เล่มที่ 16 ตอนที่ 25

Memorize

วินาทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมาคือ ความสงสัย หากฝากการติดต่อมาให้เมื่อ หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าแล้ว แสดงว่าตอนนั้นพวกเรากำลังอยู่ระหว่างเส้นทางขากลับ แต่ผมกลับไม่เข้าใจอยู่อย่างหนึ่ง คือ พวกอีสตันเทลลอว์ทราบได้อย่างไรว่าพวกเราจับตัวพวกเร่ร่อนมาได้นี่สิ 

 

 

“ถ้างั้นแสดงว่าเขาพูดกับนาย ก่อนที่พวกเราจะกลับมาถึงสินะ แล้วอีสตันเทลลอว์รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะ” 

 

 

“เรื่องนั้นก็อย่างที่ฮันกยอลเล่าให้ฟังค่ะ ฉันได้แจ้งเรื่องที่ได้พบกับแคลนลอร์ด พร้อมอธิบายสถานการณ์ในตอนนั้นให้รับทราบด้วย” 

 

 

“ผู้เล่นจองฮายอนเหรอครับ” 

 

 

“ค่ะ ฮันกยอลเขาอยากรู้แบบละเอียดๆ น่ะค่ะ ก็เลย…” 

 

 

คำตอบออกมาจากปากของจองฮายอน ผมเม้มริมฝีปากตัวเองในทันที 

 

 

“แพคฮันกยอล ถ้างั้นนายก็เลยบอกความจริงพวกนั้นออกไป พวกกำลังพลที่มาช่วยเฝ้าระวังก็เลยไปพูดต่อแบบนั้นใช่ไหม ฉันพูดอะไรผิดไปตรงไหนหรือเปล่า” 

 

 

“ครับ ‘นายช่วยไปบอกแคลนลอร์ดของนายว่าให้พาพวกเร่ร่อนมาที่แคลนเฮาส์ของพวกเราด้วย’ ท่านว่ามาแบบนี้ครับ อ้า! แล้วก็แผนเรื่องคำสั่งเกณฑ์พลด้วย เขาบอกให้เข้าร่วมด้วยน่ะครับ…” 

 

 

“คำสั่งเกณฑ์พลเหรอ แล้วคนที่พูดแบบนั้นคือใครกัน” 

 

 

“เห็นว่าชื่อ เจ้าหญิงแห่งการสำเร็จโทษ…” 

 

 

ผมพอจะเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างคร่าวๆ แล้วละ 

 

 

ใช่แล้ว ฮันโซยองเองก็ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรผิดพลาด แล้วก็ไม่ใช่ผู้เล่นที่จะใช้คำพูดคำจาแบบนั้นด้วย แต่หากเป็นยอนฮเยริมล่ะก็อาจมีโอกาสเป็นไปได้สูงมาก เพราะนิสัยที่ไม่มองหน้ามองหลังของหล่อน ผมได้แต่ลอบถอนหายใจ แล้วจึงกวาดตามองไปรอบๆ 

 

 

คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเรื่องนี้ล้วนมีสีหน้าเหม่อลอย ได้แต่นั่งกลอกตาไปมา แต่ทว่าพวกสมาชิกเผ่าที่อยู่ด้วยกันมานานนั้นกลับมีสีหน้าไม่สู้ดีเหมือนๆ กันหมดทุกคน แม้กระทั่งคนดีๆ อย่างชินซังยงยังทำท่าทางห่อเ**่ยวเลย 

 

 

ก่อนอื่นเราจะต้องสืบค้นหาข้อมูลโดยละเอียด แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างเมอร์เซนต์นารี่กับอีสตันเทลลอว์ที่มีมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ด้วย คำพูดผิดพลาดที่เกิดจากความไม่ตั้งใจของยอนฮเยริมนั้น ทำให้สมาชิกเผ่าเกิดความรู้สึกเป็นปรปักษ์ต่ออีสตัลเทลลอว์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด และในช่วงที่ผมกำลังกังวลว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะหาจุดจบของปัญหานี้ให้ได้อย่างสวยงามที่สุดอยู่นั้น 

