TB:บทที่ 92 คำนับสามครั้ง

 

ฮ่าวฉางชิงยิ้มอย่างเสียไม่ได้ให้เฉินหลงแล้วเดินจากไป

ฮ่าวฉางชิงมองเฉินหลงในแง่ดีอย่างมาก เฉินหลงเป็นเด็กหนุ่มที่รับผิดชอบและมีศักยภาพ แม้เขาจะใจร้อนแต่เพราะความใจร้อนเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นคนหนุ่มเขาจึงรับเรื่องนี้ได้ ดังนั้นหากได้เฉินหลงเป็นลูกเขยเขาคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลว

“เสี่ยวเหวิน พี่ได้ยินมาว่าเราเรียนที่มอจินเฉิงหรือ เรียนคณะอะไรละ” เมื่อฮ่าวฉางชิงออกไปแล้ว จู่ๆเฉินหลงที่มองฮ่าวฉิเหวินก็ไม่รู้จะคุยอะไรต่อ เขาเลยถามคำถามน่าเบื่อไป

“ฉันเรียนการเงินค่ะ” ฮ่าวฉิเหวินตอบ

“การเงินหรือ” แน่นอนว่าหน้าตาของฮ่าวฉิเหวินใช้หาเลี้ยงตัวเองได้แต่เธอเลือกที่จะพึ่งความสามารถตัวเองทำงานมากกว่า เฉินหลงประหลาดใจกับจุดนี้

“เหวินเหวิน อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ บังเอิญจัง”

ก่อนที่ฮ่าวฉิเหวินจะได้พูดอะไรต่อก็มีเสียงขัดจังหวะดังขึ้น

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ฮ่าวฉิเหวินไม่ต้องหันไปดูว่าเป็นเสียงของใครเธอก็รู้ได้ เธอทำหน้าบึ้ง

“จางเสี่ยว เราไม่ได้สนิทกัน นายเรียกฉันได้แค่เพื่อนร่วมห้องฮ่าวหรือฮาวซือเม่ แต่ห้ามเรียกฉันว่าเหวินเหวิน” ฮ่าวฉิเหวินหันกลับไปมองชายหน้าตาหยิ่งยโสคนหนึ่ง

สีหน้าของจางเสี่ยวเปลี่ยนไปนิดหน่อยหลังได้ฟังคำพูดที่ไม่สุภาพนักจากฮ่าวฉิเหวิน ฮ่าวฉิเหวินส่งสายตา “อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันไม่สนิทกับหมอนี่” ให้เฉินหลง เมื่อจางเสี่ยวได้เห็นแบบนั้น ใจของเขาเกิดประกายแห่งความหึงหวงขึ้นมา

จางเสี่ยวเป็นทายาทเศรษฐีอีกคนหนึ่ง สมบัติของครอบครัวเขามีมูลค่ามากกว่าร้อยล้านหยวน และเพราะส่วนสูงถึงร้อยเก้าสิบเซนติเมตรและเส้นสายของครอบครัว เขาจึงได้ใช้โควตาพิเศษของนักกีฬาบาสเกตบอลเพื่อเข้าคณะกีฬาของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และเพราะพลังกายของเขา เขาจึงเป็นได้เพียงตัวสำรอง และทำได้เพียงเฝ้าตู้กดน้ำและโยนผ้าเช็ดตัวให้คนที่แข่งเท่านั้น เขาเข้าสนามแข่งไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่จางเสี่ยวเป็นคนหน้าตาดี ร่วมกับส่วนสูงและความเป็นทายาทเศรษฐีแล้ว เขาจึงเป็นที่รู้จักในมหาวิทยาลัย หญิงสาวทั้งหลายยอมทิ้งตัวลงในอ้อมแขนเขา แล้วเขาก็ไม่ปฏิเสธพวกเธอเสียด้วย แต่เมื่อเขาได้พวกเธอมาครอบครองแล้วเขาก็ทิ้ง และชื่อเขาจะติดอยู่ในใจพวกเธอ

นิสัยจางเสี่ยวเหมือนกับชื่อของเขาที่หยิ่งยโสร่วมกับความเป็นทายาทสืบทอดของมหาเศรษฐี  คำว่าคนใจง่ายไม่มีผลต่อจิตใจเขาเลยและแม้เป็นเช่นนั้นตัวเขาก็มีผู้หญิงเข้าหาไม่เคยขาด

