วันรุ่งขึ้นหลี่เย่ก็ใช้ข้ออ้างว่าไม่สบายคืนอำนาจดูแลราชสำนักชั่วคราวกลับไป

 

 

ฮ่องเต้ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงพูดประโยคเดียว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็พักรักษาตัวให้ดีเถิด” พูดเช่นนี้แล้วก็เอาอำนาจกลับไป

 

 

ในขณะเดียวกันอู่อ๋องก็ขอนำทัพทหารออกไปปราบกลุ่มกบฎ

 

 

ฮ่องเต้ก็อนุญาตเช่นเดียวกัน และรองแม่ทัพที่ตามไปก็คือตระกูลหวัง ที่น่าตลกกว่านั้นก็คือคนตระกูลหวังเสนอตัวเอง แม้จะบอกว่าสุดท้ายแล้วคนที่มีอำนาจมากที่สุดตามทัพไปไม่ได้ด้วยเพราะป่วยหนัก แต่ตอนนี้คนที่ตามไปล้วนเป็นแม่ทัพอายุน้อยของตระกูลหวัง และมีความนิยมชมชอบอยูุ่เช่นเดียวกัน

 

 

หากการติดตามอู่อ๋องไปออกรบครั้งนี้ได้สร้างผลงานใหญ่ คนอายุน้อยทั้งหลายของตระกูลหวังย่อมต้องยิ่งก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นแน่นอน แม้จะไม่ใช่สายหลักของตระกูลหวัง แต่อย่างไรก็เป็นคนของตระกูล ถึงเวลานั้นย่อมต้องส่งผลดีต่อตระกูลหวังอย่างแน่นอน

 

 

หลังจากถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้ ก็แอบไปกระซิบกับหลี่เย่ว่า “ทำไมอู่อ๋องถึงนำทัพเล่าเพคะ? ไม่ใช่ว่าฮองเฮาชอบจวงอ๋องมาตลอดหรอกหรือเพคะ? ทำไมครั้งนี้ผลดีถึงไปตกที่อู่อ๋องเล่า? ไม่ใช่ว่าควรให้จวงอ๋องตามแม่ทัพตระกูลหลิวออกทัพไปพร้อมกันหรือเพคะ?”

 

 

หลี่เย่แค่นหัวเราะ “ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เกรงว่าคนที่ฮองเฮาต้องการสนับสนุนที่แท้จริงคืออู่อ๋อง ไม่ใช่จวงอ๋อง จวงอ๋องก็เพียงแค่เสียแรงไปโดยเปล่าเท่านั้นเอง”

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งไป จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “แต่ก่อนหน้านี้ฮองเฮาสนิทกับจวงอ๋องมากมิใช่หรือเพคะ? ทำไม… อีกอย่างเมื่อเทียบกับอู่อ๋องแล้ว จวงอ๋องก็ดูน่าสนับสนุนกว่าอยู่เล็กน้อยมิใช่หรือเพคะ?”

 

 

“จวงอ๋องจะแพ้ก็แพ้ที่ฉลาดจนเกินไป” หลี่เย่ยังคงแค่นหัวเราะ แฝงไว้ด้วยความเยาะเย้ย “หากเจ้าเป็นฮองเฮา เจ้าก็ต้องเลือกหุ่นเชิดที่ไม่ฉลาดเกินไปเหมือนกัน”

 

 

พอพูดเช่นนี้ถาวจวินหลันก็เข้าใจความหมายของหลี่เย่ทันที ไทเฮาไม่ได้คิดอยากจะสนับสนุนใครตั้งแต่แรก เพียงแค่จะบ่มเพาะหุ่นเชิดขึ้นมาเท่านั้นเอง หุ่นเชิดที่เชื่อฟัง และต้องพึ่งพานาง พอเป็นเช่นนี้นางถึงจะถืออำนาจเอาไว้ในกำมือได้

 

 

พอเทียบกับจวงอ๋องแล้ว อู่อ๋องก็ดูเหมาะสมมากกว่าเล็กน้อย

 

 

หากจวงอ๋องได้ยินเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าจะแค้นเคืองมากเพียงใด? และไม่รู้ว่าจะรู้สึกเสียใจที่ทุ่มแรงมากเกินไปหรือไม่?

