บทที่ 599 ความคิด

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวจวินหลันตัดดอกมะลิวสันตฤดูมาปักลงแจกันด้วยตนเอง เพียงแค่ช่อดอกมะลิวสันตฤดูช่อหนึ่งก็ให้ทั้งห้องท่วมท้นไปด้วยบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิ

 

 

ตอนที่ฉินฮูหยินมานั้น ถาวจวินหลันกำลังปักผ้าอุ่นท้องให้หมิงจู ผ้าเนื้อดีสีเหลืองอ่อน ปักลายใบบัวแรกแย้มสีชมพูอ่อน รวมถึงตั๊กแตนและผีเสื้อสดใสสวยงาม นี่เป็นงานฝีมือที่ต้องใช้เวลา ความจริงนางทำผ้าอุ่นท้องผืนนี้มาทั้งฤดูหนาวแล้ว

 

 

หลังจากฉินฮูหยินยิ้มและทำความเคารพถาวจวินหลัน ก็ก้าวเข้ามาดูงานฝีมือในมือของถาวจวินหลัน เพียงมองแวบเดียวก็อดพูดด้วยความตื่นตกใจไม่ได้ “ชายารองถาวลงแรงขนาดนี้เลยหรือเจ้าคะ แค่ผ้าปิดท้องผืนเดียว ไม่รู้ว่าต้องเสียเวลาเสียแรงกายเท่าไร ดูสีนี้สิ ทำให้คุณหนูหมิงจูหรือ”

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะพลางพยักหน้า “สีนี้ดูไม่เด่นเกินไป เหมาะกับเด็กสาวยิ่งนัก ตอนนี้ซวนเอ๋อร์ก็โตแล้ว ไม่ค่อยชอบของสดใสเช่นนี้”

 

 

“ก่อนหน้านี้ข้าก็ชอบทำของชิ้นเล็กเหล่านี้ให้เด็กๆ ที่บ้านของข้า แต่หลังจากนั้นมีงานมากมาย จึงไม่ค่อยมีเวลาว่างแล้ว” ฉินฮูหยินถอนหายใจ แฝงไว้ด้วยความเสียดาย หยุดไปครู่หนึ่งก็เอ่ยถาม “คิดไม่ถึงว่าชายารองถาวจะหาเวลาได้”

 

 

“จวนตวนอ๋องไม่อาจเทียบกับจวนอ๋องอื่นได้ คนน้อย เรื่องย่อมน้อยตาม” ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ แล้วก็ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบทั่วไปตามมารยาทเท่านั้น

 

 

พอทั้งสองสนทนนากันได้ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันถึงพูดว่า “ฉินฮูหยินมาวันนี้มีเรื่องอะไรหรือ?”

 

 

ฉินฮูหยินก็ตรึกตรองว่าควรเอ่ยปากพูดอย่างไร ถาวจวินหลันถามเช่นนี้ก็ให้นิ่งอึ้งไป แต่ก็ไม่ได้รู้สึกประหม่า แต่กลับผ่อนคลาย พูดเสียงเบาว่า “ที่จริงข้ามาวันนี้ ก็ด้วยมีเรื่องอยากขอร้องชายารองเจ้าค่ะ”

 

 

ฉินฮูหยินพูดอย่างหนักแน่น ถาวจวินหลันก็ไม่กล้าเอ้อละเหยอีก นั่งอย่างสงบเสงี่ยม “ฉินฮูหยินพูดมาเถิด”

 

 

ฉินฮูหยินมองถาวจวินหลัน ยังไม่ทันเปิดปากพูดก็ตาแดงระเรื่อ ลุกขึ้นคุกเข่าไปทางถาวจวินหลัน พูดสะอึกสะอื้น “ชายารองช่วยข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ! เมื่อวานนี้เฝินหยางโหวตรวจพบว่าไม่สามารถมีบุตรได้ จึงคิดจะรับเลี้ยงเด็ก ข้าได้ข่าวมาว่าเขาหมายตาลูกชายของข้าเจ้าค่ะ!”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินดังนนั้นก็นิ่งตะลึง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับมา “เฝินหยางโหวมีบุตรไม่ได้อย่างนั้นหรือ? แล้วยังหมายตาลูกชายของเจ้าด้วยหรือ?”