ด้วยความ “บังเอิญ” ครั้งหนึ่ง จางเสี่ยวได้รู้เรื่องสาวสวยคนหนึ่งที่เรียนการเงินจากเพื่อนของเขา และเมื่อเขาได้พบฮ่าวฉิเหวินเขารุกเข้าหาเธอทันที แต่ฮ่าวฉิเหวินนั้นไม่ได้เป็นเด็กสาวที่มองอะไรเพียงผิวเผินที่จะชอบจางเสี่ยวเพียงเพราะเงินทอง เธอไม่สนใจใน คนร่ำรวย เลยแม้แต่น้อย

ถึงกระนั้นจางเสี่ยวไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ อีกอย่างเขาไม่เคยได้ยินมาว่าฮ่าวฉิเหวินเคยมีแฟน ในใจของจางเสี่ยวจึงมีสถานะที่เขาคิดไปเองมอบให้ฮ่าวฉิเหวิน และเมื่อเขาได้เห็นฮ่าวฉิเหวินและเฉินหลงที่เป็นหนุ่มหล่ออยู่ด้วยกันแล้ว แถมยังดูน่าสงสัยในความคิดเขาด้วย เขาจึงรู้สึกหึงหวงในทันที เขาจะหาเรื่องกับหาเฉินหลง

“เพื่อนร่วมชั้นฮ่าว คนนี้แฟนเธอเหรอ” จางเสี่ยวมองเฉินหลงด้วยสีหน้าร้ายกาจ

“คุณเพื่อนร่วมชั้นจาง คุณคิดผิดแล้ว ผมเป็นแค่เพื่อนของเสี่ยวเหวิน ไม่ใช่แฟนครับ เป็นแค่เพื่อน ผมว่าคุณรักษาความเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับฮ่าวฉิเหวินไว้ดีๆเถอะ” เฉินหลงมองจางเสี่ยวและกล่าวตอบเบาๆ

ถึงเฉินหลงจะพูดไม่ชัดเจน แต่ความหมายเป็นดังที่เขาพูด จางเสี่ยวเป็นคนไม่ดีและอะไรที่ไม่ดีก็ไม่ควรให้เข้าบ้านของเสี่ยวเหวิน

ตอนแรกฮ่าวฉิเหวินไม่ชอบใจที่ได้ยินคำพูดครึ่งแรกของเฉินหลง แต่ครึ่งหลังทำให้ฮ่าวฉิเหวินรู้สึกสบายใจมากขึ้น เขาพูดแก้ตัวให้ตัวเอง

“นายว่าอะไรนะ” แม้จางเสี่ยวจะเป็นคนหยิ่งยโสแต่เขาไม่ได้โง่ เขาเข้าใจความหมายที่เฉินหลงจะสื่อ

“อย่าพูดแบบนั้นสิ” เฉินหลงพูดอย่างใจเย็น

“ยุ่งเรื่องตัวเองไปเถอะ” จางเสี่ยวตอบกลับเฉินหลงด้วยน้ำเสียงแกมขู่

ถ้าที่นี่ไม่ใช่ที่สาธารณะ จางเสี่ยวคงใช้ศิลปะป้องกันตัวใส่เฉินหลงแล้ว

“จางเสี่ยวระวังคำพูดตัวเองไว้เถอะ” ฮ่าวฉิเหวินมองจางเสี่ยวแบบไม่ชอบใจนัก

การพูดจากรรโชกแบบนี้เหมือนกับข่าวลือเรื่องความโอหัง แม้จะอยู่ต่อหน้าเธอเขายังกล้าขู่เพื่อนของเธอเลย

“เสี่ยวเหวิน อย่าไปยุ่งกับคนไร้คุณภาพเลย ไปกันเถอะ” เฉินหลงว่า เขาเรียกพนักงานมาเก็บเงิน จับมือฮ่าวฉิเหวินพร้อมจะออกไปจากร้าน

ในตอนนั้นจู่ๆคนที่สูงเท่าๆกับจางเสี่ยวหลายคนที่น่าจะเล่นตำแหน่งป้องกันในทีมเดียวกับจางเสี่ยวได้เข้ามาขวางทางไว้

แม้จางเสี่ยวจะเป็นเพียงตัวสำรองที่เล่นจริงในสนามไม่ได้แต่เขาพึ่งเงินเพื่อชนะใจเพื่อนร่วมทีม ส่วนใหญ่นักกีฬาที่เล่นบาสเกตบอลในมหาลัยมักไม่ใช่คนรวยอะไรและมีเงินไม่มาก

