เล่มที่ 16 ตอนที่ 24

Memorize

ในตอนนั้นเองผมสามารถคิดอะไรออกมาได้หนึ่งอย่าง วิเวียนบอกว่าให้ผมทำน้ำยานั้นขึ้นมา เพราะฉะนั้นแล้ว… 

 

 

“เธอกำลังบอกให้ฉันทำน้ำยาตามที่เธอว่า โดยใช้สองตัวนี้เป็นส่วนประกอบใช่ไหม” 

 

 

“ถ้าจะให้ถูกต้องที่สุด ผลของอิกดราซิลจะต้องเป็นส่วนประกอบหลัก แต่ตอนนี้ผลเน่าเสียของอิกดราซิลน่ะ อยู่ในสภาพที่สูญเสียสรรพคุณดั้งเดิมไปจนหมดสิ้นแล้ว จึงไม่รู้ว่าจะยังเรียกว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามแต่ มีวิธีการปรุงยาปรากฏอยู่ในหนังสือแล้วนะ อีกทั้งผลลัพธ์จากการใช้งานโดยตรงก็ออกมาแล้วด้วย” 

 

 

“แล้วไงต่อ?” 

 

 

“มาร์โวลโลใช้เพียงทั้งหมดสี่ชิ้นเล็ก จากทั้งหมดประมาณสิบสองชิ้นเท่านั้น แล้วก็เอาแต่ละชิ้นมาแบ่งครึ่ง ใช้ได้ไปแปดรอบ ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ได้ใช้วิธีนี้เพียงวิธีเดียว เขาใช้วิธีอื่นไปพร้อมกันด้วย แต่มันก็เป็นตัวช่วยส่วนหนึ่งที่สามารถทำลายพลังจิตของราชินีแห่งเอลฟ์ที่ยังคงรักษาความสง่างามและความบริสุทธิ์เอาไว้ตลอดเวลาหลายร้อยปีเชียวนะ” 

 

 

ผมค่อยๆ หยิบผลไม้นั่นขึ้นมาอย่างเบามือ หล่อนบอกว่าใช้เพียงสี่ชิ้นเล็กๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นส่วนที่เหลืออยู่จึงมีทั้งหมดแปดส่วนด้วยกัน ความเงียบเข้ามาปกคลุมบรรยากาศโดยรอบอีกครั้ง แต่แล้วเสียงของวิเวียนก็ดังขึ้นมาทำลายความเงียบนั้น 

 

 

“ฉันหมายถึงว่าถ้าแบ่งเจ้าแปดชิ้นนั้นออกเป็นครึ่งๆ แล้ว เราจะสามารถทำยาได้ถึงสิบหกขวดเลยนะ คิมซูฮยอน นายคิดว่าไง” 

 

 

“…” 

 

 

“นายไม่สงสัยหรือว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นยังไง ถ้านายป้อนยาน้ำสิบหกขวดนั่นให้แพคซอยอนดื่มรวดเดียว” 

 

 

ผมไม่ได้ตอบกลับไปในทันที แต่กลับจ้องไปที่วิเวียนอย่างเงียบๆ แทน ตอนนี้หล่อนกำลังแสดงความมั่นอกมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะต้องประสบผลสำเร็จอย่างแน่นอน  

 

 

พอมาคิดๆ ดูแล้ว วิเวียนไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียว ปัญหาเรื่องความแข็งแกร่งของผมที่เรื้อรังมานานทุเลาลงไปได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะหล่อนด้วยไม่ใช่หรือไง  

 

 

ผมค่อยๆ ไล้มือสัมผัสผลของอิกดราซิล พลันเกิดความรู้สึกดีอกดีใจขึ้นมา พร้อมกับพูดออกไปว่า 

 

 

“ดีกว่าที่คิดนะเนี่ย แต่ว่าวิเวียน ตอนนี้เธอรู้จักการพูดเพื่อดึงดูดความสนใจคนอื่นเขาเหมือนกันนี่” 

 

 

“เอ๋? ดึงดูดอะไร ความสนใจงั้นเหรอ” 

 

 

