“แล้ว… พวกเราจะออกไปอย่างไร? ” เคราของมู่หรงอวิ๋นไห่กระตุกเล็กน้อย เขาหันไปมองข้างหลังด้วยท่าทางวิตกกังวล
หากยังไม่ออกไป ศพพิษเหล่านั้นจะไล่ตามมาทัน ทำอย่างไรดี?
“เช่นนั้น ต้องอยู่ที่แม่นางพิษน้อยแล้ว! ”
รอยยิ้มภายใต้หน้ากากเย็นชาของอู๋จุนช่างงดงาม เขายืนกอดอกมองไปที่ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีไม่ได้หยิ่งทะนง นางยื่นมือออกมา ทันใดนั้น สิ่งของบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง มันคือนอแรด
ดวงตาของมู่หรงอวิ๋นไห่เปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง
“ใช่แล้ว นอแรด! เหตุใดข้าจึงนึกไม่ถึง? นอแรดเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า กระทั่งสามารถบดเพชรให้เป็นผง ย่อมนำไปรับมือกับไหมฟ้าได้อย่างไม่เป็นปัญหา”
อู๋จุนชักสีหน้าอีกครั้ง “หากท่านทราบ ยังต้องให้พวกเราพาท่านออกไปอีกหรือ? เช่นนั้น ท่านคงไม่ถูกชาวไหวเจียงกักขังไว้นานถึงเพียงนี้ และหาทางออกมาได้เองนานแล้ว”
มู่หรงอวิ๋นไห่มีท่าทางอึดอัดเล็กน้อย เขาไม่พูดสิ่งใด ทำเพียงเดินไปยังข้างกายซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีพูดว่า “อีกครู่หนึ่ง พวกเราจะเดินไปข้างหน้า พวกเจ้าทั้งสองเดินตามอยู่ข้างหลัง ข้าจะใช้นอแรดทำลายไหมฟ้าเพื่อเปิดทางขึ้นไป พวกเจ้าต้องเดินตามทางที่ข้าเดินผ่าน จำไว้ว่าห้ามเดินผิดทาง! ”
“แหะ แหะ แม่นางพิษน้อยไม่ต้องห่วง พี่จุนยังอยากมีชีวิตอยู่อีกสองสามปี! ยังอยากอยู่เพื่อมองเจ้าให้มากกว่านี้ คงไม่รนหาที่ตาย”
สำหรับมู่หรงอวิ๋นไห่… เขาต้องการมีชีวิตรอดไม่น้อยไปกว่าอู๋จุนและซูจิ่นซี ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึง
ซูจิ่นซีหยิบก้อนหินจำนวนมากบนพื้นขึ้นมาเสียบไว้ระหว่างนิ้วมือทั้งสิบ เช่นเดียวกับยาเม็ดเมื่อครู่ ทันใดนั้น นางก็กระโดดขึ้นไปและปาหินจำนวนแปดก้อนไปที่ระหว่างกิ่งไม้ ก่อนจะหลับตาเงี่ยหูฟัง วิเคราะห์ตำแหน่งและแนวโน้มการกระจายตัวของไหมฟ้า
ระหว่างที่ก้อนหินกระทบลำต้นของต้นไม้ หินเหล่านั้นถูกตัดออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยไหมฟ้าที่พันอยู่บนต้นไม้ จากนั้นก็กระทบกับกิ่งไม้และลอยไปมาระหว่างกิ่งก้านของต้นไม้ มันถูกไหมฟ้าตัดออกเป็นเสี่ยงๆ หลายครั้ง ไม่นาน หินเหล่านั้นก็กลายเป็นฝุ่นผงและตกลงมาบนพื้น
มู่หรงอวิ๋นไห่มองดูด้วยความตกตะลึง หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบ
อู๋จุนก็มองด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
กล่าวได้ว่าวิธีการของชาวไหวเจียงช่างโหดร้ายเสียจริง
“ตามมา! ”
ซูจิ่นซีไม่รอช้า รีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้ โดยถือนอแรดไว้ในมือ
