สอบสวนวิญญาณ (2) โดย Ink Stone_Fantasy
ถึงแม้จะแค่ชั่วแวบหนึ่งที่เขาอยากจะตะโกนออกมาว่า ‘อ้อ เจ้าเป็นคนของ Tal’darim[1] เหรอ? ขอโทษที จำไม่ได้เลย’ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องสะกดมันเอาไว้
เพราะว่าตอนนี้ยังเป็นช่วงสอบสวนอยู่ ถ้าพูดออกนอกประเด็นเกินไปมันจะทำลายความน่าเกรงขามของเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออยู่ในสภาวะที่ทำการสะท้อนวิญญาณอยู่นี้ ผู้ที่เชื่อมต่อจะพยายามแปลความคิดของอีกฝ่ายออกมาเป็นภาษาที่ตัวเองเข้าใจได้ ถ้าไม่มีคำศัพท์ที่เหมาะสม เธอก็จะพยายามเลือกเอาคำพูดที่มีความใกล้เคียงกันมาแทนที่ ดังนั้นต่อให้เป็นคำพูดที่ได้ยินอยู่บ่อยๆ แต่ความหมายมันก็อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ได้ยินก็ได้
ทว่าปีศาจไม่ได้ตอบคำถามของเขา หากแต่กำลังตกอยู่ในสภาพสับสนอย่างรุนแรง
“ไม่ นี่มันไม่น่าจะเป็นไปได้! แมลงอย่างพวกเจ้าไม่เคยเข้าไปในอาณาจักรซีสกาย แล้วจะเอาชิ้นส่วนสืบทอดมาได้ยังไง? นั่นมันไม่ใช่ดินแดนที่พวกเจ้าจะเข้าไปเหยียบได้! แต่ถ้าไม่ใช่แบบนี้ แล้วพวกข้าแพ้ได้ยังไง? โกหก เจ้าโกหก…ข้า คาบราดาบีไม่มีวันยอมรับ!”
ก่อนการสอบสวน โรแลนด์รู้ว่าช่วงแรกของการถ่ายโอนวิญญาณนั้นเป็นช่วงที่ปีศาจอ่อนแอมากที่สุด จากที่โซอี้บอกมา หลังดวงวิญญาณถูกแกนเวทมนตร์ถึงออกมาแล้วมันจะเกิดความรู้สึกไม่เคยชินอย่างรุนแรง จนทำให้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ แล้วก็เปิดเผยข้อมูลที่ปกติไม่มีทางพูดออกมาง่ายๆ ออกมา ด้วยเหตุนี้เขาจึงค่อยๆ บีบอีกฝ่ายต่อ “ยังจะให้ข้าเตือนสติเจ้ามากกว่านี้ไหม? พวกเจ้าอยากจะซุ่มโจมตีกองทัพของข้า แต่กลับถูกบีบให้ต้องเผยตัวออกมาสู้ จากนั้นกองทัพของเจ้าก็เสียหายอย่างหนักโดยที่ยังไม่ได้เข้ามาใกล้แนวรบของข้าเลย ส่วนเจ้าก็พาลูกน้องออกมาโดยหวังจะกู้สถานการณ์ แต่ในตอนที่เพิ่งลงมาเหยียบบนพื้นดินก็ถูกแม่มดอาญาสิทธิ์เล่นงานจนพ่ายแพ้โดยไม่มีแม้กระทั่งเวลาให้หาวเลย ตอนนี้คนที่เอาชนะเจ้าได้ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว ขอเพียงเจ้าค่อยๆ นึก เจ้าก็จะมองเห็นตัวเจ้าผู้อ่อนแออยู่ในหางตาของนาง”
“เจ้า….” สีหน้าของปีศาจระดับสูงดูแย่ขึ้นมาทันที
การพูดคุยทางจิตสำนึกนั้นเร็วกว่าทุกสิ่ง เห็นได้ชัดว่าหลังได้ยินในสิ่งที่เขาพูด โซอี้ก็รีบแสดงภาพสนามรบเข้าไปในหัว
“ไม่ยอมรับมันก็ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนความจริงที่ว่าพวกเจ้าพ่ายแพ้ได้หรอก คำว่าเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าพูด สุดท้ายมันก็เป็นแค่คำพูดไร้สาระ” โรแลนด์พูดเสียดสี “ไม่เข้าไปเหยียบในอาณาจักรซีสกาย ก็จะไม่มีทางได้ชิ้นส่วนสืบทอดอย่างนั้นเหรอ? เจ้าไม่บอกมาก่อนล่ะว่ามันคืออะไร ถ้าเราเข้าใจไม่ตรงกัน แล้วข้าจะไปตอบข้อสงสัยในใจเจ้าได้ยังไงล่ะ? ไม่แน่ในสายตาข้า มันอาจจะไม่ได้มีค่าขนาดนั้นก็ได้”
“เจ้ากำลังล้อข้าเล่นงั้นหรือ เจ้าแมลง” เสียงของคาบราดาบีเต็มไปด้วยความโกรธ “ต้นกำเนิดสงครามแห่งโชคชะตา กุญแจสำคัญที่จะตัดสินให้เผ่าพันธุ์อยู่รอดและยกระดับ แต่เจ้ากลับบอกว่ามันไม่มีค่างั้นเหรอ!?”