 

 

ถาวจวินหลันเองก็กังวลว่าเรื่องนี้จะส่งผลกับหลี่เย่ แต่พอมองท่าทีเรียบนิ่งไม่สนใจของหลี่เย่แล้ว สุดท้ายก็ไม่ได้ถาม เพียงแค่เปลี่ยนเรื่องถามสิ่งที่อี๋เฟยพูดครั้งที่แล้วแทน “ที่อยู่นั่นสืบพบอะไรหรือไม่เพคะ?”

 

 

“อืม สืบพบแล้ว เป็นสถานที่ที่ตระกูลหวังแอบฝึกสอนโจรลอบสังหารจริง โลกภายนอกรู้กันว่าเป็นโรงคุ้มกัน สามารถใช้ปิดบังเรื่องที่คนเหล่านั้นฝึกวิชาได้ มิน่าถึงไม่เคยมีคนสงสัยมาก่อน” พอพูดถึงเรื่องนี้ หลี่เย่ก็เริ่มสงสัยขึ้นมา “ข้าให้คนไปสืบดูแล้ว พบว่าฝ่ายตรงข้ามมีกำลังขนาดใหญ่ แทบจะกลายเป็นการค้าขาย ถ้าหากว่าทุกที่ฝึกอบรมโจรลอบสังหารเหมือนเมืองหลวงทั้งหมด ก็คงมีคนไม่น้อยเลยทีเดียว”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็อดตึงเครียดไม่ได้ “ถ้าเช่นนั้นจะจัดการอย่างไรเพคะ?”

 

 

“คิดหาวิธีกวาดล้างทำลายให้หมด” ตอนที่หลี่เย่พูดออกมานั้น มีความโหดเ**้ยมแอบแฝงอยู่ภายในน้ำเสียง “มิเช่นนั้น เหลือเอาไว้ก็เป็นแค่สิ่งน่าวิตกตามมาไม่ขาด”

 

 

อย่างไรขุนนางในราชสำนักจะใช่จะป้องกันโจรลอบสังหารเหล่านั้นได้ทั้งหมด หากฮองเฮาบ้าคลั่งขึ้นมา สั่งให้โจรลอบสังหารจัดการกวาดล้างทั้งหมด นั่นคงกลายเป็นเรื่องร้ายแรงแล้ว

 

 

อีกทั้งต่อให้ทำเพื่อถาวจวินหลัน ซวนเอ๋อร์และหมิงจู เขาก็จะต้องพยายามกวาดล้างทำลายสถานที่นั้นให้ราบคาบโดยเร็ว

 

 

มิเช่นนั้นแล้วคนคุ้มกันข้างกายเขาตอนนี้มีมากพอแล้ว แต่ภายในจวนตวนชินอ๋องและข้างกายถาวจวินหลันยังถือว่าน้อยนัก

 

 

“ถ้าเช่นนั้นทางฮ่องเต้เล่า…” ถาวจวินหลันลังเลเล็กน้อย

 

 

หลี่เย่สะบัดมือ “ช่างเถิด เจ้าไม่ต้องคิดมากแล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็พ้นช่วงไว้ทุกข์ พวกเราครอบครัวไปเดินเขากันดีหรือไม่”

 

 

