สอบสวนวิญญาณ (1) โดย Ink Stone_Fantasy

กระสวยโครงกระดูกของแกนเวทมนตร์ขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีม่วงไหลเวียนขึ้นไปบนโครงกระดูก ทำเอาภายในโถงถูกย้อมไปด้วยสีม่วงเย็นๆ จากนั้นแกนเวทมนตร์ขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่เหนือพื้น 2 เมตรก็ค่อยๆ หมุนขึ้นมา บวกกับแสงที่สว่างวูบวาบ ทำให้มันดูแล้วคล้ายกับโคมไฟม้าวิ่งในโลกยุคหลัง

แต่โครงกระดูกที่ขยายตัวออกมาได้เองนั้นกำลังบอกโรแลนด์ว่าพลังเวทมนตร์เป็นสิ่งที่ ‘ฟิสิกส์’ ยังไม่สามารถอธิบายได้ เห็นๆ อยู่ว่ามันไม่มีอะไรยึดอยู่เลย แต่โครงกระดูกเหล่านั้นกลับสามารถกางออกได้โดยที่ไม่กระเด็นหลุดออกไป ราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นกำลังจับพวกมันเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น

“อารยธรรมใต้ดินสร้างของพวกนี้ขึ้นมาได้ยังไง?” เขามองไปทางพาซาร์ “ถ้าให้วัสดุที่ใกล้เคียงกับพวกเจ้า พวกเจ้าสามารถสร้างมันออกมาได้ไหม?”

‘ตอนนี้เกรงว่ายังไม่ได้เพคะ ฝ่าบาท’ พาซาร์ส่ายหัว ‘ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่การศึกษาเวทมนตร์ของเผ่าพันธุ์นี้เหนือไปจากสมาพันธ์มาก เซลีนนั้นเป็นหัวกะทิของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลี้ลับแล้ว แต่ในช่วงเวลาหลายร้อยปีมานี้ นางทำได้เพียงแค่เรียนรู้ว่าจะควบคุมพวกมันอย่างไรเท่านั้นเพคะ’

‘คนไม่พอก็เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญเพคะ’ เซลีนหันกลับมาตอบ ‘การวิเคราะห์โครงสร้างของมันไม่ใช่แค่การใส่เวทมนตร์เข้าไปเฉยๆ แต่มันจำเป็นต้องรับรู้ถึงจุดสัมผัสนับหมื่นในเวลาเดียวกันด้วยถึงจะทำให้มองเห็นตัวมันทั้งหมดอย่างชัดเจน ซึ่งผิวหนังของคนธรรมดานั้นไม่สามารถทำแบบนี้ได้เพคะ’

“พูดอีกอย่างคือถ้าอยากจะเข้าใจมัน ก็ต้องกลายเป็นเหมือนพวกเจ้าตอนนี้ใช่ไหม?” ทิลลีถาม

‘ถูกต้อง เหมือนกับหนอนฤดูร้อนที่ไม่รู้จักความหนาวเย็นของฤดูหนาว เหมือนกับคนหูหนวกที่ไม่ได้ยินเสียงของสรรพสิ่ง’ เซลีนพูดอย่างจนปัญญา ‘ข้าไม่สามารถใช้ภาษามนุษย์มาบรรยายความรู้สึกทั้งหมดที่ข้ารับรู้ได้ เพราะว่าคำศัพท์ที่มีอยู่ในตอนนี้มันไม่มีคำไหนที่พอจะแสดงออกมาได้เลย ดังนั้นตอนนี้จึงมีแค่ข้ากับพาซาร์เท่านั้นที่สามารถควบคุมแกนเวทมนตร์ได้’

“เดี๋ยวนะ…หรือเจ้าจะบอกว่าหนวดหลักที่ดูใหญ่โตของร่างต้นแบบมันไวต่อสัมผัสอย่างมาก?” โรแลนด์พูดออกมาด้วยความประหลาดใจ

‘ไม่ใช่แค่หนวดหลักเพคะ แต่ทุกหนวดต่างก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน’ เซลีนตอบ ‘พวกมันสามารถแยกแยะความร้อนเย็น กลิ่น ความชื้นความแห้ง…แล้วก็การสัมผัสแม้เพียงน้อยนิด หนวดหลักนั้นสามารถรับรู้ได้ถึงการไหลเวียนของเวทมนตร์ ดังนั้นทันทีที่ย้ายเข้ามาในร่างต้นแบบ ก็จะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับร่างกายในอดีตได้อีกต่อไปเพคะ เอ่อ พระองค์ทรงสนใจมันเหรอเพคะ?’