ทันใดนั้นพาซาร์เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ ‘เดี๋ยวๆ มันเป็นเหมือนผลึกสีแดงที่รูปทรงคล้ายกระสวยทอผ้าปลายแหลม ถ้าเข้าใกล้มันก็จะถูกมันพาเข้าไปยังโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง แล้วก็มองเห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อบางอย่างใช่หรือเปล่า?’
“มรดกของพระเจ้า!” ทิลลีอุทานออกมาเสียงเบาๆ
“พวกเจ้าเรียกมันว่ามรดกของพระเจ้างั้นเหรอ? เป็นพวกแมลงชั้นต่ำจริงๆ ด้วย” ปีศาจพูดอย่างดูถูก “นั่นมันเป็นชิ้นส่วนที่สืบทอดต่อกันมาของแต่ละเผ่าพันธุ์ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพระเจ้าเลย ถ้ากลืนกินมัน เผ่าพันธุ์ก็จะได้รับการยกระดับ ถ้าเสียมันไป เผ่าพันธุ์ก็จะกลายเป็นอาหารของเผ่าพันธุ์อื่น! ตอนนี้รู้หรือยังว่าความโง่ของพวกเจ้ามันอยู่ตรงไหน? ในตอนที่พวกขี้ขลาดใต้ดินมันถูกทำลาย แมลงอย่างพวกเจ้ายังเอาแต่มุดหัวหลบอยู่บนพื้นดินอยู่เลย แล้วพวกเจ้าจะไปได้รางวัลส่วนนี้มาได้ยังไง?”
โรแลนด์ใจเต้นขึ้นมาทันที ที่แท้นี่ต่างหากที่เป็นเหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายมั่นใจว่ามนุษย์ไม่มีทางได้มรดกนั่นมา อารยธรรมที่แสดงอยู่ในภาพวาดนั้นมีทั้งหมดสี่อารยธรรม ในเมื่อต้องทำลายอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งก่อนถึงจะแย่งเอามรดกมาได้ อย่างนั้นมนุษย์ก็ไม่มีทางที่จะโชคดีได้มันมาจริงๆ อย่างที่อีกฝ่ายว่า เพราะในช่วงเวลาที่อารยธรรมใต้ดินพ่ายแพ้ในสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่ง ตอนนั้นมนุษย์กำลังสู้อยู่กับพวกปีศาจ แล้วพวกเขาจะไปมีกำลังเหลือพอจะเข้าร่วมอีกสงครามได้ยังไง?
เขามองดูรอบๆ ก่อนจะเห็นสีหน้าที่คร่ำเคร่งของทุกคน เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างก็รู้ว่าข้อมูลนี้มันสำคัญขนาดไหน
อันดับแรก ข้อมูลตรงนี้ได้ยืนยันการคาดเดาก่อนหน้านี้ของแม่มดทาคิลาว่าเป็นเรื่องจริง — ‘ทำไมถึงเป็นแบบนี้…เข่นฆ่ากันมาเป็นร้อยปีพราะหินที่ไม่รู้เอาไว้ใช้ทำอะไรก้อนเดียวเนี่ยเหรอ? เจตจำนงของพระเจ้าจะโหดร้ายเกินไปแล้ว’ โรแลนด์จำได้ว่าเวนดี้เคยทอดถอนใจเช่นนี้ออกมา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามรดกจะไม่ใช่แค่ตัดสินเรื่องการอยู่หรือการดับสูญของอารยธรรมเท่านั้น แต่มันยังมีค่าสำหรับเผ่าพันธุ์อื่นอย่างมากด้วย นี่จึงหมายความว่าสงครามแห่งโชคชะตาแทบจะไม่มีทางที่จะจบลงแบบสันติเลย
อันดับต่อไป เมื่อดูจากคำพูดของปีศาจระดับสูงแล้ว พวกมันคือหนึ่งในผู้ที่ได้ประโยชน์จากการยกระดับอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าการกลืนกินมรดกนั้นเป็นอย่างไร แต่การที่พวกมันบอกว่าการวิวัฒนาการและอาวุธใหม่ของพวกมนุษย์นั้นเป็นเพราะมรดก นี่ทำให้โรแลนด์อดนึกถึงการถ่ายทอดความรู้ขึ้นมาไม่ได้ หรือว่าที่ดินแดนรุ่งอรุณมีปีศาจแปลกๆ และโครงกระดูกยักษ์ปรากฏขึ้นมานั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับอารยธรรมใต้ดิน?