พอพูดไปแล้ว ถึงคิดได้ว่าพวกเขายังไม่เคยไปเดินเขามาก่อน หลี่เย่จึงเริ่มคาดหวังมากขึ้น “ซวนเอ๋อร์ยังไม่เคยเล่นว่าวเลย พวกเราพาเขาไปเดินเขา และให้เล่นว่าวด้วยเป็นอย่างไร? และนำอาหารไปด้วยเล็กน้อย พวกเราจะได้ปิ้งเนื้อสัตว์กินที่นั่นได้ ก่อนหน้านี้ข้าฟังเพื่อนร่วมเรียนของข้าพูดให้ฟัง แต่ไม่เคยลองเอง”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินหลี่เย่พูดถึงเพื่อนร่วมเรียนเป็นครั้งแรก ก็เริ่มสงสัยขึ้นมา “เพื่อนร่วมเรียนของท่านอ๋องเป็นใครหรือเพคะ? ทำไมไม่เคยได้ยินท่านอ๋องพูดถึงมาก่อนเลย?”

 

 

“ตายไปแล้ว” หลี่เย่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็หัวเราะขมขื่นพลางเค้นพูดสองคำ “ถูกคนวางยา เพราะว่าคนนั้นเสด็จพ่อเป็นคนจัดการหามาให้ข้า บ้านของเขาร่ำรวยและใหญ่โต สำหรับข้าแล้วถือว่าได้เขาช่วยเหลืออย่างมาก ดังนั้นเขาจึงถูกคนวางยา ทั้งที่ยังอายุไม่ถึงสิบปีด้วยซ้ำไป”

 

 

ถาวจวินหลันก็นิ่งไป สุดท้ายแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ พูดว่า “ต่อไปรอตอนที่ท่านได้อำนาจมาครอง ค่อยแก้แค้นแทนเขาก็แล้วกันเพคะ”

 

 

หลี่เย่หัวเราะขมขื่น “มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น” เขารู้ว่าเขาเป็นต้นเหตุให้เพื่อนร่วมเรียนคนนั้นตาย ดังนั้นจึงไม่ยอมมีเพื่อนร่วมเรียนอีกเลย และในตอนนั้น เขาเองก็เป็น ‘ใบ้’ แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนร่วมเรียนอีก

 

 

“เป็นการกระทำของฮองเฮาหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันคิดไปคิดมา ก็เหลือเพียงความเป็นไปได้นี้เท่านั้น

 

 

หลี่เย่พยักหน้า “ที่จริงฮองเฮาก็เคยวางยาเจ้ามาก่อนเช่นกัน แต่ตอนนั้นพบเร็ว ถึงไม่สำเร็จเท่านั้นเอง”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไป จากนั้นก็ครุ่นคิดพิจารณาอย่างละเอียด จนเริ่มมั่นใจแล้ว ตอนนั้นมีบ่าวรับใช้ขั้นสองถูกติงหมัวหมัวเอาออกไปจัดการ เพราะว่าไม่ได้ปรนนิบัติข้างกาย ดังนั้นนางจึงไม่ได้ใส่ใจ พอมาคิดดูแล้ว เหตุผลที่ติงหมัวหมัวลากออกไปถึงดูแปลกๆ

 

 

“ถ้าเช่นนั้นทำไมตอนนั้นท่านไม่บอกข้าสักคำเล่าเพคะ?” ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว “ถึงกับปิดบังข้าไว้นานเช่นนี้?”

 

 

“ตอนนั้นเจ้าตั้งครรภ์แล้ว จะบอกเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร? มีแต่ให้เจ้ากังวลไปเสียเปล่า แม้แต่ข้าเองก็เพิ่งมารู้ภายหลังเช่นเดียวกัน พูดตามจริงแล้ว หากพบช้ากว่านี้ ผลที่ตามมาคงจะเลวร้ายจนไม่กล้าคิด” หลี่เย่ถอนหายใจ พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็ยังรู้สึกหวาดกลัว สุดท้ายแล้วเขาก็พูดว่า “วันนี้ที่บอกเจ้า ก็ไม่ได้ทำเพื่อรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ มาสะสาง ข้าเพียงแค่เตือนเจ้าเท่านั้น ฮองเฮาถนัดวิธีเ**้ยมโหดนัก ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปเจ้าจะต้องรับมือเตรียมพร้อมป้องกันอย่างมาก”