 

 

ก๊อก ก๊อก 

 

 

“ขอโทษที่ขัดการประชุมค่ะ พอดีมีเรื่องด่วนเกิดขึ้น ขออนุญาตเข้าไปสักครู่หนึ่งค่ะ” 

 

 

ผมได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นมาในตอนนั้น พอจะหันไปมอง ประตูห้องก็เริ่มเปิดกว้างออก คนที่เปิดประตูเข้ามานั้นคือ พวกลูกจ้างที่มาพร้อมกับชุดเมดกับสายรัดถุงน่อง หล่อนถอยหลังหนีไปเล็กน้อย คงเพราะตกใจกับบรรยากาศในที่ประชุมอันแสนเย็นชาและมึนตึง แล้วจึงค่อยๆ เปิดปากพูดออกมาอย่างแผ่วเบา 

 

 

“ตอนนี้มีผู้เล่นหนึ่งคนเข้ามาเยี่ยมแคลนเฮาส์ค่ะ แล้วก็มีเรื่องขอร้องอะไรสักอย่างด้วย เขาขอเข้าพบท่านแคลนลอร์ดน่ะค่ะ” 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“ลั้ลลา ลั้ลลา~” 

 

 

ณ แคลนเฮาส์ของอีสตันเทลลอว์ 

 

 

พัคดายอนกำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะอย่างตั้งอกตั้งใจ พร้อมฮัมเพลงเบาๆ ไปพลาง หลังจากนั้นจึงบิดเอี้ยวตัวไปมา สะบัดมือไล่ความเมื่อย แล้วจึงวางปากกาขนนกลงจนเกิดเสียงดังตึก หล่อนชูบันทึกนั้นขึ้นฟ้าแล้วมองตาม พร้อมพูดออกมาว่า 

 

 

“ดีมาก เท่านี้ก็เสร็จสมบูรณ์ หึๆ” 

 

 

“เสร็จสมบูรณ์อะไรของเธอ” 

 

 

พรึ่บ! 

 

 

“อะ…เอ๋?” 

 

 

ในตอนนั้นเอง พัคดายอนได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากด้านหลัง บันทึกที่หล่อนกำลังถืออยู่ก็ถูกใครบางคนช่วงชิงไปในชั่วพริบตา พัคดายอนยื่นมือเพื่อจะจับอีกฝั่งของบันทึกฉบับนั้น แต่แล้วอีกฝ่ายกลับยกบันทึกชูขึ้นสูง 

 

 

พัคดายอนได้แต่ยืนเขย่งเท้าอยู่เช่นนั้น จนในที่สุดคงยอมรับได้ว่าตัวเองไม่สามารถช่วงชิงมาจากอีกฝ่ายได้ หล่อนจึงได้แต่หายใจฟึดฟัด พร้อมทำปากยื่นปากยาว แล้วจึงใช้สายตาอันคมกริบจ้องมองไปยังยอนฮเยริมที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ 

 

 

“อะไรเล่า มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย” 

 

 

“เมื่อกี้ แต่นี่อะไรล่ะเนี่ย ไม่เห็นจะมีเนื้อหาอะไรแปลกใหม่เลย เห็นเธอเอี้ยวตัวซ้ายที ขวาทีมากเสียจนฉันนึกว่าเธอเขียนจดหมายรักถึงท่านลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ที่เธอเคารพรักอีกแล้วเสียอีก เห็นแบบนี้แล้วฉันก็อุตส่าห์คาดหวังไว้ซะเต็มที่” 

 

 

“จดหมายรง จดหมายรักอะไรกันเล่า บัตรเชิญเกี่ยวกับคำสั่งเกณฑ์ที่จะจัดขึ้นต่างหาก เอามานี่เลยค่ะ” 

 

 

“อย่างนั้นเหรอ แต่มันไม่จำเป็นต้องส่งแล้วนี่” 

 

 

ยอนฮเยริมยักไหล่ แล้วร่อนบัตรเชิญแผ่นนั้นออกไป  

 

 