นี่มันน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมเสียอีก ถ้าการปฏิวัติอุตสาหกรรมจำเป็นต้องใช้คนงานอุตสาหกรรมและวัตถุดิบจำนวนมาก จากนั้นก็ต้องรอให้เทคโนโลยีก้าวข้ามจุดๆ หนึ่งไปถึงจะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็วของการผลิตได้ อย่างนั้นชิ้นส่วนสืบทอดที่ว่านี้มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการถ่ายทอดวรยุทธ์ในนิยายกำลังภายในเลย ขอเพียงได้มรดกของอารยธรรมใดอารยธรรมหนึ่งมา ก็จะได้ครอบครองทุกสิ่งของผู้แพ้ ถ้านี่คือความจริงที่อยู่เบื้องหลังการยกระดับเผ่าพันธุ์ล่ะก็ อย่างนั้นมันก็ค่อนข้างน่าทีเดียว
สุดท้ายในฐานะที่เป็นหนึ่งในอารยธรรมที่อยู่ในภาพวาด มนุษย์นั้นล้าหลังกว่าเผ่าพันธุ์อื่นมากจริงๆ อย่างเช่นข้อมูลที่ได้รับมาในตอนนี้ ถึงแม้มันจะมีความสำคัญอย่างมาก แต่ถึงรู้ไปมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ต่อให้เข้าใจถึงความสำคัญของมรดก แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลต่อสู้รบแม้แต่น้อย สู้ไม่ได้ยังไงมันก็สู้ไม่ได้อยู่วันยังค่ำ มันเหมือนเป็นข้อมูลที่ใครจะรู้ก็ได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ มนุษย์กลับรู้เรื่องนี้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น ในช่วงเวลาเกือบพันปีที่ผ่านมานี้ มนุษย์ไม่สามารถสามัคคีกันได้เลย จนทำให้พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อมาคิดดูแล้ว เรียกได้ว่าการสู้กันเองของมนุษย์ทำให้เราเสียเวลาไปมาก
โรแลนด์เลียริมฝีปากที่เริ่มแห้งของตัวเอง ก่อนจะเลือกเอาปัญหาที่สำคัญที่สุดในบรรดาคำถามจำนวนมากที่อยู่ในหัวออกมา
“ทั้งหมดนี้เป็นการจัดสรรของพระเจ้าอย่างนั้นเหรอ? พวกเจ้าถึงได้เรียกมันว่าสงครามแห่งโชคชะตาเหมือนกัน”
“เจ้าเข้าใจคำว่าโชคชะตาแบบนี้งั้นเรอะ?” น่าจะเป็นเพราะเงียบไปนานเกินไป ในตอนที่อ้าปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง เสียงของปีศาจระดับสูงดูจะสงบขึ้นกว่าเดิมเยอะ “เอาล่ะ ให้พวกเจ้ารู้ก่อนตายก็ดูไม่เลวเหมือนกัน ฟังให้ดีนะเจ้าแมลง การต่อสู้ครั้งนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับพระเจ้าเลย มันเกี่ยวพันกับเผ่าพันธุ์ของตัวเองเท่านั้น เผ่าที่ยกระดับเป็นเผ่าสุดท้ายจะได้เปิดประตูสู่แหล่งกำเนิดเวทมนตร์และได้รับพลังอันยิ่งใหญ่ เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังนั้น เจตจำนงของผู้ที่ได้ครอบครองพลังก็คือเจตจำนงของพระเจ้า! แต่แน่นอนว่าทั้งหมดนี่มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแมลงชั้นต่ำ ชะตาของพวกเจ้าถูกกำหนดเอาไว้ให้ดับสูญ!”
“เจ้ารู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน?”
“ทำไม เจ้าคิดว่าคาบราดาบีผู้นี่จะพูดต่อไม่ได้เหรอ?” อีกฝ่ายหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“หมายความว่าไง?” จู่ๆ โรแลนด์พลันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ “โซอี้?”
“เกรงว่าตอนนี้้นังตัวเมียนี่มันคงไม่ได้ยินเสียงเจ้าหรอกนะ ใช้ลูกไม้ถ่ายโอนวิญาณมาป่วนจิตข้า แล้วใช้แมลงที่สามารถอ่านจิตได้มาอ่านความคิดข้างั้นเหรอ? หลายร้อยปีมานี้พวกเจ้าไม่มีอะไรพัฒนาไปจริงๆ” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร เสียงของโซอี้พลันฟังดูเยือกเย็นไร้ความรู้สึก “กล้าใช้ลูกไม้กระจอกๆ แบบนี้ต่อหน้าคาบราดาบีผู้นี้ มันไม่ได้ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตายเลย ถึงแม้ข้าจะไม่สามารถควบคุมร่างนี้ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะใช้พลังเวทมนตร์ไม่ได้!”
“คามิล่า!” โรแลนด์ตะโกนไปทางหัวหน้าแม่บ้านของเกาะสลีปปิ้งทันที
“สายไปแล้ว บอกลานังตัวเมียนี้ซะ!”
สิ้นเสียงหัวเราะที่ฟังแล้วแสบแก้วหู โซอี้พลันปิดปากลง ส่วนคามิล่า แดริลนั้นใบหน้าซีดเผือด ราวกับว่าเธอไม่กล้าเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า “วิญญาณในร่างนักรบอาญาสิทธิ์…หายไปแล้ว!”