 

 

ติงหมัวหมัวถึงช่วงอายุต้องเกษียณแล้ว อีกทั้งดูแลซวนเอ๋อร์ก็เหนื่อยมากพอแล้ว ดังนั้นถาวจวินหลัน จึงต้องระวังตัวให้มากขึ้น

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกตึงเครียดเพราะคำพูดของหลี่เย่ รีบพูดว่า “กลับไปข้าจะต้องตรวจสอบให้ละเอียดอีกรอบเป็นแน่เพคะ”

 

 

ถาวจวินหลันยังไม่ทันได้ตรวจสอบอะไร อี๋เฟยที่อยู่ในวังหลวงก็แอบส่งข่าวออกมา บอกว่าฮองเฮาและอู่อ๋องลอบพบหน้ากัน เพื่อบรรลุข้อตกลงบางอย่าง

 

 

ถาวจวินหลันและหลี่เย่รู้จุประสงค์ของพวกเขานานแล้ว แต่ตอนนี้พอได้ยิน แม้จะบอกว่าไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก แต่นี่ก็เป็นการแสดงความจริงใจของอี๋เฟย

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิดแล้วก็ให้คนนำผลเฉ่าเหมยสดใหม่ตระกร้าหนึ่งไปให้หยวนฉงหวา บอกว่ามอบให้อาอู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วก็เป็นแค่เพียงการแสดงน้ำใจเท่านั้น อย่างไรอาอู่ก็เพิ่งจะตัวเท่านั้น คงไม่อาจกินได้ใช่หรือไม่? ต่อให้ถึงตอนที่กินได้จริง นางก็ไม่กล้าส่งของเหล่านี้แล้ว

 

 

การส่งของให้อาอู่ครั้งนี้ก็เพียงแค่อยากให้อี๋เฟยเห็นท่าทีของนางเท่านั้นเอง

 

 

แต่ผ่านไปไม่นานถาวจวินหลันก็ได้รู้ว่า ของที่ตนเองส่งไปนั้นไม่ถึงมือหยวนฉงหวา แต่ถูกคนของฮองเฮาขัดเอาไว้ ระหว่างทางสั่งตกรางวัลให้นางกำนัลแบ่งกินตามใจชอบแล้ว

 

 

ถาวจวินหลันไม่ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย ขอแค่เพียงทุกคนรู้ว่านางส่งของไปให้ก็พอแล้ว สิ่งที่นางสนใจคือเจียงอวี้เหลียนมาบอกเรื่องนี้กับนาง

 

 

ท่าทีของเจียงอวี้เหลียนดูเคารพยำเกรง และเชื่อฟัง แตกต่างจากแต่ก่อนเป็นอย่างมาก

 

 

เมื่อนางเห็นเจียงอวี้เหลียนเป็นแบบนี้ก็พอใจเป็นที่ยิ่ง แอบยกเรื่องนี้มาพูดคุยกับหลี่เย่อยู่ทีหนึ่ง หลี่เย่เองก็ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก “ขอเพียงแค่นางสงบเสงี่ยมเจียมตัวก็พอแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันคิดในใจ บางทีเจียงอวี้เหลียนอาจจะคิดกลับตัวกลับใจได้แล้ว จึงลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่งเบาๆ คลายกังวลไปไม่น้อย

 

 

หลังจากเรื่องนี้ไปไม่นาน อู่อ๋องก็เริ่มเก็บสัมภาระเตรียมออกทัพ ก่อนหน้านั้นหลี่เย่กลับพักผ่อนอยู่ที่เรือนเป็นเวลาสิบกว่าวัน

 

 