แม้จะรู้ว่า หากอาศัยพลังของซูจิ่นซี ย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ทว่าอู๋จุนยังอดเอ่ยปากเตือนไม่ได้ “แม่นางพิษน้อย ระวังตัวด้วย! ” เขาเดินตามซูจิ่นซีมาด้านหลังอย่างใกล้ชิด
มู่หรงอวิ๋นไห่ตามอยู่ด้านหลังอู๋จุน
ซูจิ่นซีมีท่าทางจริงจังอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ความสนใจและสมาธิของนาง ระบบถอนพิษ และอาคมกำไลปี่อั้นล้วนอยู่ในสภาวะตื่นตัว นางระบุตำแหน่งของไหมฟ้าอย่างระมัดระวัง วิเคราะห์อย่างรอบคอบว่าไหมฟ้าเส้นใดสามารถตัดได้ เส้นใดตัดไม่ได้
แท้จริงแล้ว วิธีนี้คล้ายกับการกู้ระเบิด ไม่ใช่สิ่งที่ตัดขาดแล้วก็เสร็จสิ้น
หากตัดผิดเส้นโดยไม่ระมัดระวัง ไหมฟ้าที่วนอยู่เหนือศีรษะจะร่วงลงมา ผลที่ตามมาคงเลวร้ายและน่าอนาถยิ่งกว่าการที่พวกเขาปืนขึ้นมาจากด้านล่างและถูกแขวนไว้บนไหมฟ้าเสียอีก
จากด้านล่างถึงด้านบนของปากปล่องภูเขามีระยะทางเพียงสิบสองจั้ง พวกซูจิ่นซีทั้งสามคนใช้เวลาสองชั่วยามเต็มๆ ในการปีนไปถึงยอด
ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิท ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับ ตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่สามารถมองเห็นแสงไฟสลัวของสำนักโอสถสกุลจงอยู่ไกลๆ
มู่หรงอวิ๋นไห่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนขอบหน้าผา เขามองไปยังทิศทางนั้น สองมือประสานกัน ดวงตาเต็มไปด้วยความอดทนและความอาฆาตแค้น
ซูจิ่นซียืนอยู่ไม่ไกลจากเขา สายลมพัดผ่านเส้นผมและเสื้อผ้าของนางให้ปลิวไสวไปในอากาศ ดวงตาปรากฏความเฉยเมย ทว่าบางเรื่องกลับแน่วแน่อยู่ภายในใจ
เขารู้ว่าสำนักโอสถสกุลจงกำลังจะจบสิ้น ทุกคนในแคว้นหนานหลีรู้จักเพียงสำนักโอสถสกุลจง แต่ไม่รู้ว่ายังมีสำนักแพทย์
วันเวลาแห่งความทุกข์ยากของสำนักแพทย์สกุลจงใกล้ถึงจุดสิ้นสุด ต่อจากนี้จะมีเพียงอนาคตที่เจริญรุ่งเรือง
แม้นางไม่ได้ลงมือ ทว่าคนที่อยู่ตรงหน้าซึ่งถูกคุมขังมานานหลายปี ฮ่องเต้ที่ทรงอดทนมานานหลายปีต้องลงมืออย่างแน่นอน
ก่อนลงจากเขา ทั้งสามคนตรงไปยังถ้ำซึ่งเป็นสถานที่อยู่อาศัยของสัตว์เทพกิเลน
ซูจิ่นซีอยากรู้ว่าอวิ๋นจิ่นกลับมาหรือไม่
ทว่าในถ้ำไม่มีร่องรอยการกลับมาของอวิ๋นจิ่น
ซูจิ่นซียืนอยู่ในถ้ำเป็นเวลานาน ไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด ผ่านไปครู่ใหญ่จึงทิ้งข้อความไว้ที่ผนังถ้ำเพื่อบอกอวิ๋นจิ่นว่า พวกเขาจะกลับสำนักแพทย์สกุลจงก่อน เพื่อที่ว่า หลังจากอวิ๋นจิ่นกลับมา เขาจะได้ไม่รั้งอยู่นาน และให้เขาตรงกลับไปที่สำนักแพทย์สกุลจง จากนั้นซูจิ่นซีก็เดินออกจากถ้ำ นางเดินลงเขาไปตามทางที่เต็มไปด้วยแสงจันทร์และดวงดาว
อู๋จุนมองแผ่นหลังของซูจิ่นซี เขาต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าไม่ได้พูดออกมา ท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่องเสื้อผ้าสีแดงเลือดนกราวกับเมฆสีแดงอันงดงาม อู๋จุนเดินตามหลังซูจิ่นซีลงจากเขา มู่หรงอวิ๋นไห่ก็เดินตามหลังพวกเขาไปเช่นกัน