“เปล่าๆ ข้าก็แค่ถามเรื่อยเปื่อยน่ะ…” โรแลนด์เบือนหน้าหนี ในเวลาสำคัญแบบนี้ อย่าเพิ่งคิดเรื่องพวกนี้จะดีกว่า ต่อให้หนวดหลักจะไวต่อความรู้สึกแค่ไหน แต่มันก็เป็นอาวุธอันทรงพลังของร่างต้นแบบ เขาจำที่ฟิลลิสเคยบอกได้ว่าถ้าวัดกันแต่เรื่องขอพละกำลังเพียงอย่างเดียว ร่างต้นแบบนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าแม่มดอมนุษย์เลย

แต่จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาๆ จะไปศึกษาพลังเวทมนตร์ได้เลย กระทั่งการรับรู้ก็ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปศึกษามันได้อย่างไร? นี่ก็หมายความว่าก่อนที่จะมีเครื่องมือในการสำรวจที่น่าเชื่อถือ เจ้าสิ่งนี้คือวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งสำหรับคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

‘แกนหมายเลข 3 ทำการปรับเป็นรูปแบบสำหรับถ่ายโอนวิญญาณ การถ่ายโอนกำลังจะเริ่มขึ้น’ เสียงของเซลีนดังแทรกความคิดเขาขึ้นมา จากนั้นเขามองเห็นพาซาร์กับอาลิเธียต่างก็ยื่นหนวดหลักเข้าไปในกระสวยแกนเวทมนตร์

โรแลนด์ลืมตาโต เหมือนกลัวว่าจะพลาดอะไรไป

แต่ความจริงขั้นตอนนี้กลับไม่มีอะไรพิเศษเลย เขาเป็นลำแสงสองสายพุ่งออกมาจากแกนเวทมนตร์ ก่อนจะไปปกคลุมที่เตียงหินด้านล่างทั้งสองเตียง ขณะเดียวกันพลังเวทมนตร์ที่อยู่ในโครงกระดูกก็ไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นไม่กี่นาที เซลีนก็ถอนหายใจออกมา ‘โชคดีทีเดียวเพคะ เจ้านี่มันถูกแกนเวทมนตร์กระตุ้นได้จริงๆ ด้วย ตอนนี้ก็แค่รอให้มันไปอยู่ในร่างของทหารอาญาสิทธิ์เพคะ’

“แค่นี้เหรอ?” โรแลนด์กะพริบตา

‘ความจริงการถ่ายโอนวิญญาณก็คือการแลกเปลี่ยนกุญแจเพคะ’ พาซาร์อธิบาย ‘ถ้าหากมองผ่านหินเวทมนตร์หลากสี พระองค์จะทรงเห็นว่าลำแสงเวทมนตร์ที่เป็นของปีศาจนั้นถูกย้ายมาที่ตัวทหารอาญาสิทธิ์เพคะ’

เมื่อคำพูดของแม่มดโบราณจบลง จู่ๆ นักรบอาญาสิทธิ์ที่นอนแน่นิ่งพลันลืมตาขึ้นมา!

ใบหน้าของเขายู่เข้ามาจนดูดุร้ายอย่างมาก ในลำคอไม่เพียงแต่จะส่งเสียงคำรามแปลกๆ ออกมา แต่ร่างกายยังสั่นขึ้นมาไม่หยุดด้วย นิ้วมือเองก็กางชี้ไปคนละทิศคนละทาง ภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ทำเอาแม่มดที่ยืนดูอยู่รอบๆ พากันถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว

“จู่ๆ ก็ถูกจับยัดใส่เข้าไปในร่างที่ไม่รู้จักมันก็เป็นแบบนี้แหละ” โซอี้พูด “ตอนพวกเราเปลี่ยนร่างครั้งแรกก็ไม่ได้ดีไปกว่าเจ้านี่เท่าไร ถ้าไม่มีคนคอยช่วยเหลือ เกรงว่าแม้แต่กินข้าวก็ยังทำไม่ได้เลย”

โรแลนด์อดนึกถึงภาพแม่มดกลุ่มหนึ่งที่หนีตายเข้าไปอยู่ในถ้ำใต้ดินอันหนาวเหน็บด้วยสภาพล้มลุกคลุกคลาน…การที่พวกเธอสามารถกัดฟันอดทนอยู่ในนั้นเป็นเวลาหลายสิบปี ไม่ว่ามองจากมุมไหนก็ถือว่าพวกเธอเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งมาก

“ตอนนี้เป็นช่วงที่ความคิดของปีศาจสับสนมากที่สุด ดังนั้นต่อไปคงต้องฝากเลดี้คามิล่าด้วย” เธอมองไปทางทุกคน “ถ้าอยากจะถามอะไรก็ถามออกมาได้เลย ถ้ามีคำตอบ ข้าจะอธิบายความคิดของมันออกมาเอง” โซอี้ชะงักไปเล็กน้อย “นอกจากนี้หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องเพคะ”