เมื่อเฉินหลงขัดคำพูดเธอ ฮ่าวฉิเหวินรู้สึกถึงความรู้สึกที่เธอไม่เคยมีมาก่อน

ความรู้สึกที่คล้ายกับความประหลาดใจ ความเขินอาย ความอบอุ่น และความนุ่มนวล ทว่าเมื่อจางเสี่ยวพูดขัดขึ้นมา ฮ่าวฉิเหวินรู้สึกได้ถึงความชั่วร้ายเป็นพิเศษ ไม่ใช่ว่าเธอกำลังเห็นหมาหมู่จะทำร้ายคนอื่นอยู่หรือ

ตอนที่ฮ่าวฉิเหวินกำลังจะพูดต่อไปนั้น เฉินหลงได้กล่าวออกมา

“ปล่อยฉันไปเถอะ” เฉินหลงว่านิ่งๆ

แต่คล้ายกับว่าจางเสี่ยวไม่ได้ยินอย่างที่คนปกติได้ยิน เขาขวางทั้งสองไว้ไม่ขยับไปไหน

“เด็กดี อย่าขวางทางเลยนะ ไม่ได้ยินหรือไง ปกติถ้ามีหมามาขวางทาง ฉันจะไล่พวกมันไปไกลๆนะ” เมื่อได้ยินคำพูดนั้นเฉินหลงที่จับมือฮ่าวฉิเหวินไว้ข้างหนึ่งก็ใช้มืออีกข้างดึงให้จางเสี่ยวออกไปพ้นทาง เหมือนกับเด็กสามขวบที่โดนผู้ใหญ่ผลักไม่มีผิด จางเสี่ยวลงไปนั่งกับพื้น เขามองเฉินหลงทีละน้อยด้วยความตกใจ

เฉินหลงมองเขาด้วยความรังเกียจ เขาจูงฮ่าวฉิเหวินออกไปข้างนอก

“รอก่อนสิ ต้องมีสักทางให้เราจัดการเรื่องนี้กันเอง” จางเสี่ยวเรียกเฉินหลงในทันที

เมื่อได้ยินจางเสี่ยวว่าเช่นนั้น เฉินหลงหยุดเดินและหันทั้งตัวไปมองจางเสี่ยว

“คือหมายความว่าจะสู้ตัวต่อตัวกับฉันหรือ”

“ใช่ประมาณนั้น แต่พวกเราก็เป็นผู้เจริญแล้ว เราไม่ควรจะสู้กันด้วยกำลัง ไปแข่งบาสเกตบอลกันดีกว่า ส่วนสูงแบบนายคงเล่นเป็นใช่ไหม กล้าแข่งไหมละ” จางเสี่ยวกล่าวพลางลุกขึ้นจากพื้น

จางเสี่ยวกลัวพละกำลังของเฉินหลง เขาเลยบอกให้แข่งบาสเกตบอลตัวต่อตัวแทน แม้กำลังของเขาจะแข็งแกร่งและช่วยให้เล่นบาสเกตบอลได้ดี แต่จางเสี่ยวไม่คิดว่าเขาจะชนะเฉินหลงได้ การที่เขาเป็นตัวสำรองทำให้เขาได้ซ้อมบาสเกตบอลทุกวันกับทีมของเขา จางเสี่ยวได้เปรียบมากหากเทียบกับผู้เล่นหรือคนทั่วๆไป

ในสายตาจางเสี่ยว เฉินหลงเป็นเพียงคนทั่วไปคนหนึ่ง

“ได้สิ อย่างไรก็น่าเบื่ออยู่แล้วที่จะแข่งกันตัวต่อตัว ทำไมเราไม่สร้างสีสันอีกเล่า” เฉินหลงเห็นด้วย แต่เขาไม่อยากทำ หากคุณมายุ่งกับคนอื่นเอง ก็ไม่ควรโทษคนอื่นหากโดนแกล้งกลับ

“ว่าอย่างไร ถ้าหากใครแพ้ จะต้องลงไปคำนับอีกคนสามครั้ง ตกลงไหม”

คำของเฉินหลงส่งไปหาจางเสี่ยวตรงๆ ที่เขาพนันเช่นนี้กับเฉินหลงเพราะจางเสี่ยวจะเล่นไม่ซื่อกับเฉินหลง

ที่จางเสี่ยวไม่พูดเรื่องใครแพ้จะปล่อยฮ่าวฉิเหวินไปเพราะมาตรฐานที่ต่ำของเขาและเพราะตราบใดที่เขาชนะ เฉินหลงจะได้ไม่มีหน้ามาเจอฮ่าวฉิเหวินอีกด้วย