“หมายความว่าฉันเกิดสนใจขึ้นมาแล้วน่ะสิ แต่ว่าเราจำเป็นจะต้องใช้น้ำยาถึงสิบหกขวดให้แพคซอยอนกินคนเดียวเลยเหรอ เห็นเธอบอกว่าราชินีแห่งเอลฟ์ใช้แค่แปดขวดก็เพียงพอแล้วนี่นา” 

 

 

“อ้อ ไม่ว่าจะดูยังไงน้ำยานี้ก็เปรียบเหมือนดาบสองคมนั่นแหละนะ มันเป็นกรณีหนึ่งเดียวก็จริง แต่ว่าหากแพคซอยอนดื่มยาน้ำนี้เข้าไป แล้วเกิดต่อต้านขึ้นมาล่ะก็ ในตอนนั้นละที่วิธีการทุบตีเพื่อทำลายเธอจะยิ่งยากมากขึ้นไปอีก เมื่อกี้ฉันก็พูดเรื่องความอดทนไปแล้วใช่ไหมล่ะ” 

 

 

“อย่างนั้นหรอกเหรอ ถ้างั้นขอถามอีกคำถาม มีวิธีอื่นที่ไม่ใช่การใช้น้ำยากไหม วิธีที่จะสามารถส่งผลกระทบต่อพลังจิตของผู้หญิงคนนั้นได้น่ะ ก่อนหน้านี้เธอบอกว่ามีสองวิธีนี่นา อย่างเช่น ทำเหมือนกับมาร์โวลโลในตอนนั้น…” 

 

 

ผมค่อยๆ ใช้หางตาตวัดมองไปที่ออร์โด แล้วเริ่มพูดเปรยๆ ออกไป วิเวียนเห็นดังนั้นจึงระเบิดเสียงหัวเราะอันแสนสดใสออกมาทันที 

 

 

“ฮ่าๆ! รู้แล้วว่านายกำลังคิดอะไรอยู่ คิมซูฮยอน โทษทีนะ แต่ฉันใช้ความสามารถของตัวเองในตอนนี้จัดการกับพลังจิตของหล่อนไม่ได้หรอก ไม่สิ ต่อให้เป็นมาร์โวลโล จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ก็ตาม ยังไงก็ดูท่าจะล้มเหลว” 

 

 

“งั้นเหรอ น่าเสียดายจังเลยนะ” 

 

 

“ยังไงก็ตามแต่วิธีการมันก็ไม่ได้มีมากมายอะไรไม่ใช่หรือไง ถ้าใช้พลังที่หลับใหลอยู่ในไม้เท้าด้ามนี้ ก็จะสามารถเลียนแบบอะไรสนุกๆ ได้ตั้งหลายอย่างจากพลังที่ส่งออกมาเลยนะ วิธีมีเยอะแยะจะตายไป ฉันมีสถานะแค่คอยเสนอให้นายเลือกเท่านั้น การเลือกทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับนายคนเดียว คิมซูฮยอน” 

 

 

นั่นสินะ ท้ายที่สุดแล้ว การเลือกทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่แต่กับผมเพียงผู้เดียว ผมพลันเกิดความคิดว่าวิเวียนเองก็พูดเก่งเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอิทธิพลของหนังสือสัญญาหรือเพราะนิสัยแท้จริงของหล่อนกันแน่ แต่ดูเหมือนว่าหล่อนกำลังคิดจะช่วยทำลายจิตใจของแพคซอยอนให้ถึงที่สุดอยู่เช่นเดียวกัน 

 

 

อย่างไรก็ตาม คำพูดของวิเวียนนั้นยังคงอยู่เพียงแค่ขั้นแรกเท่านั้น ต้องลองเข้าไปลงมือกระทำจริงเสียก่อนจึงจะสามารถกำหนดออกมาให้เป็นรูปธรรมได้ ผมที่สามารถตัดสินใจได้ดังนั้น จึงตั้งใจจะไปเข้าประชุมและจบการพูดคุยกับวิเวียนเพียงเท่านี้ 

 

 

“โอเค ฉันตัดสินใจได้แล้ว ฉันจะพยายามวางแผนตามที่เธอบอกแล้วกันนะ” 

