ทิศทางของอนาคต โดย Ink Stone_Fantasy
‘เจ้าหมายถึงแม่มดอาญาสิทธิ์เหรอ? แต่เกรงว่าราชาของคนธรรมดาคงจะไม่ได้คิดเช่นนี้…’
‘พลังไม่ได้หมายถึงอาวุธและพละกำลังเพียงอย่างเดียว’ พาซาร์ชี้ไปยังโซอี้ ‘หัวใจสำคัญที่ทำให้อาณาจักรของมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจทดแทนได้ และนั่นก็เป็นข้อได้เปรียบของพวกเราพอดี’
‘อย่างนี้นี่เอง!’ เซลีนเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาทันที ‘เทียบกับความสามารถในการต่อสู้แล้ว นี่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ’
“หา…” โซอี้กุมขมับ “ข้าไม่เอาด้วยหรอกนะ เรื่องนี้ให้พวกฟาลดี้เป็นคนจัดการแล้วกัน”
‘เฮ้ พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่เนี่ย?’ อาลิเธียพูดอย่างไม่พอใจ ‘ทำไมข้าฟังไม่เห็นรู้เรื่องเลย?’
“พาซาร์กำลังพูดถึงความรู้” อมนุษยที่อายุน้อยที่สุดเบะปาก “ในโลกแห่งความฝันของฝ่าบาทมีทั้งโรงเรียน ห้องสมุดแล้วก็พวกนักวิชาการใช่ไหมล่ะ? ในเมื่อทุกสิ่งที่อยู่ในโลกแห่งความฝันล้วนแต่มาจากความทรงจำของพระองค์ อย่างนั้นทุกคนก็น่าจะสามารถเรียนรู้มันได้ เมื่อเทียบกับการไปนั่งคัดลอกหนังสือมาแล้ว สู้เรียนรู้มันทั้งหมดเลยดีกว่า ขอเพียงพวกเราเจียดเวลาหาความสุขส่วนหนึ่งไปเรียนรู้ความรู้พวกนั้นตั้งแต่พื้นฐานเลย หลังผ่านไปสิบปี ฝ่าบาทก็จะมีผู้ช่วยที่เข้าใจเจตนาของพระองค์อย่างถ่องแท้เพิ่มขึ้นมาอีกกลุ่ม”
‘เรี่ยวแรงของคนธรรมดาจะถดถอยไปตามกาลเวลา แต่พวกเรากลับไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ เวลา 100 ปีเพียงพอจะทำให้แม่มดอาญาสิทธิ์กลายเป็นผู้สืบทอดในอุดมคติของฝ่าบาท นี่ต่างหากถึงจะเป็นข้อได้เปรียบของพวกเรา’ พาซาร์พูดเสริมขึ้นมาอีกว่า ‘โดยเฉพาะในตอนที่พระองค์ทรงจากโลกนี้ไปแล้ว ก็จะมีเพียงพวกเราที่รู้ว่าโลกนั้นมีเป็นอย่างไร’
‘ถ้าอยากจะเดินทางเส้นทางที่ฝ่าบาททรงบุกเบิกเอาไว้ ก็มีแต่ต้องเดินผ่านทางพวกเรา เมื่อเป็นแบบนี้ ต่อให้โยนสถานะแม่มดทิ้งไป พวกเราก็จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก ในอีกแง่หนึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์สำหรับพวกเราก็คือการพยายามล้มล้างเจตนารมณ์ของฝ่าบาท ซึ่งพวกสโมสรแม่มดไม่มีทางที่จะนั่งดูเรื่องนี้เฉยๆ แน่นอน ในทางกลับกัน ขอเพียงพวกเราควบคุมความรู้เอาไว้ในมือ มันก็จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกฝ่าย ต่อให้เราไม่มีความสามารถในการต่อสู้ แต่เราก็จะกลายเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งได้’
‘นี่มันวิธีของพวกสำนักซีคลาวด์ไม่ใช่เหรอ?’ อาลิเธียพูดพึมพำขึ้นมา
