••••••••••••••••••••

บทที่****147: จับกุม!

ไม่มีผู้ใดสนใจความตายของเด็กหนุ่มที่น่าสงสารผู้นั้น โดยเฉพาะหานปิงเอ๋อที่กำลังถูกคุกคามจากหัตถ์ปีศาจทมิฬ นางยกมือขึ้นเพื่อเรียกเอาดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์กลับมาทันที ภายใต้บรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วน นางเฉือนหัตถ์ปีศาจทมิฬออกเป็นสองสามชิ้น ไม่ว่าสมบัติวิเศษที่เขามีอยู่จะแข็งแกร่งเพียงใด แต่เมื่อมันต้องเผชิญหน้ากับดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์มันก็เป็นเพียงเศษเหล็กหยาบกร้านอันหนึ่งเท่านั้น

หลังจากที่สมบัติวิเศษถูกทำลาย เขากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด โลหิตก้อนใหญ่หลั่งออกมาจากปาก อาการเช่นนี้แน่นอนว่าได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ภายในจิตใจของเขาตอนนี้มีเพียงหนึ่งเดียวคือการหลบหนี แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสายเกินไป แสงดาบสีเงินได้ปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขา มันมาพร้อมกับความหนาวเหน็บที่เย็นเชียบไปถึงกลางใจ หลังจากนั้นร่างกายของเขาขาดเป็นสองท่อนทันทีพร้อมร่วงลงสู่พื้นดินอย่างน่าสังเวช ร่างกายของเขากลายเป็นน้ำแข็งสองก้อนใหญ่พร้อมแตกกระจายทันทีเมื่อกระแทกกับพื้นดิน

เมื่อมองเห็นพี่น้องทั้งสองที่ตายตกไปอย่างรวดเร็วจากการถูกแช่แข็ง ชายหนุ่มที่ยังยืนอยู่เลือกยอมแพ้ เขาหันกลับพร้อมกับเริ่มหนีทันทีอย่างไม่ลังเล เขาสั่งให้เหล่าปีศาจที่ถูกเรียกออกมาป้องกันด้านหลังไว้พร้อมกับหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต

ทว่าหานปิงเอ๋อหรือจะปล่อยให้หนีไปโดยง่าย? นางเพียงหัวเราะออกมาอย่างเย็นเยียบ จากนั้นนางขยับดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์เบา ๆ จนเกิดเป็นระเบิดไอเย็นออกมาแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ พื้นที่โดยรอบถูกแช่แข็งโดยสมบูรณ์ บริเวณที่เต็มไปด้วยหมอกสีดำในตอนนี้กลายเป็นแดนหิมะไปเรียบร้อย ร่างนั้นกำลังร่วงลงสู่พื้นดินด้วยความงามของน้ำแข็ง เหล่าปีศาจล้วนแข็งตายจนหมดสิ้น

แม้แต่เหล่านักบวชของเจ้าอ้วนยังไม่สามารถจัดการกับความหนาวเย็นเช่นนี้ได้ พวกนางทั้งหมดหนีอย่างไม่ยั้งคิด ขอบคุณสวรรค์ที่ยังมีเหล่าหมอกสีดำและปีศาจในนั้นคอยดึงดูดความสนใจของหานปิงเอ๋อ ไม่เช่นนั้นนางคงตรวจพบสิ่งแปลกปลอมในบริเวณใกล้เคียงอย่างแน่นอน

เจ้าอ้วนรับรู้ได้ทันทีว่านักบวชสาวของเขาทรมานจากความหนาวเย็นมากเพียงใด รูปร่างที่ไร้ตัวตนเช่นนี้ไม่เกรงกลัวอาคมทั่วไป แต่สำหรับความหนาวเย็นเช่นนี้พวกนางไม่อาจจัดการได้ สถานการณ์นี้ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกกังวล เขายิ่งเข้าใจคำพูดของนักบวชฮัวอวิ๋นที่กล่าวว่ามีเพียงดาบเทวะจิตเหมันต์เท่านั้นที่สามารถจัดการกับร่างกายที่ไร้ตัวตนของพวกนางได้

หลังจากที่หานปิงเอ๋อจัดการกับหมอกดำลงอย่างง่ายดาย สายตาของนางเต็มไปด้วยจิตสังหารเมื่อมองไปยังบุคคลที่กำลังหลบหนี นางกล่าวออกมาอย่างรังเกียจพร้อมหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ยังคิดหนีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์งั้นหรือ? ช่างไร้ไม่รู้อะไรเสียเลย!”

ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางยกมือขึ้นพร้อมกล่าวอย่างนุ่มนวล “ไป!”

สิ่งที่ตามมา ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์เปล่งแสงสีเงินออกมาพร้อมกับพุ่งไปหาชายหนุ่มผู้นั้นราวกับสายฟ้า

เพียงเกิดเสียงกรีดร้องออกมาเบา ๆ ดาบพุ่งทะลุเข้ากลางลำตัวเกิดเป็นช่องโปร่งใสทันที แน่นอนว่าการโจมตีนี้ไม่อาจสังหารผู้ฝึกตนได้ อย่างไรแล้วดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ขยับเล็กน้อยพร้อมกับส่งลำแสงดาบออกไปอีกครั้ง มันต้องการที่เฉือนอีกฝ่ายแยกออกไปสิบชิ้นส่วน ซึ่งนั่นจะทำให้ชายหนุ่มผู้น่าสงสารไม่มีแม้แต่ศพของตนเอง แต่ทว่าขณะนั้นดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์สั่นไหวอย่างรุนแรง ราวกับมันรู้ว่าเจ้านายของมันกำลังตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นมันจึงเลือกที่จะหยุดการสังหารไว้เพียงเท่านี้และรีบกลับไปเพื่อปกป้องนายของตนทันที ทว่าพอกลับมา คล้ายมันแตกตื่น บางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเจ้านาย แต่สิ่งที่มันทำได้คือลอยล่องอยู่ในอากาศโดยไม่อาจทำอะไร

ขณะที่หานปิงเอ๋อปล่อยดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ออกไป เจ้าอ้วนตระหนักได้ทันทีว่านี่คือโอกาสสำคัญแล้ว เพราะว่าหานปิงเอ๋อมักจะเก็บดาบไว้ในร่างกายของตนเอง

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มันเป็นเรื่องยากที่เหล่าแม่มดของเขาจะจัดการนางได้ถ้าหากนางมีดาบอยู่ใกล้ตัว แน่นอน ถ้าหากพวกนางดันทุรังเท่ากับพวกนางแสวงหาความตายนั่นเอง แต่ในตอนนี้สถานการณ์แตกต่างออกไป หานปิงเอ๋อปล่อยดาบออกไป ซึ่งไม่ต่างกับเปิดโอกาสให้เจ้าอ้วน โดยไม่ต้องกล่าวอันใด เขารีบสั่งให้นักบวชสาวของเขาควบคุมนางทันที

แม้ว่าหานปิงเอ๋อจะเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุด แต่ระยะเวลาที่นางเกิดมาบนโลกนี้น้อยเกินไป นางอยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นสิบสามเท่านั้น ถ้าหากปราศจากดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ นางจะสามารถปกป้องตนเองจากเหล่าปีศาจเทวะนี้ได้อย่างไร? ดังนั้นนางถูกควบคุมทันทีโดยไม่มีแม้แต่เวลาจะตอบสนองสิ่งใด

แม้ว่าดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์จะรู้สึกได้ แต่มันก็ไม่สามารถทำสิ่งใด ถ้าเป็นสิ่งที่มีรูปแบบและกำลังคิดปองร้ายกับเจ้านายของมัน แน่นอนว่ามันจะต้องกลับมาช่วยเหลือได้ทันท่วงที แต่สถานการณ์ตอนนี้ผิดแผกไป เจ้านายของมันถูกควบคุมร่างกายไปเสียแล้ว ถ้าหากมันโจมตีก็เท่ากับว่าเป็นการทำร้ายเจ้านายของมันเช่นกัน ดังนั้นดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์จึงรู้สึกไร้หนทางและหมดหวังที่จะทำสิ่งใด

ในความจริงดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ผู้เดียว เจ้าอ้วนรู้สึกเป็นห่วงเช่นกัน แม้ว่าพลังปราณของดาบจะไม่สามารถทำร้ายเหล่านักบวชของเขาภายใต้ร่างกายของหานปิงเอ๋อ แต่มันก็ยังไม่ยอมแพ้และวนเวียนอยู่รอบตัวของเจ้านายมัน

ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เจ้าอ้วนไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปใกล้! เขาเกรงว่าช่วงเวลาที่เขากำลังเดินเข้าไป เขาจะถูกเฉือนออกเป็นชิ้น แน่นอนว่าเขาไม่สนใจที่จะต่อสู้กับสมบัติวิญญาณขั้นเก้าที่กำลังเกรี้ยวกราดเช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงติดต่อกับนักบวชสาวของเขาที่อยู่ในร่างกายของหานปิงเอ๋อว่า “เจ้าสามารถทำให้ดาบเทวะจิตวิญญาณนั่นสงบลงได้หรือไม่?”

“นายท่าน ดาบนี่เป็นสมบัติวิญญาณขั้นเก้า อีกทั้งยังเกิดมาจากธรรมชาติสรรสร้าง ดังนั้นการทำเช่นนั้นมันไม่ง่ายเลย!” นักบวชสาวกล่าวเสริม “แต่ปัญญาของมันนั้นก็เพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง ก็ไม่ยากเย็นนักหากจะจัดการมัน เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย!”

ในขณะที่เขาได้ยินคำพูดของนาง เจ้าอ้วนรีบตอบกลับทันทีพร้อมรอยยิ้ม “ประเสริฐยิ่งนักถ้าหากเจ้าสามารถจัดการได้ เวลาของเรายังเหลืออีกมาก เจ้าสามารถใช้เวลาได้เท่าที่ต้องการ ในเวลานี้ข้าจะไปกล่าวทักทายกับเหล่าชายทั้งสามที่เพิ่งตายตกไปเสียก่อน!”

ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขารีบเดินออกไปทันที ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์จ้องมาที่เขาอย่างรวดเร็วทันทีที่เขาเดินเข้าไปในเขตแดนของมัน ในขณะนั้นเริ่มมีแสงสีเงินและความหนาวเย็นแผ่กระจายออกมาจากดาบ อุณหภูมิโดยรอบลดลงอย่างรวดเร็ว

การกระทำของดาบเช่นนี้ทำให้เจ้าอ้วนกลัวจนถึงที่สุด เขายอมจำนนโดยการยกมือขึ้นทั้งสองข้าง จากนั้นเขาเดินอย่างระมัดระวังไปยังศพของชายหนุ่มที่มาจากสำนักพันปีศาจอย่างช้า ๆ

เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนกำลังเดินห่างออกไปจากเจ้านายของมัน ดาบหยุดการกระทำนั้นทันที แต่ท่าทางของมันยังคงไม่ลดการป้องกันลงเลย เมื่อเห็นเช่นนั้นเจ้าอ้วนรู้สึกหดหู่และอิจฉา เขาหงุดหงิดที่ไม่สามารถเด็ดดอกไม้งามได้เพียงเพราะเจ้าดาบบ้าที่หวงเจ้านายยิ่งกว่าสิ่งใด พร้อมทั้งอิจฉาหานปิงเอ๋อที่ได้ครอบครองสมบัติวิญญาณที่จงรักภักดีเช่นนี้ด้วย

เจ้าอ้วนเดินมาปรากฏตัวต่อหน้าเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าที่สดใส หน้าอกของเขาปรากฏรูที่โปร่งใสพร้อมทั้งร่างกายถูกแช่แข็ง ไม่มีเลือดไหลออกมาเปรอะเปื้อนแม้แต่หยดเดียว มันเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์มาก