“เจ้าว่ามา” โรแลนด์พยักหน้า

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหม่อมฉันไม่บอกให้หยุดก็ห้ามหยุดการสะท้อนของวิญญาณนะเพคะ” เธอพูดช้าๆ ชัดๆ “ทุกอย่างเน้นการสอบสวนเป็นสำคัญ”

“นี่…” ในที่สุดสีหน้าของคามิล่า แดริลก็เปลี่ยนไป

“ข้าเข้าใจแล้ว” โรแลนด์รับปากเธออย่างไม่ลังเล อีกฝ่ายได้ตัดสินใจแล้ว ตอนนี้ถ้ามัวแต่ลังเล มันจะเท่ากับเป็นการดูถูกความตั้งใจของเธอเปล่าๆ

“อย่างนั้นหม่อมฉันจะใช้พลังแล้วนะเคพะ” หัวหน้าแม่บ้านแห่งเกาะสลีปปิ้งมองดูเขา จากนั้นจึงยกสองมือขึ้นมาวางไว้บนไหล่ของโซอี้กับทหารอาญาสิทธิ์

สีหน้าโซอี้ดูเจ็บปวดขึ้นมาทันที

จากนั้นเหมือนเธอจะทนไม่ไหว ปากของเธออ้าออกพร้อมส่งเสียงกรีดร้องออกมา แต่พริบตานั้นเอง โรแลนด์รู้ทันทีว่านั่นเป็นเสียงของปีศาจ การเชื่อมต่อทางวิญญาณทำให้ปีศาจสามารถใช้ปากของเธอส่งเสียงคำรามออกมาได้

“พวกเจ้าทำอะไรข้า!?” เสียงของเธอเปลี่ยนไปทันที “เจ้าแมลงชั้นต่ำ รีบปล่อยข้า! ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้นังตัวเมียนี่มันทุกข์ทรมาน!”

เหล่าแม่มดพากันตกใจ “หรือว่าโซอี้นาง…”

“นี่แค่เป็นการขู่เท่านั้น” อันนาพูดอย่างใจเย็น “พวกเจ้าลองดูนิ้วของเธอสิ”

ในเวลานี้ทุกคนถึงได้สังเกตเห็นว่ามือข้างขวาของแม่มดอาญาสิทธิ์มีนิ้วมือนิ้วหนึ่งตั้งขึ้นมาพร้อมกับโบกไปมาอย่างสบายๆ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ถูกมันควบคุม

โรแลนด์เองก็เดาความคิดของอีกฝ่ายได้ เห็นชัดว่าแทนที่จะใช้วิธีถามตอบ การพูดคุยแบบนี้ดูจะได้ผลมากกว่า แถมยังทำให้ปีศาจมีเวลาได้ครุ่นคิดก็น้อยลงด้วย

“แมลงชั้นต่ำอย่างนั้นเหรอ?” เขาหัวเราะหึหึขึ้นมา “อย่างนั้นเจ้าที่แพ้ให้กับพวกเราคืออะไรล่ะ?”

“ข้า…แพ้เหรอ?” ปีศาจตกตะลึง เสียงดูเบาลงไปทันที สีหน้าเจ็บปวดปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่โรแลนด์ไม่รู้ว่าความเจ็บปวดนี้มันมาจากความคิดอันสับสนของปีศาจหรือว่าตัวโซอี้

“ถูกต้อง เจ้าเกือบถูกยิงจนพรุน ส่วนกองทัพของเจ้านั้นพ่ายแพ้ย่อยยับ กว่าครึ่งตายอยู่ในสนามรบ ส่วนอีกครึ่งก็ไม่สามารถมีชีวิตกลับไปถึงทาคิลา” แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานั่งปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีเวลาพักหายใจ เขาฉวยโอกาสตอนที่ยังได้เปรียบพูดต่อไปว่า “พวกเราถล่มค่ายของพวกเจ้าจนราบ แล้วก็เอาไฟเผาปีศาจนับพันจนเป็นผุยผง ไหนบอกข้าหน่อยสิ ใครกันแน่ที่เป็นพวกชั้นต่ำ!”

พอถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนจะตะโกนออกมา

“ไม่ เป็นไปไม่ได้! นอกเสียจาก นอกเสียจาก…” หัวของโซอี้ส่ายไปมา ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับพูดงึมงำด้วยน้ำเสียงเหมือนตกตะลึงว่า “หรือว่าพวกเจ้าได้ชิ้นส่วนสืบทอดมาแล้วชิ้นหนึ่ง เผ่าพันธุ์เลยได้รับการยกระดับ? อาวุธพวกนั้น….สร้างขึ้นมาจากสิ่งที่อยู่ในชิ้นส่วนอย่างนั้นเหรอ?”

โรแลนด์จับใจความสำคัญได้ทันที “ชิ้นส่วนสืบทอด…มันคืออะไร? การยกระดับมันหมายความว่ายังไง?”