ตามตำนานเล่าว่าในยุคสมัยที่มนุษย์ยังเป็นพวกป่าเถื่อนอยู่นั้น ได้มีนักปราชญ์บางคนจับกลุ่มกันขึ้นมา แล้วทำการกระจายเปลวไฟแห่งอารยธรรมออกไป พวกเขาถ่ายทอดความรู้เรื่องการหลอมและตีเหล็ก การทอผ้า การปลูกข้าวเลี้ยงสัตว์ให้กับผู้คน จนกระทั่งมนุษย์กระจายตัวออกไปทั่วทั้งดินแดนแห่งรุ่งอรุณ หลังจากนั้นหลายร้อยปี ชื่อเสียงและบารมีของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้มีอำนาจทุกคนพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะดึงพวกเขามาเป็นพวก จนทำให้สมาชิกของสำนักจำนวนไม่น้อย จากที่เป็นผู้เผยแพร่ความรู้ก็กลายเป็นของใช้ส่วนตัวของพวกผู้มีอำนาจ
หลังจากที่หัวหน้านักปราชญ์รู้ถึงเรื่องนี้เขา เขาก็ได้พากลุ่มนักปราชญ์ที่เหลือย้ายออกจากเมืองใหญ่ๆ แล้วตั้งกฎขึ้นมาว่าไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก ให้ตั้งใจศึกษาความลับของโลกนี้ และคลายปริศนาของซากโบราณสถาน เนื่องจากสถานที่ที่พวกเขาย้ายไปอยู่ใหม่นั้นอยู่บนยอดเขาสูง แล้วก็มักจะมีเมฆคอยปกคลุมอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงเรียกที่นั่นว่าสำนักซีคลาวด์
ถึงแม้คนเหล่านี้จะไปมาหาสู้กับมนุษย์ที่อยู่ด้านล่างน้อยมาก แต่สถานะของพวกเขายังคงมีความพิเศษอย่างมาก ไม่ว่าอำนาจการปกครองภายในวังจะเปลี่ยนไปยังไง พวกเขาก็ยังให้ความเคารพสำนักซีคลาวด์อยู่ ทุกปีจะมีการส่งข้าวของเครื่องใช้กับลูกศิษย์ที่ยังหนุ่มสาวไปให้นักปราชญ์ช่วยชี้แนะ
แต่ช่วงเวลาแบบนี้ก็ดำเนินไปได้ไม่นาน จากนั้นปีศาจก็บุกเข้ามารุกรานมนุษย์ แล้วก็เกิดสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งขึ้น และในตอนนั้นก็ได้มีข่าวลือข่าวหนึ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ดีแพร่สะพัดไปทั่ว ข่าวลือบอกว่าคนที่พาพวกปีศาจที่น่ากลัวเหล่านี้เข้ามายังดินแดนแห่งรุ่งอรุณก็คือนักปราชญ์คนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน
จากนั้นชื่อเสียงของสำนักซีคลาวด์ก็ตกลงด้วยเหตุนี้ เมื่อไม่มีผู้ปกครองคนไหนยินดียื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ สุดท้ายพวกเขาก็ถูกปีศาจกลืนกินและกลายเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ ในประวัติศาสตร์
‘อย่างน้อยพวกเราก็ไม่มีทางจับมือกับพวกปีศาจแน่นอน’ เซลีนพูดปฏิเสธ ‘ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งผู้ดูแลความรู้ก็ฟังดูไม่เลวเหมือนกัน เทียบกับชื่อที่สถาบันค้นคว้าศาสตร์ลี้ลับตั้งให้แล้วน่าฟังกว่าตั้งเยอะ’