แต่การบาดเจ็บเช่นนี้ไม่เพียงพอที่จะสังหารผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นสิบสาม แม้ว่าอาการในตอนนี้จะบาดเจ็บสาหัส แต่ถ้าหากได้รับการรักษาที่ถูกต้อง แน่นอนว่าเขาจะสามารถฟื้นฟูตนเองได้เป็นปกติ

แต่หลังจากที่เด็กหนุ่มมองเห็นใบหน้าของเจ้าอ้วน เขารู้สึกสิ้นหวังทันที เขารู้ว่าสำนักเสวียนเทียนและหอเฉวียนจี้นั้นเป็นมิตรต่อกัน “สหายผู้น้อง คล้ายว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าจะหนักหนาเอาการ!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมใบหน้าที่ชั่วร้าย

แม้รู้ว่าเจ้าอ้วนกำลังหยอกล้อเขาเล่นเพื่อความสนุกสนาน เขายังเผยยิ้มออกมาด้วยความหวังลึก ๆ พร้อมกล่าวว่า “ศิษย์พี่ซ่ง หัตถ์ประกายแสงนั่นเอง!”

“หัตถ์ประกายแสง?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับอย่างประหลาดใจ “ข้ามีฉายาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

“อย่าบอกข้าว่าศิษย์พี่ซ่งไม่ทราบ?” ชายหนุ่มกล่าวอธิบายออกมาอย่างตื่นเต้น “ในวันที่ท่านเข้าสู่หุบเขาแห่งนี้ ท่านได้สร้างการต่อสู้ที่น่าประทับใจกับหานปิงเอ๋อแห่งหอเฉวียนจี้ ในขณะนั้นที่ศิษย์พี่ซ่งใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ด้วยมือเพียงข้างเดียวเพื่อป้องกันคลื่นพลังของดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ของหานปิงเอ๋อ ช่วงเวลาที่มันปะทะกันเกิดเสียงดังสนั่นและสามารถเปรียบได้กับความอัศจรรย์ อีกทั้งศิษย์พี่ซ่งอยู่ในอาการที่สงบตลอดเวลา เหล่าคนที่รับชมการต่อสู้ครั้งนั้นต่างชื่นชมกันไม่น้อย ดังนั้นหลังจากที่การต่อสู้จบลงพวกเราทั้งหมดจึงยอมรับท่านในชื่อหัตถ์ประกายแสง! ศิษย์พี่ซ่ง นี่คือสิ่งที่ทุกคนมอบให้ท่านจากหัวใจ หวังว่าท่านจะรับไว้!”

ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที! พร้อมกับคิดในใจ ‘หัตถ์ประกายแสง! ฉายานี้นับว่าไม่เลว! แน่นอนว่ามันดีกว่าไขมันบัดซบ! ในที่สุดข้าก็มีชื่อเรียกใหม่เสียที หลังจากที่ใช้ชื่อแห่งความโชคร้ายมายาวนานเหลือเกิน!’

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังถูกยกยอโดยชายหนุ่มผู้นี้ อารมณ์ของเขาดีขึ้นอย่างมาก เขากล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “หัตถ์ประกายแสงนั้นเป็นชื่อที่ดี แต่ข้าว่ามันดูจะเกินไปสักหน่อย!”

“ท่านถ่อมตนเกินไปแล้ว ชื่อนี้เหมาะกับศิษย์พี่ซ่งมากที่สุด!” ชายหนุ่มยังไม่หยุดยกยอเจ้าอ้วน

เมื่อได้ยินคำกล่าว เจ้าอ้วนอดเผยรอยยิ้มไม่ได้ ใครกันจะทราบว่าเจ้าเด็กสารเลวนี้คิดแผนการชั่วร้ายอันใดอยู่? เพราะเหตุนั้นพอปลาบปลื้มกับชื่อใหม่อยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงกล่าวธุระการมาครั้งนี้พร้อมรอยยิ้มปีศาจ “ฮ่าฮ่า สหายผู้น้องเข้าใจยกยอยิ่งนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอมอบของขวัญสุดวิเศษคืนกลับ ขอความตายอันสงบมาสู่เจ้า!”