 

 

ฉินฮูหยินพยักหน้าด้วยตาแดงก่ำ ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหางตาตนเองเอาไว้

 

 

“แล้วเจ้าอยากให้ข้าช่วยอย่างไร?” นี่เป็นกิจภายในครอบครัวของคนอื่น ถาวจวินหลันยังไม่ลำพองตนจนคิดว่าตนเองสอดมือเข้าไปยุ่งได้ นางจึงยังไม่รับรับปากทันที แต่เอ่ยถามก่อน

 

 

ในเมื่อฉินฮูหยินเอ่ยปากพูดแล้ว ย่อมต้องมีแผนในใจแล้วเป็นแน่ ฉับพลันก็พูดออกมาว่า “ขอให้ชายารองถาวช่วยพวกเราพูดกับท่านอ๋องด้วยเถิดเจ้าค่ะ รีบตั้งโทษให้เฝินหยางโหว ถอดป้ายชื่อจวนเฝินหยางโหวออกไปก็ได้ ขอเพียงพวกเราหลุดพ้นจากพวกเขาได้ ต่อให้ต้องกลายเป็นบ่าวเป็นทาส ทรัพย์สินหมดตัวก็ยินยอมพร้อมใจเจ้าค่ะ”

 

 

ฉินฮูหยินไม่ได้พูดให้น่าฟัง แต่มาจากใจจริง

 

 

ถาวจวินหลันย่อมสัมผัสได้ถึงความจริงใจซื่อตรงของฉินฮูหยิน จึงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เช่นนั้นพวกเจ้ามีวิธีตั้งโทษให้เฝินหยางโหวอย่างนั้นหรือ?”

 

 

ฉินฮูหยินพยักหน้าติดกันหลายครั้ง “มีเจ้าค่ะ เรื่องที่เฝินหยางโหวลอบสังหารองค์หญิงเก้าระยะนี้ รวมถึงเรื่องทุจริตอีก ถ้าร้ายแรงไปกว่านั้นก็คือเรื่องที่เฝินหยางโหวกักขังคุณชายของตระกูลเล็กตระกูลหนึ่งให้เป็นนายบำเรอ ตอนนี้คนผู้นั้นยังถูกกักขังอยู่เจ้าค่ะ ได้ยินว่าน่าเวทนาเป็นอย่างมาก สงสารก็แต่ครอบครัวของคุณชายคนนั้นที่คิดว่าเขาตายไปแล้ว พากันร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย ไม่รู้ว่าเสียใจมากเพียงใดเจ้าค่ะ”

 

 

ความเลวร้ายของเฝินหยางโหวไม่ใช่เรื่องวันสองวันนี้ ถ้าจะหาโทษอะไรมาจริง ย่อมเป็นเรื่องง่ายอย่างแน่นอน แต่เรื่ององค์หญิงเก้า ถาวจวินหลันไม่คิดจะใช้เรื่องนี้มาเล่นงาน กลับเป็นฉินฮูหยินที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา นางถึงคิดว่าเป็นเหตุผลที่ดี

 

 

“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้ท่านอ๋องออกหน้า ข้าออกความคิดให้เจ้าได้” ถาวจวินหลันหัวเราะ ประคองฉินฮูหยินให้ลุกขึ้นมา จากนั้นก็พูดว่า “ถึงเวลาที่ปักปรำโทษให้เฝินหยางโหว ยึดยศตำแหน่งคืน ค่อยให้ท่านอ๋องคิดหาวิธีมอบยศตำแหน่งนี้ให้สามีของเจ้าดีหรือไม่?”

 

 

ฉินฮูหยินย่อมคิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะรับปากอย่างง่ายดาย แล้วยังเสนอเงื่อนไขมีค่าเช่นนี้ ก็ให้ตื่นเต้นดีใจจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี

 

 

สุดท้ายแล้วฉินฮูหยินก็คุกเข่าลงไปอีกครั้ง โขกหัวพูดสะอึกสะอื้นว่า “บุญคุณนี้ของชายารองถาว ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทนได้ วันหน้าหากชายารองถาวมีเรื่องเรียกใช้ข้า ขอเพียงแค่เอ่ยปากเท่านั้น แม้ให้ข้าไปตาย ข้าก็จะไปตายอย่างไม่บิดพริ้วเจ้าค่ะ!”