พัคดายอนเห็นดังนั้นจึงรีบเคลื่อนตัวไปยังจุดที่กระดาษแผ่นนั้นร่อนลง แล้วหันหน้าไปถามใหม่อีกครั้ง 

 

 

“ทำไมคะ เรื่องนี้พี่โซยองสั่งการเองโดยตรงเลยนะ มีคำสั่งให้ยกเลิกออกมาแล้วเหรอคะ” 

 

 

“ฉันไม่ได้บอกเธอเหรอ ว่าฉันน่ะได้ไปคุยกับเมอร์เซนต์นารี่มาก่อนหน้านี้แล้ว” 

 

 

ในตอนนั้นเองพัคดายอนก็เบิกตากว้าง พร้อมมีสีหน้าสงสัยขึ้นมาราวกับว่าหล่อนรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แปลกๆ ไป  

 

 

“อ้อ ก็คราวก่อนนู้นฉันไปดูยูนิคอร์นที่แคลนเฮาส์เมอร์เซนต์นารี่ใช่ไหมล่ะ ตอนนั้นมีเด็กน้อยที่ชื่อโล่กำบังของพระเจ้าอะไรสักอย่างน่ะ ขอให้ฉันบอกข่าวคราวของท่านลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่บ้าง ฉันก็เลยบอกเขาไปน่ะ แล้วก็บอกอีกว่าถ้าคิมซูฮยอนกลับมา ให้พาพวกเร่ร่อนมาให้ดูและก็ให้มาเข้าร่วมตามคำสั่งเกณฑ์ด้วย” 

 

 

“วะ…ว่ายังไงนะคะ” 

 

 

“เพราะฉะนั้นเธอก็ไม่จำเป็นจะต้องส่งบัตรเชิญที่ลงทุนนั่งเขียนหลังขดหลังแข็งแบบนั้นไปหรอก โฮะๆ ฉันเก่งใช่ไหมล่ะ” 

 

 

ยอนฮเยริมยกยิ้มมุมปากพร้อมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอันแสนจะภาคภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก 

 

 

และในตอนนั้นเอง พัคดายอนก็ขยับคิ้วขึ้นลงไปมา แล้วแหกปากร้องตะโกนเสียงดังว่า 

 

 

“โว้ย! ไอ้พวกปัญญาอ่อน!” 

 

 

“ตกใจหมดเลย! ทำไมจู่ๆ ตะโกนขึ้นมาแบบนี้ล่ะ!” 

 

 

“เธอ…เธอบ้าไปแล้วเหรอเนี่ย” 

 

 

“โอ๊ย? เธอ? บ้าไปแล้วเหรอ? คำพวกนี้เธอไปเอามาจากไหน…” 

 

 

ยอนฮเยริมทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แล้วจึงรีบปิดหูทันทีหลังจากพัคดายอนตะโกนเสียงดังลั่นออกมาอีกครั้ง อีกทั้งคำหยาบคายที่พูดออกมาต่อจากนั้น ทำเอาหล่อนยิ่งขมวดคิ้วพันกันยุ่งกว่าเดิม แววตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ทว่าหลังจากหล่อนได้เห็นสีหน้าของพัคดายอนแล้ว จึงได้ยอมหยุดพูดไป 

 

 

ขณะนี้ความสับสนกำลังปรากฏอยู่บนใบหน้าของพัคดายอนอย่างชัดเจน คงเป็นเพราะสถานการณ์อันแสนน่าอายเช่นนี้ จึงทำให้ยอนฮเยริมได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ อยู่สามสี่ครั้ง แล้วพูดออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ 

 

 

“ไม่…จริงๆ ก็ไม่ได้พูดอะไรที่มันพิเศษออกไปหรอก แค่เคยสนิทสนมกันสมัยอยู่สถาบันผู้เล่นตอนก่อนนู้นน่ะ…” 

 

 

“…พูดออกมาให้ชัดๆ เลยค่ะ พูดชัดๆ เลย ขอชัดๆ” 

 

 