‘เอาเป็นว่า นี่เป็นแค่เพียงทิศทางที่เราจะเดินหน้าไปเท่านั้น เพราะแผนที่เกี่ยวข้องกับอนาคตทั้งหมดมันจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าเราเอาชนะปีศาจไม่ได้’ พาซาร์พูดยิ้มๆ พร้อมกับเอาหนวดหลักตบไปที่หัวเซลีนเบาๆ ‘เอาล่ะ พวกเราไปทำการปรับแกนเวทมนตร์สำหรับถ่ายโอนวิญญาณดีกว่า เอาไว้ด้านนอกเฉลิมฉลองกันเสร็จแล้ว ทางนี้ก็น่าจะเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน ข้าว่าฝ่าบาทคงทนรอถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวแน่นอน’
……
ในขณะที่ชาวเมืองกำลังเฉลิมฉลองในชัยชนะอยู่นั้น โรแลนด์ก็ได้พาสมาชิกสำคัญๆ ของกองทัพพันธมิตรเข้าไปยังเมืองชายแดนที่สาม
เขารอไม่ไหวแล้วจริงๆ
ถ้าบอกว่าเมืองของปีศาจที่อยู่ในเศษเสี้ยวความทรงจำนั้นเป็นข้อมูลเก่าเมื่อหลายร้อยปีก่อน อย่างนั้นสิ่งที่อยู่ในหัวของปีศาจระดับสูงตัวนี้ย่อมต้องเป็นข้อมูลล่าสุดของพวกมันอย่างแน่นอน ทว่าเนื่องจากวิธีการเค้นเอาข้อมูลแบบปกตินั้นใช้กับพวกปีศาจไม่ได้ผล โอกาสในครั้งนี้ถึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
เพียงแต่ในตอนที่เหยียบเข้าไปในโถงแกนเวทมนตร์ เขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
เขาเห็นแม่มดทาคิลายืนเป็นแถวเรียงหนึ่งอย่างเป็นระเบียบอยู่ตรงกลางโถง ส่วนคนที่ยืนอยู่หัวแถวก็คือแม่มดระดับสูงที่อยู่ในร่างต้นแบบทั้งสามคน
จากนั้นแม่มดอาญาสิทธิ์ก็ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาขนานกับพื้น นิ้วทั้งสิบซ้อนทับกันอยู่ตรงหน้าอก พร้อมกับโค้งตัวลงให้กับเขา
วิธีการทำความเคารพที่แปลกประหลาดเหล่านี้เขาเคยเห็นมาแล้วหลายครั้ง แต่ว่านั่นเป็นการทำความเคารพที่แม่มดระดับล่างจะใช้กับแม่มดระดับสูงเท่านั้น แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปากถามอะไร ร่างเปลือกทั้งสามคนก็เอาหนวดขึ้นมาซ้อนทับที่หน้าอกเหมือนกัน จากนั้นเสียงของพาซาร์ก็ดังขึ้นมาให้หัวของเขา ‘ขอบพระทัยพระองค์มากเพคะ ฝ่าบาท ทาคิลาขอสวามิภักดิ์ต่อพระองค์ไปตลอดกาลเพคะ’
นี่ทำให้โรแลนด์รู้สึกค่อนข้างแปลกใจทีเดียว คำพูดขอบคุณในช่วงแรกนั้นยังพอเข้าใจได้อยู่ นั่นน่าจะเป็นเพราะพวกเธอมองเห็นความหวังที่จะเอาชนะปีศาจและชำระแค้น แต่คำพูดท่อนหลังนั้นดูแปลกๆ อย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้กองทัพพันธมิตรจะเรียกร้องให้พันธมิตรทุกคนต้องทำงานให้กับผู้นำ แต่ท่าทีที่เคารพนอบน้อมของอีกฝ่ายนั้นกำลังบอกเขาว่าการทำงานให้กับการสวามิภักดิ์มันเป็นคนละเรื่องกัน
ทันใดนั้นเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าเดิมแม่มดระดับสูงทั้งสามนั้นก็เป็นแม่มดระดับบนของสมาพันธ์ และคนที่พวกเธอต้องทำความเคารพเช่นนี้ก็มีแค่สุดยอดอมนุษย์ทั้งสามเท่านั้น
นี่หมายความว่าพวกเธอมองเขาเป็นสามผู้นำของสมาพันธ์แล้วเหรอ?