 

 

ถาวจวินหลันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ข้าจะให้เจ้าไปตายได้อย่างไร? หากเจ้าตาย ใครจะมาดูแลลูกสาวลูกชายของเจ้าเล่า? เจ้าใช้ชีวิตให้ดีเถิด หากวันหน้ามีเรื่องให้เจ้าช่วยเหลือ ข้าจะไม่เกรงใจแน่นอน”

 

 

ที่ช่วยฉินฮูหยิน อย่างแรกก็ด้วยมีผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน อย่างที่สองก็ด้วยนางเคยลิ้มรสชาติข่มขื่นที่ถูกพรากลูกไปจากอ้อมอก ดังนั้นนางจึงไม่ยินยอมให้ฉินฮูหยินต้องมาสัมผัสความรู้สึกเหล่านี้

 

 

ส่วนแผนการก็ง่ายดาย ถาวจวินหลันเข้าไปกระซิบข้างหูฉินฮูหยิน

 

 

ฉินฮูหยินตาเป็นประกาย พยักหน้าหลายที รอจนพูดจบ นางก็อดพูดชื่นชมไม่ได้ “วิธีนี้ดีมากเจ้าค่ะ ทั้งไม่ต้องทุ่มแรง และยังทำให้พวกเรามือสะอาดอีกด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

“ถอยตัวอย่างขาวสะอาดนั้นใช่ แต่ไม่แน่ว่าครั้งนี้จะต้องลำบากสามีของเจ้าด้วยแล้ว อย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ตอนแรกไม่ควรให้ชัดเจนจนเกินไป” ถาวจวินหลันหัวเราะแล้วพูดต่อ “แต่ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว”

 

 

ฉินฮูหยินพยักหน้าติดต่อกัน ความพอใจฉายชัดบนใบหน้า “ได้เท่านี้พวกเราก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ ไฉนเลยจะสนใจเรื่องเล็กแค่นี้?”

 

 

ถาวจวินหลันก็หัวเราะ ไม่ได้พูดอะไรอีก ที่จริงแล้ววิธีนี้ง่ายมาก บางทีจั่วเสี่ยนอวี้และฉินฮูหยินอาจจะเคยคิดมาแล้ว แต่กลัวว่าจะไม่สำเร็จเลยไม่พูดออกมา แต่กลับมาบอกนางเพียงต้องการคำรับประกันจากนางเท่านั้นเอง

 

 

คำรับประกันที่สามารถทำให้แผนการนี้สำเร็จได้

 

 

มิเช่นนั้นฉินฮูหยินคงไม่บอกเรื่องคุณชายที่ถูกกักบริเวณกับนาง แต่เรื่องนี้ถาวจวินหลันไม่ได้พูดเปิดโปง ที่จริงแล้วฉินฮูหยินเองก็ฉลาด แม้จะบอกว่ามาเอ่ยปากขอร้อง แต่ก็ไม่ได้ไปตามแผนของคนอื่น ในทางกลับกัน เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ก็ไม่ได้ถูกจับสังเกตได้โดยง่าย

 

 

จั่วเสี่ยนอวี้เป็นคนมีความสามารถ ฉินฮูหยินจะไม่ใช่สตรีที่ฉลาดได้อย่างไร? แม้ว่าสามีภรรยาคู่นี้ไม่มาขอความช่วยเหลือจากนางและหลี่เย่ คิดว่าสุดท้ายแล้วก็คงก้าวเข้าสู่ชีวิตที่ดียิ่งขึ้นได้

 

 

พอถึงเวลาต้องใช้งานคนฉลาดก็สบายใจที่สุด เพราะว่าพวกเขารู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร และเลือกตัวเลือกที่ถูกต้องมากที่สุดในช่วงเวลาวิกฤตได้ จึงไม่ทำให้คนเป็นกังวล

 

 

หลี่เย่ต้องการคนมีความสามารถเช่นนี้

 

 

ดังนั้นถาวจวินหลันจึงไม่ปฏิเสธว่าตนเองทำเช่นนี้เพราะต้องการชักจูง แต่เดิมคนที่มีความสามารถก็ควรค่าแก่การชักจูง ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ?

 

 

หลังจากส่งฉินฮูหยินกลับไป ถาวจวินหลันยังปักลายผ้าอุ่นท้องให้หมิงจูระหว่างรอหลี่เย่กลับมา ที่จริงแล้วถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด หลี่เย่น่าจะกลับมาก่อนอาหารกลางวัน

 

 

นางมองเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เมื่อใกล้ถึงเวลาตั้งสำรับกลางวัน กลับยังไม่ได้ข่าวจากหลี่เย่แม้แต่น้อย ถาวจวินหลันจึงเริ่มกังวลอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

 

พูดตามจริงแล้วนางหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรก็คลายกังวลไม่ได้เลย โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงคำพูดก่อนออกจากจวนของหลี่เย่

 

 

สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ทนไม่ไหว เรียกคนมารับคำสั่ง “ไปสืบข่าวข้างนอกมา ดูว่าวันนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่”

 