“ก็แค่ถ้ากลับเมืองมาแล้ว ให้พาพวกเร่ร่อนมาที่เผ่าของพวกเรา แล้วก็คำสั่งเกณฑ์ใกล้จะจัดขึ้นแล้ว เพราะงั้นก็เลยสั่งให้มาเข้าร่วมด้วยน่ะ…” 

 

 

คำตอบของยอนฮเยริมทำเอาพัคดายอนถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง แต่แล้วหล่อนจึงรีบเงยหน้าขึ้นราวกับว่าตอนนี้ไม่มีเวลาเหลือแล้ว แล้วเริ่มวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงแค่ยอนฮเยริมคนเดียว หล่อนได้แต่มองพัคดายอนด้วยสีหน้าอันแสนหดหู่ หลังจากนั้นจึงค่อยเดินตามขึ้นไปอย่างช้าๆ  

 

 

สถานที่ที่พัคดายอนมานั้นคือ ห้องทำงานของฮันโซยอง หล่อนเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาทันที ไร้ซึ่งการเคาะใดๆ ทั้งสิ้น แล้วจึงเริ่มบ่นงึมงำๆ ถึงการกระทำอันแสนป่าเถื่อนของยอนฮเยริมทันทีที่ได้เข้ามา 

 

 

ในตอนแรกฮันโซยองเองก็แสดงความอึดอัดใจออกมา อาจเป็นเพราะอารมณ์เสียที่อีกฝ่ายไม่ยอมเคาะประตูเข้ามาก็ได้ แต่ทว่าอารมณ์ของหล่อนก็ได้เปลี่ยนไปทีละน้อย ทีละน้อยตามการบ่นงึมงำออกมาอย่างต่อเนื่องของอีกฝ่าย จนตอนนี้ความงุนงงจึงได้ฉายขึ้นมาอยู่บนใบหน้าของหล่อนแทน ซึ่งอารมณ์ที่แสดงอยู่บนดวงหน้าของหล่อน ณ ขณะนี้ถือว่าหาดูได้ยากมาก หลังจากหล่อนได้สมญานามว่า ‘ราชินีแห่งเลือดและเหล็ก’ 

 

 

หลังจากฟังมาตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว ฮันโซยองจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมวางบันทึกที่ถืออยู่ลง แล้วจึงมองยอนฮเยริมที่เดินกระดากใจเข้ามาจากด้านนอกประตู พร้อมกับเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา 

 

 

“ยอนฮเยริม ที่ดายอนพูดออกมาตอนนี้น่ะเป็นความจริงหรือเปล่า” 

 

 

“ไม่ค่ะ คือ…” 

 

 

“เป็นความจริงไหม” 

 

 

“…อืม” 

 

 

ฮันโซยองกุมหน้าผากด้วยมือทั้งสองข้าง ใช้มือนวดหน้าผากตัวเองอยู่อย่างนั้นไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน 

 

 

“เธอนี่มัน…ทำไมถึงได้โง่แบบนี้ เรื่องที่จะต้องทำก็มีเยอะแยะเต็มไปหมดอยู่แล้ว ทำไมถึงเอาแต่สร้างเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมาล่ะ ฮะ?” 

 

 

“ฉัน…ไม่มีความหมายประสงค์ร้ายอะไรแฝงอยู่เลยจริงๆ นะ…” 

 

 

ในตอนนั้น ยอนฮเยริมเองก็คงรู้สึกได้ว่าสถานการณ์มันไม่ง่ายอย่างที่คิด หล่อนจึงจ้องไปยังบันทึกที่วางอยู่บนโต๊ะของฮันโซยอง พร้อมบ่นขมุบขมิบด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย  

 

 

หากจะให้ว่ากันโดยละเอียดแล้ว ความหมายที่มีอยู่ในการกระทำของยอนฮเยริมนั้นก็ไม่ได้ผิดแผกอะไร เดิมทีกฏระเบียบก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว การตัดสินคดีเกี่ยวกับพวกเร่ร่อนนั้น ตัวแทนเผ่าเป็นผู้รับผิดชอบส่วนนี้อยู่ และสถานการณ์ในขณะนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไร การที่แคลนเมอร์เซนต์นารี่มาเข้าร่วมด้วยก็คงจะเป็นเรื่องดี 

