลื่นพลังรุนแรงกระเพื่อมบนท้องฟ้า ทำให้มิติบิดเบี้ยวอย่างต่อเนื่อง พลังสองสายพยายามกลืนกินซึ่งกันและกัน
ทุกคนจ้องมองท้องฟ้าเขม็ง
เมื่อพลังรุนแรงสองสายปะทะกัน สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงก็คือความจริงที่รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายเหนือกว่า ราวกับว่ามีเสียงสายฟ้าคำรามดังกึกก้องออกมาจากรัศมีจั้นยี่ ซึ่งป้องกันไอหนาวเย็นจากการรุกรัศมีจั้นยี่พาฬไม่ให้ล้ำเข้ามาได้
ตึง!
การยันกันคงอยู่ไม่นาน ง้าวปีศาจก็แตกออก แต่จังหวะนั้นกระบี่ขนนกก็หม่นแสงลงมาก เห็นชัดว่ามันสูญเสียพลังงานไปอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นเมื่อกระบี่ขนนกดำฟาดลงมาด้วยพลังงานที่เหลืออยู่ ก็ถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดายด้วยการสะบัดมือของลู่ขุย
ทว่าลู่ขุยกลับเผยสีหน้าน่าเกลียด เพราะทุกคนบอกได้ว่าการปะทะกันของรัศมีจั้นยี่เมื่อครู่ รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์เป็นฝ่ายเหนือกว่า
“นี่เหรอรัศมีจั้นยี่ที่แกต้องการจะสอนข้า? ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นนี่!” ลู่ขุยเอ่ยพร้อมกับสีหน้าเขียวคล้ำ
ทว่าคำพูดดังกล่าว ทำให้หลายคนต้องลอบเบ้ปาก พวกเขาไม่ได้ตาบอด การโจมตีกระบวนท่านี้ของมู่เฉินเป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อลู่ขุย เพียงแค่ว่าลู่ขุยปากแข็งไม่ยอมรับเอง
แต่ฉากนี้ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตัวมากขึ้นในใจ นั่นเพราะพวกเขาที่เคยคิดว่ามู่เฉินแค่พูดโอ้อวดไปอย่างนั้น แต่ตอนนี้พรสวรรค์น่าทึ่งของเขาในศาสตร์รัศมีจั้นยี่ไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามไปเพียงเพราะเขาอายุยังน้อย
พอได้ยินคำพูดของลู่ขุย มู่เฉินก็ยิ้มบางก่อนจะหลับตาลงกางแขนออกช้าๆ
ครืน! ครืน!
รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์เดือดพล่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สั่นสะเทือนฉับพลัน ก่อนที่ลำแสงขนาดใหญ่มากมายของรัศมีจั้นยี่จะพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
เมื่อลำแสงเหล่านั้นบรรจบกัน กระบี่ขนนกสีดำเป็นดงก็ก่อตัวขึ้น!
กระบี่เหล่านั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเมื่อครู่ที่มู่เฉินเรียกมาเลย ตอนนี้พอมารวมกันเป็นจำนวนมากกว่าสิบก็ทำให้จอมยุทธ์รอบด้านถึงกับสูดหายใจลึกสุดปอด
แค่กระบี่ขนนกเล่มเดียวก็สร้างปัญหาให้กับลู่ขุยแล้ว ตอนนีมีเป็นสิบ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังตกอยู่ในสภาพน่าอนาถได้!
“เขาควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้ถึงระดับนี้ได้อย่างไรกัน?!” เสียงอุทานไม่อยากเชื่อของบางคนดังขึ้น การรวมรัศมีจั้นยี่ได้ถึงระดับนี้ในครั้งเดียว ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ควบคุมกองทัพทั่วไปจะทำได้
บนท้องฟ้า จิ่วโยวกับลู่หวูก็เฝ้ามองภาพนี้ จิ่วโยวยิ้มบางขณะที่ลู่หวูเผยสีหน้าน่าเกลียดไปพลางเอ่ยเสียงขรึม “พวกข้าประมาทแล้ว มิน่าล่ะนายหญิงจิ่วโยวถึงไม่เป็นกังวลอะไรเลย เจ้าเด็กนั่นปกปิดความสามารถเอาไว้จนมิดเลยนะ!”
“ฟิ้ว!”