 

พอส่งคนไปแล้วย่อมต้องรู้ข่าวจากภายนอกอย่างรวดเร็ว ดังนั้นถาวจวินหลันจึงรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็ไม่ได้วิตกแล้ว

 

 

เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน บ่าวก็มาถามว่าจะให้ตั้งสำรับหรือไม่ ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ส่ายหน้า “รออีกหน่อย ยกน้ำแกงมาให้ข้ารองท้องก่อนแล้วกัน”

 

 

นางคิดว่าหลี่เย่น่าจะกลับมาทานอาหาร นอกเสียจากว่าเขาจะถูกรั้งตัวหรือขัดขวางเอาไว้

 

 

แต่ตอนนี้หลี่เย่ก็ไม่จำเป็นต้องไปศาลาว่าการแล้ว แล้วยังมีเรื่องอะไรมาขัดขาเขาได้อีก? แม้แต่ฮ่องเต้ เกรงว่าพ่อลูกคู่นี้ยังคงตะขิดตะขวงใจอยู่กระมัง? เขาย่อมไม่อาจรั้งหลี่เอาไว้ในวังหลวงแน่นอน

 

 

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม บ่าวชายที่ถาวจวินหลันส่งไปสืบข่าวก็กลับมา แต่ดูท่าทีไม่ค่อยดีเท่าไรนัก

 

 

ถาวจวินหลันเห็นดังนั้นก็ใจหล่นวูบ รีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

 

 

บ่าวชายทำความเคารพอย่างนอบน้อม ไม่กล้าเงยหน้ามอง เพียงแค่พูดตะกุกตะกักว่า “ชายารองอย่ากังวลไปเลยขอรับ คิดว่าท่านอ๋องคงไม่เป็นอะไร มิเช่นนั้นคงมีคนมาแจ้งข่าวนานแล้ว”

 

 

ได้ยินบ่าวชายพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ยิ่งไม่สบายใจ ขมวดคิ้วถามต่อ “เกิดอะไรขึ้น? มีเรื่องอะไรกันแน่? รีบพูดมา”

 

 

วกวนไปมาเช่นนี้ยิ่งชวนให้ร้อนใจ ตอนนี้ใช่เวลามาพูดอ้อมค้อมหรืออย่างไร?

 

 

บ่าวชายถึงได้กัดฟันพูดว่า “ได้ยินว่าวันนี้ขณะเดินทางกลับเมือง ท่านอ๋องพบโจรลอบสังหารเข้ามาจู่โจมขอรับ”

 

 

“แล้วท่านอ๋องเล่า?” ถาวจวินหลันใจกระตุกวูบ แม้จะบอกว่ากลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายก็ยังกังวลมากอยู่ดี

 

 

บ่าวชายส่ายหน้า หน้าตากล้ำกลืนพูดตอบ “ยังสืบไม่พบขอรับ แต่ในเมื่อไม่มีข่าว คิดว่าคงไม่น่าเป็นอะไรขอรับ ชายารองอย่ากังวลไปก่อนเลยขอรับ”

 

 

ถาวจวินหลันหน้าคร่ำเคร่ง สั่งให้บ่าวชายออกไปสืบมาใหม่ ในใจนั้นกลับรู้สึกไม่สงบอยู่ตลอด แต่จากนั้นนางก็คิดถึงเรื่องหนึ่งได้ บ่าวชายพูดถูกต้องแล้ว หากเป็นอะไรไปจริงๆ ไม่ต้องให้หลี่เย่ส่งคนมา วังหลวงก็ต้องส่งคนมาแจ้งอยู่ดี ทว่าตอนนี้ยังไร้ข่าวคราว ย่อมไม่มีเรื่องใหญ่เป็นแน่

 

 

อีกทั้งตอนนั้นหลี่เย่อยู่กับฮ่องเต้ ทหารองครักษ์ข้างกายฮ่องเต้มีมากเพียงใดและเก่งกาจมากเพียงใด? ย่อมไม่อาจลอบสังหารสำเร็จแน่นอน

 

 

อย่างนั้นหลี่เย่คงไม่น่าเป็นอะไร

 

 

อีกทั้งคำพูดก่อนออกจากจวนของหลี่เย่ที่ว่ามีละครให้ดูจะหมายถึงเรื่องนี้หรือไม่?

 

 

ย่อมเป็นไปได้เช่นกัน

 

 

ยิ่งคิดลึกไปเรื่อยๆ ถาวจวินก็ยิ่งสงบนิ่ง ความวิตกในใจก็ค่อยๆ หายไป