 

 

“โอเค โอเค เป็นการเลือกที่ดีมาก” 

 

 

“ฉันคิดว่าเดี๋ยวจะสร้างคุกที่ห้องซ้อมการต่อสู้ชั้นใต้ดินน่ะ ยังไงฉันจะอนุญาตให้เธอเข้าออกได้ตามสบายเลยแล้วกัน ถ้าต้องการกำลังคนหรือวัสดุอุปกรณ์อะไรก็บอกได้เลย ฉันจะช่วยสนับสนุนให้อย่างเต็มกำลัง” 

 

 

“ฟู่ว ตอนนี้เหมือนคิมซูฮยอนรับรู้คุณค่าที่แท้จริงในตัวฉันแล้วยังไงไม่รู้สิ” 

 

 

วิเวียนกอดอก พยักหน้าขึ้นลงด้วยสีหน้าแสนอวดเก่งเสียเหลือเกิน ผมถึงกับพยายามข่มนิสัยชอบอยากแกล้งหล่อน แล้วจึงพูดต่อไปว่า 

 

 

“โอเค โอเค ฉันขอมอบหมายสิทธิทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ให้เธอ เพราะฉะนั้นก็ช่วยทำให้ดีด้วย” 

 

 

“สบายใจหายห่วงได้เลย มีสักครั้งไหมล่ะที่ฉันทำให้นายผิดหวัง” 

 

 

ไม่มีน่ะสิ ผมเองก็มองว่าวิเวียนเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด ที่จะเข้ามารับผิดชอบงานเกี่ยวกับพวกเร่ร่อน 

 

 

ผมลุกขึ้นยืนแล้วพยักหน้าให้ครั้งสองครั้ง ทันใดนั้นวิเวียนที่ฉายความมั่นใจอย่างเปี่ยมล้นจึงเบิกตาโพลง แล้วพูดออกมาว่า 

 

 

“ให้ฉันไปงั้นเหรอ” 

 

 

“อืม ดูเหมือนตอนนี้ฉันจะต้องไปเข้าประชุมแล้ว เธอไม่ต้องเข้าก็ได้ ไม่ต้องลงมาข้องแวะอะไรกับงานทุกอย่างไปสักระยะหนึ่งนะ ขอให้จดจ่ออยู่แต่กับงานนั้นก็พอ”  

 

 

“อ้า…” 

 

 

“ทำไมล่ะ” 

 

 

วินาทีนั้นใบหน้าอันแสนเย่อหยิ่งของวิเวียนที่เผยออกมาจนถึงเมื่อครู่ดูหงอยลงไปถนัดตา หล่อนทำปากขมุบขมิบไปมาราวกับว่าอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วหล่อนก็ยันกายลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีที่ดูเศร้าสลด 

 

 

‘ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นงั้นไปล่ะเนี่ย’ 

 

 

“วิเวียน?” 

 

 

“เข้าใจแล้ว งั้น…” 

 

 

วิเวียนตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วช่างอ่อนแรง พร้อมลงมือเก็บของทีละชิ้น ทีละชิ้น  

 

 

ผมเอียงคอ พลางสงสัยว่าตัวเองพูดอะไรผิดแปลกไปหรือไม่ แต่แล้วนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก หลังจากนั้นในช่วงที่ผมตั้งใจจะเปิดประตูออกไปข้างนอกเพื่อเข้าประชุม จึงได้ยินเสียงอันแผ่วเบาลอยแว่วเข้ามาในหู 

 

 

“ตาบื้อ แค่แตะสักนิดสักหน่อยก็พอแล้ว…” 

 

 

‘…’ 

 

 

จริงๆ แล้ว วิเวียนตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่นะ? 