 

 

แต่ถึงแม้ข้อความที่ได้นั้นจะเหมือนกัน แต่ด้วยวิธีการสื่อสารต่างหากที่จะทำให้ผู้รับฟังเกิดความไม่เข้าใจในสาสน์นั้นๆ ได้ พูดง่ายๆ ก็คือ ปัญหาของกลวิธีนั่นเอง  

 

 

สิ่งที่จะต้องพึงรักษาไว้ระหว่างกันและกันนั้น อย่างน้อยก็จะต้องมีขั้น มีตอนไว้เสียบ้าง ซึ่งจากข้อนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ไม่ใช่เผ่าที่อยู่ภายใต้สังกัดของอีสตันเทลลอว์ อีกทั้งยังเป็นเผ่าทหารรับจ้างอิสระอีกด้วย ไม่สิ ต่อให้เป็นเผ่าภายใต้อาณัติ ก็จะไม่ปฏิบัติเช่นนี้อย่างแน่นอน ถึงจะบอกว่ามีกฏระเบียบหรือมีสถานการณ์เป็นเช่นไรก็ตามแต่ ทั้งสิทธิ์แรกเกี่ยวกับพวกเร่ร่อนและการตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมคำสั่งเกณฑ์ในครั้งนี้หรือไม่นั้น ล้วนเป็นสิทธิของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่โดยเฉพาะ ซึ่งจะไม่มีผู้ใดละเมิดสิทธิ์นี้ไปได้อย่างแน่นอน  

 

 

พูดง่ายๆ ก็คือ การกระทำของยอนฮเยริมนั้น ล้วนมีแต่ความเชื่อมั่นในความสนิทสนมอันหาสาระไม่ได้ เมื่อสมัยอยู่สถาบันผู้เล่น อีกทั้งหล่อนยังไม่ใส่ใจ ไม่สนใจขั้นตอนสำคัญใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว กล่าวคือ การกระทำของหล่อนในครั้งนี้อาจทำให้ฝั่งเมอร์เซนต์นารี่รู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก เป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง 

 

 

“ทำอย่างไรดีล่ะคะ” 

 

 

พัคดายอนเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันไร้ซึ่งแรง หลังจากนั้นยอนฮเยริมที่ได้แต่ยืนมองตาปริบๆ จนถึงเมื่อครู่นี้จึงได้ตอบออกมาอย่างระมัดระวัง 

 

 

“ฉันรู้ตัวดีว่าทำผิดพลาดไป ถ้างั้นเราแค่บอกขอโทษไปเฉยๆ ไม่ได้เหรอ เขาก็ไม่ใช่คนใจแคบอะไรขนาดนั้นสักหน่อย” 

 

 

“อีกแล้ว อีกแล้ว จะสร้างปัญหาอะไรอีกแล้ว ยังไงก็เถอะ หากใช้มันสมองได้สักครึ่งหนึ่งตอนไปรบได้ล่ะก็…ช่างเถอะ เรื่องขอโทษน่ะมันแน่นอนอยู่แล้ว ยังไงก็ลองขอโทษเขาไปก่อนแล้วกัน” 

 

 

คำพูดทั้งหมดที่ว่ามานั้นล้วนสมเหตุสมผลดีหมดทุกประการ แต่ทว่าพัคดายอนนั้นกลับส่ายหน้าไปมา พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย ทั้งการกระทำและท่าทางการพูดเช่นนั้นล้วนกระทบใจยอนฮเยริม ทำเอาหล่อนรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก 

 

 

ความเงียบเข้ามาปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง ฮันโซยองเอามือที่กุมขมับไว้ลง คงเป็นเพราะอาการปวดหัวตุบๆ เมื่อก่อนหน้านี้ทุเลาลงไปบ้างแล้ว แล้วจึงจ้องไปยังทั้งสองที่ยืนประหม่าอยู่ตรงหน้า พร้อมเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันแสนแผ่วเบา 

 

 

 

 

 

* * *