น้องชายจะออกรบ คนเป็นพี่ย่อมไม่อาจอยู่เฉยได้ หลี่เย่จึงส่งดาบที่ฮ่องเต้ประทานให้เขาในการรบครั้งที่แล้วไปให้อย่างใจกว้าง แล้วยังส่งไปให้อย่างเอิกเกริกครึกโครม สมศักดิ์ศรีสมญานาม หวังว่าดาบนี้จะช่วยอู่อ๋องให้ช่วยปราบกบฏได้

 

 

วิธีเช่นนี้ย่อมทำคนอื่นชื่นชมในความใจกว้างและรักน้องชายอย่างเต็มเปี่ยม

 

 

หลี่เย่เพียงแค่ถ่อมตัว

 

 

วันที่อู่อ๋องเคลื่อนทัพนั้น หลี่เย่ย่อมต้องปรากฏให้เห็นหน้า ดังนั้นถาวจวินหลันจึงตื่นแต่เช้า สวมเสื้อผ้าให้หลี่เย่ วันนี้สำคัญเป็นอย่างมาก ย่อมไม่อาจละเลยได้แม้แต่น้อย

 

 

“ฮองเฮาก็ต้องออกมาด้วยเช่นเดียวกัน” ตอนที่แต่งตัว หลี่เย่ก็พูดหัวเราะเบาๆ “ถึงเวลานั้นคงจะมีฉากน่าชมเป็นแน่”

 

 

ได้ยินหลี่เย่พูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็เริ่มสงสัยขึ้นมาบางส่วน “มีอะไรน่าชมหรือเพคะ? พอพูดเช่นนี้ ข้าก็เริ่มอยากไปดูเสียแล้วเพคะ”

 

 

หลี่เย่หัวเราะ “วางใจเถิด ถึงเวลาข้าจะกลับมาอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียด เจ้ารออยู่ที่จวนอย่างสบายใจเถิด ใช่แล้ว วันนี้เจ้ามีแขกไม่ใช่หรือ? จะออกไปข้างนอกได้อย่างไร?”

 

 

ถาวจวินหลันถึงได้คิดได้ว่าวันนี้จั่วเสี่ยนอวี้ฮูหยินฉินซื่อจะมาหา จึงถอนหายใจพูดว่า “นั่นก็ถูกเพคะ” สุดท้ายแล้วก็กำชับหลี่เย่ว่า “แต่ไม่ว่าเวลาใด ท่านก็จะต้องดูแลร่างกายตนเองนะเพคะ อย่าได้เอาตัวไปเสี่ยงอันตรายอะไรอีก ข้าและลูกๆ ยังต้องพึ่งพาท่านนะเพคะ”

 

 

หลี่เย่พยักหน้า สีหน้าจริงจังไม่มีความหยอกล้อ “อืม ข้าจำได้แล้ว”

 

 

ความเป็นจริงแล้วเขาเป็นคนกำหนดบทในละครวันนี้เอง เขาจะพบเจออันตรายได้อย่างไร? กลับเป็นฮองเฮาที่ควรจะกังวลตนเองต่างหาก

 

 

ถาวจวินหลันไปส่งหลี่เย่ด้วยตนเอง พอถึงบริเวณประตูรองแล้วถึงได้ถอยกลับมา

 

 

ตอนที่กลับมาก็เห็นว่าดอกมะลิวสันตฤดูออกดอกสวยงาม ถาวจินหลันจึงยิ้มพลางพูดกับหงหลัวว่า “เจ้าดูสิ ในที่สุดฤดูใบไม้ผลิก็มาถึง ฤดูหนาวนี้ผ่านไปแล้ว”

 

 

หงหลัวมองดอกมะลิวสันตฤดูทีหนึ่ง หัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน แต่คำที่พูดออกมานั้นกลับมีความหมายสองแง่สองง่าม “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ฤดูหนาวผ่านไปแล้ว ฤดูใบไม้ผลิย่อมต้องมาถึง อากาศก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันฟังความหมายที่แฝงอยู่ออก ก็พยักหน้า “ก็จะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือไม่?”