 

 

 

 

 

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอจบการประชุมไว้เพียงเท่านี้นะครับ” 

 

 

ผมจัดการกับบันทึกที่ได้เขียนไว้เมื่อครู่และแจ้งปิดการประชุม ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นการประชุม แต่ทว่ากลับไม่ได้มีเนื้อหาที่พิเศษแต่อย่างใด พอเราสามารถจัดการกับปัญหาของพวกเร่ร่อนซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดได้แล้ว ดังนั้นปัญหาอื่นที่ค้างคาอยู่ จึงไม่ใช่เรื่องยากมากมายถึงเพียงนั้น 

 

 

“ทุกคนคงยังรู้สึกเหนื่อยอ่อนกันอยู่บ้าง แต่ทว่าสถานการณ์รอบข้างกำลังเกิดความวุ่นวายมากๆ เมอร์เซนต์นารี่เองก็ได้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่าเราจำเป็นที่จะต้องเตรียมการไว้ให้แน่นหนาครับ” 

 

 

ห้องประชุมชั้นสามในขณะนี้ เหล่าสมาชิกทุกคนล้วนนั่งประชุมกันอยู่ ยกเว้นเพียงแค่วิเวียนกับชินแจรยง ผมเห็นสมาชิกเผ่าพยักหน้าอยู่ครั้งสองครั้ง แล้วจึงเบนสายตาไปหาอันฮยอนกับจองฮายอน  

 

 

“ผมมีงานให้สองคนรับผิดชอบเป็นการส่วนตัวด้วยครับ แต่ละคนก็ขอให้ช่วยดูแลรับผิดชอบในงานเหล่านั้น และช่วยพูดรายละเอียดปลีกย่อยที่จะทำการปรับปรุงอย่างละเอียดภายในวันนี้ด้วยนะครับ” 

 

 

“ครับ แคลนลอร์ด ว่าแต่พวกรายละเอียดปลีกย่อยที่จะต้องปรับโดยละเอียดนั่นน่ะ หมายถึงสิ่งไหนบ้างเหรอครับ” 

 

 

“อันฮยอน นายสรุปผลเรื่องอุปกรณ์ใช่ไหม เรื่องนั้นน่ะทำคนเดียวไม่ไหวหรอก มันจำเป็นที่จะต้องมีทั้งการประเมินคุณค่าสิ่งของและคนที่จะมาช่วยนายอีกทีหนึ่ง สิ่งเหล่านั้นนี่แหละที่นายจะต้องพูดกับฉัน” 

 

 

“ฮะ” 

 

 

อันฮยอนพยักหน้าหงึกๆ ให้ทันที ไม่รู้ว่าเข้าใจแล้วจริงๆ หรือเปล่า และเขาได้หันไปมองโกยอนจูด้วยสายตาอันแสนเจ้าเล่ห์ แต่แล้วก็เบนสายตากลับมาด้วยสีหน้าอันตกตะลึง ไม่รู้ว่าไปเห็นอะไรเข้า 

 

 

“ถ้างั้นขอยุติการประชุมไว้เพียงเท่านี้ครับ เชิญทุกคนออกไปก่อน แล้วก็ท่านผู้เฒ่าครับ ขอเวลาสักครู่…” 

 

 

‘ให้ช่วยอยู่ตรงนี้ก่อนจะได้ไหมครับ’ ผมตั้งใจจะพูดต่อไปเช่นนั้น แต่กลับหยุด ไม่ได้พูดต่อในทันที เพราะแพคฮันกยอลที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะยกมือขึ้นมา เจ้านี่ยกมือขอใช้สิทธิ์ในการพูดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งผิดวิสัยอย่างมาก ผมเห็นดังนั้นจึงผายมือให้เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว 

 

 

“ผู้เล่นแพคฮันกยอล อยากจะพูดอะไรหรือครับ” 

 

 

“ทะ…ท่านแคลนลอร์ด ขะ…ขอโทษนะครับ” 

 

 

แพคฮันกยอลลุกขึ้นยืนตัวสั่นงกๆ อีกทั้งยังเปิดประเด็นด้วยการขอโทษขอโพยตั้งแต่เริ่มแรก ท่าทีที่ดูว่างเปล่าแบบนั้น จะให้มองว่าเขากำลังกังวลกับอะไรอยู่ก็คงเป็นไปได้ยาก อีกทั้งผมเห็นว่าเขามีท่าทีกระสับกระส่าย นั่งอยู่ไม่สุขตลอดการประชุม จึงคิดว่ามีอะไรบางอย่างที่แปลกไปเล็กน้อย 