ขณะที่ทั่วบริเวณตกอยู่ในความโกลาหล มู่เฉินก็ไม่ได้ลังเลขณะที่สะบัดมือ ควบคุมกระบี่สิบกว่าเล่มให้พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วตรงไปยังลู่ขุยราวกับสายฟ้า
ใบหน้าของลู่ขุยเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างมาก แม้เขาจะรู้สึกว่าการควบคุมรัศมีจั้นยี่ของมู่เฉินน่าเหลือเชื่อ แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาต้องรับมือกับการโจมตีนี้ก่อน
เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็ไม่มีทางเลือกนนอกจากต้องยอมรับว่ามู่เฉินแข็งแกร่งกว่าเขาในการควบคุมรัศมีจั้นยี่ อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าตนเองไม่สามารถสร้างง้าวปีศาจในปริมาณมากได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกับมู่เฉิน…
“โล่พาฬปีศาจ!”
ตราประทับของลู่ขุยเปลี่ยนแปลงวูบไหว จากนั้นก็คำรามลั่น รัศมีจั้นยี่พาฬอันยิ่งใหญ่พวยพุ่ง เปลี่ยนเป็นม่านสีเทาดำ โดยมีภาพอสรพิษสีเทาดำเลื้อยอยู่บนม่านอย่างเห็นได้ชัด กำจายคลื่นหลิงน่ากลัวออกมา
เมื่อโล่ปีศาจปรากฏขึ้น กระบี่ขนนกก็ฉีกผ่านมิติซัดลงมาอย่างไร้ปรานี
ปัง!
เสียงโปร่งดังขึ้นในตอนนี้ ทุกครั้งที่กระบี่ขนนกกระแทกลงบนโล่ปีศาจ ก็จะส่งผลให้เกิดริ้วกระเพื่อมระเบิดอยู่บนพื้นผิว แต่พร้อมกับการสลายของกระบี่ทุกเล่ม โล่ปีศาจก็จะส่งเสียงร้องแหลมออกมา คลื่นกระเพื่อมแผ่ออกมาอย่างรวดเร็ว
ปัง! ปัง! ปัง!
กระบี่ขนนกแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่เมื่อแตกจนเหลือกระบี่เล่มสุดท้าย โล่ปีศาจก็สลายตัวลงเช่นกัน เผยให้เห็นสีหน้าเหี้ยมเกรียมของลู่ขุย
ตึง!
เผชิญกับกระบี่เล่มสุดท้าย ลู่ขุยก็ไม่ได้ถอยหนี แต่กลับพุ่งเข้าแทน เขาเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกระจาย เขารวมพลังทุกอณูบนหมัดชกไปที่กระบี่ขนนกเล่มสุดท้าย
บึ้ม!
หมัดทรงพลังไม่เพียงแต่จะทำให้มิติแตกกระจาย กระบี่ขนนกที่สามารถทำให้จอมยุทธขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าได้รับบาดเจ็บหนักได้ก็แตกสลายออกภายใต้หมัดของเขา!
เหล่าจอมยุทธ์ในบริเวณนี้ร้องลั่น ลู่ขุยไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เอาชนะได้ง่ายจริงๆ
เมื่อกระบี่ขนนกแตกสลาย รัศมีของลู่ขุยก็มาถึงขีดสุด เขายิงสายตามาที่มู่เฉินก่อนจะยิ้มเหี้ยม “ไอ้เหลือขอ แกคิดว่าจะสามารถเอาชนะข้าได้เพราะวิธีนี้เรอะ?!”
มู่เฉินมองลู่ขุยที่กำจายรัศมีชวนตะลึงออกมา ไม่เพียงแต่เขาจะไม่หวาดกลัว แต่ยังยิ้มด้วยความสนใจ จากนั้นก็พยักหน้าพรูลมหายใจขาวขุ่นออกมาพร้อมกับพึมพำ “ออกมาเถอะ…”
เมื่อเสียงของเขาจบ รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ไร้ขอบเขตที่ด้านหลังก็เดือดพล่าน เหมือนจะมีบางสิ่งกำลังปรากฏตัวออกมา
ความผันผวนแปลกประหลาดกระจายออก
คนที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติเป็นคนแรกก็คือลู่ขุย ดังนั้นรัศมีของเขาจึงสลายไปในทันที สีหน้าเหี้ยมเกรียมเปลี่ยนเป็นซีดเผือด เขามองส่วนลึกของรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ที่พลุ่งพล่านด้วยความหวาดกลัวจนขนหัวลุกชัน ราวกับว่าเห็นผี
“เป็นไปได้ยังไง?!”