หลังจากที่ทั้งสามลงมาจากเขา พวกเขาก็ตรงไปยังสำนักแพทย์สกุลจงเป็นสถานที่แรก ทว่าบริเวณประตูทางเข้าสำนักแพทย์ตระกูลจง ซูจิ่นซีกลับพบกับ JX และคนอื่นๆ
ก่อนหน้านี้ ตอนที่มาถึงประตูเมือง เพื่อหลีกหนีจงจิงเฉิน ซูจิ่นซีจึงต้องแยกทางกับพวกJX ตั้งแต่นั้น นางก็ไม่ได้พบพวกเขาทั้งสี่คนอีกเลย ทว่าตอนนี้ พวกเขาปรากฏตัวได้ทันเวลา วันข้างหน้าคงมีเรื่องราวอีกมากที่ต้องใช้งานพวกเขา
ซูจิ่นซีให้อู๋จุนและมู่หรงอวิ๋นไห่เข้าไปก่อน ส่วนนางมีเรื่องมากมายที่ต้องสั่งความกับ JXทั้งสี่
ซูจิ่นซีให้ JX1 ไปสังเกตการณ์ที่สำนักโอสถสกุลจง ให้ JX2 ไปตรวจสอบดินแดนต้องห้ามของสกุลจงอีกครั้งหนึ่ง ส่วนอีกสองคนที่เหลือให้ซ่อนตัวเพื่อรอคำสั่ง
พวกเขาทั้งสี่ตอบรับคำสั่ง JX1และJX2 แยกย้ายกันไปทำภารกิจของตนเอง ส่วน JX3และJX4 หลบหายไปในความมืด
ซูจิ่นซีกำลังจะเดินไปที่จวนสำนักแพทย์สกุลจง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทันใดนั้น นางก็รู้สึกว่าด้านหลังมีบางอย่างผิดปกติ
ซูจิ่นซีหยุดชะงักและหันไปมองด้านหลัง ทว่าไม่มีสิ่งใดนอกจากความเงียบสงัด
นางยกมือจับหน้าผาก บางที ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ นางอาจเครียดเกินไป ทำให้การรับรู้ผิดเพี้ยนไปบ้าง ไม่เช่นนั้นนางจะได้กลิ่นของเยี่ยโยวเหยาได้อย่างไร?
เวลานี้ เยี่ยโยวเหยาควรอยู่ที่แคว้นซีอวิ๋นไม่ใช่หรือ?
แม้นางจะไม่เคยถามเรื่องการอภิเษกของเขากับหนานกงลั่วอวิ๋น ทว่านางเชื่อมั่นว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่อภิเษกกับหนานกงลั่วอวิ๋นเป็นแน่ ดังนั้น หลังจากนี้คงมีเรื่องอีกมากมายที่เขาต้องรับมือ ทั้งยังมีเรื่องการทหารของแคว้นซีอวิ๋นและการทหารของแคว้นจงหนิง
ตอนนี้ เขาคงไม่มีเวลามาที่แคว้นหนานหลี
ซูจิ่นซีครุ่นคิดพลางเงยหน้ามองดวงจันทร์บนท้องฟ้า และแย้มยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในจวนสำนักแพทย์สกุลจง
เมื่อดอกเหอฮวานแย้มบาน จิ่นซีจะไปหาท่าน ท่านอ๋อง ระยะเวลาหนึ่งเดือนนั้นไม่ไกลนัก! จิ่นซีต้องรีบจัดการเรื่องที่แคว้นหนานหลีให้เสร็จโดยเร็ว และรีบกลับไปหาท่าน
ซูจิ่นซีเดินเข้าไปในจวนสำนักแพทย์สกุลจงแล้ว ผ่านไปไม่นาน ร่างลึกลับราวกับเทพเซียนรัตติกาลก็ค่อยๆ เหาะลงมาบนพื้นอย่างมั่นคง
เขายืนเอามือไพล่หลัง สีหน้าเรียบเฉย ยามที่เหาะลงมา ลมหนาวพัดผ่านรอบตัวเขา ทำให้เส้นผมปลิวไปด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าเคร่งขรึม ไม่ธรรมดา
JX3และJX4 ที่เพิ่งซ่อนตัว เมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบออกมาปรากฏตัวและพูดว่า “ท่าน… ”
ทันทีที่พวกเขาทั้งสองพูด คนผู้นั้นก็ยกมือห้ามไว้