 

 

“พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไรถึงได้ยกมือล่ะ” 

 

 

“ผม…จริงๆ ต้องพูดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ว่า…ลืมไปเสียสนิท…ผมดีใจมากที่ได้เจอพี่ ก็เลย…” 

 

 

“แพคฮันกยอล สงบสติอารมณ์ ทำใจร่มๆ หน่อย” 

 

 

“คะ คือว่า…” 

 

 

เขาเอาแต่พูดวกไปวนมา สายตาของสมาชิกเผ่าล้วนจับจ้องไปยังแพคฮันกยอลเพียงผู้เดียว และนั่นทำให้เขามีทีท่าสับสนงุนงงมากกว่าเก่า คำพูดที่จับจุดสำคัญอะไรไม่ได้เลยของเขา ทำเอาผมได้แต่นั่งเคาะโต๊ะไปพลางๆ รอคำพูดต่อไปจะออกมาจากปาก ผมเคาะโต๊ะอยู่อย่างนั้นได้ประมาณสิบที เจ้านั่นจึงเริ่มพูดออกมาได้อีกครั้ง 

 

 

“ความจริงแล้ว ตอนที่สมาชิกเผ่าออกจากเมืองเพื่อไปตามหาพี่…เผ่าอีสตันเทลลอว์ได้ส่งความช่วยเหลือมาให้เล็กๆ น้อยๆ ด้วยน่ะครับ” 

 

 

“อืม งั้นเหรอ ผู้เล่นจองฮายอนคงขอความช่วยเหลือไป คงส่งกำลังพลมาเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่มีใครล่วงรู้และปกป้องแคลนเฮาส์ล่ะสินะ” 

 

 

เรื่องนี้ผมได้รับทราบจากจองฮายอนแล้วเป็นที่เรียบร้อย ผมเองก็กำลังคิดว่าเร็วๆ นี้จะเข้าไปเยี่ยมเผ่าอีสตันเทลลอว์เพื่อแสดงความขอบคุณต่อเรื่องราวในครั้งนี้ 

 

 

“ครับ แต่ว่าหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่พี่จะกลับมานั้น ผมได้รับการติดต่อผ่านคริสตัลจากพี่ฮายอนน่ะครับ ว่าพี่ยังมีชีวิตรอด…” 

 

 

“แล้ว?” 

 

 

“ด้วยความดีใจ ผมจึงไปบอกคนที่มาเพื่อป้องกันในตอนนั้นครับ เป็นคนที่แคลนลอร์ดรู้จักเป็นอย่างดี…แต่วันต่อมา ท่านผู้นั้นก็มาอีก…คือ…” 

 

 

“แพคฮันกยอล อย่ามัวแต่พูดตะกุกตะกัก อย่าตื่นเต้น แล้วอะไรคือปัญหา พูดแต่เนื้อ ไม่เอาน้ำ” 

 

 

ในที่สุดผมก็ไม่สามารถเอาชนะความรู้สึกรำคาญที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย จึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ผมเองก็ทราบดีว่าตัวเองมีนิสัยเช่นนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้ว่าจะแกล้งไปอย่างนั้น แต่การที่ได้พูดคุยกับวิเวียนที่พอฟังเข้าใจได้ แล้วต่อด้วยมานั่งฟังแพคฮันกยอลพูดเนี่ย ทำเอาผมรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอย่างประหลาด  

 

 

แพคฮันกยอลเองก็คงรู้สึกถึงสิ่งนั้นด้วยเช่นกัน เขาจึงพูดต่อทั้งที่ยังมีสีหน้าตกใจ 

 

 

“อีสตันเทลลอว์ได้ฝากคำพูดหนึ่งถึงแคลนลอร์ดน่ะครับ เขาบอกว่าหากพี่กลับมาแล้ว ให้พาพวกเร่ร่อนมาที่แคลนเฮาส์ของอีสตันเทลลอว์ เรื่องนี้จริงๆ ผมต้องแจ้งตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ว่า…กลับลืมไปเสียสนิท…ขอโทษจริงๆ ครับ”