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมท่าทีของอีกฝ่ายถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ แต่ในฐานะที่กุมอำนาจมานานขนาดนี้ ต่อให้เขาโง่เรื่องการปกครองแค่ไหน เขาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามานั่งซักไซร้หาเหตุผล
โรแลนด์กระแอมเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้เหมือนมันเป็นการทำความเคารพแบบธรรมดา “ไม่ต้องขอบคุณก็ได้ ชัยชนะครั้งนี้เป็นของทุกคน เออใช่ การถ่ายโอนวิญญาณเตรียมพร้อมไปถึงไหนแล้ว?”
‘สามารถเริ่มได้ทุกเมื่อเพคะ’ พาซาร์ชี้ไปยังแกนเวทมนตร์ที่ส่องแสงสีม่วงอยู่ด้านหลัง ‘เชิญตามหม่อมฉันมาเลยเพคะ’
เมื่อเดินตามเธอไปถึงแกนเวทมนตร์ โรแลนด์ก็สังเกตเห็นเตียงหินสองหลังที่ตั้งอยู่ข้างๆ เตียงฝั่งซ้ายมีนักรบอาญาสิทธิ์ผู้ชายที่ไม่มีขาทั้งสองข้างคนหนึ่งนอนอยู่ ผมของเขาเป็นสีขาว เห็นได้ชัดว่าถูกเปลี่ยนร่างมาเป็นรบอาญาสิทธิ์นานแล้ว ส่วนเตียงด้านขวาก็มีร่างที่แทบจะไม่เหลือเค้าเดิมที่ดูคล้ายคนนอนอยู่ แขนขาของมันถูกตัดขาด แม้แต่เกราะสีดำบนตัวก็มีรอยยุบอยู่เต็มไปหมด ยากที่จะจินตนาการได้ว่ามันยังมีชีวิตอยู่ในสภาพแบบนี้ได้ยังไง
“ปกติแล้วมันไม่มีทางอยู่รอดมาถึงตอนนี้ได้เพคะ” โซอี้เหมือนจะมองเห็นความสงสัยของเขา เธอเป็นฝ่ายอธิบายออกมาเองว่า “ถ้าไม่มีการรักษาของคุณหนูนาน่า เกรงว่ามันคงจะตายไปในวันนั้นแล้วเพคะ นอกจากนี้ท่านอกาธายังมีส่วนช่วยอย่างมาก ไม่อย่างนั้นพวกหม่อมฉันคงไม่สามารถเก็บรักษาหมอกแดงที่ยึดมาได้นานขนาดนี้ แต่ว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจมันฟื้นตัวกลับมาได้ระหว่างทาง พวกหม่อมฉันก็เลยต้องทำการปรับอะไรนิดหน่อย มันก็เลยออกมาเป็นสภาพเหมือนที่เห็นนี่แหละเพคะ”
“ปรับ?” เวนดี้ถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำยังไง?”
“ง่ายมาก ถ้ารู้สึกว่ามันฟื้นตัวขึ้นมาก็แทงมันไปทีนึง พยายามให้มันใช้พลังเวทมนตร์ไปกับการรักษาตัวเอง เพียงแต่ข้าเพิ่งจะเคยทำแบบนี้เป็นครั้งเลย ก็เลยมีอยู่หลายครั้งที่เกือบจะทำมันตาย” โซอี้พูดเหมือนยังรู้สึกไม่พอใจ
นี่เป็นเรื่องที่เธออยากจะทำมากที่สุดจริงๆ ด้วย
บรรยากาศตรงนั้นดูตรึงเครียดขึ้นมาทันที โรแลนด์จึงกระแอมเล็กน้อยพร้อมพูดออกมาว่า “อย่างนั้น เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา….เราเริ่มถ่ายโอนวิญญาณกันเลยดีกว่า”
‘เพคะฝ่าบาท’ เซลีนยื่นหนวดหลักออกมา ก่อนจะเสียบเข้าไปในแกนเวทมนตร์