การที่มีผู้เล่นเข้ามาเยี่ยมเป็นครั้งแรกนั้น ไม่ได้ทำให้ผมตกใจเสียจนขนาดนั้น เพราะมีเหล่าผู้เล่นต่างสนอกสนใจในเมอร์เซนต์นารี่ที่กลับคืนมาอยู่ตลอด ดังนั้นผมจึงคิดว่าอาจจะโจซึงอูหรือไม่ก็คูเยจีก็ได้ที่เข้ามาหาพวกเรา
แต่ลูกจ้างบอกว่าเป็นผู้มาร้องขอ การพึ่งพาอาศัยในสถานการณ์ที่โดนทวีปตะวันตกรุกรานอยู่ ในขณะนี้นั้น คือ สถานการณ์ที่เราไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ทั้งสิ้น แต่ทว่าผมกลับกระตือรือร้นขึ้นมาเสียแล้วสิ ดังนั้นผมจึงรีบปิดการประชุม แล้วขอข้อมูลจากลูกจ้าง
หลังจากที่ได้รับข้อมูลจากลูกจ้างแล้ว ผมจึงเข้ามายังห้องรับแขก ทันใดนั้นก็เห็นผู้เล่นหญิงคนหนึ่งที่ใส่เสื้อคลุมสะอาดสะอ้าน
ในตอนที่ผู้เล่นหญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามอง ผมเกิดผงะไปชั่วครู่
“สวัสดีค่ะ!”
“อ้า ครับ สวัสดีครับ”
ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้เล่นที่ผมรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน แน่นอนว่าไม่ใช่จากรอบที่สอง แต่เป็นรอบแรก
“ไม่ทราบว่าใช่ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่หรือเปล่าคะ”
“ครับ ผมคิมซูฮยอน ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ครับ”
“อ้า~ หนุ่มกว่าที่คิดนะคะเนี่ย ยินดีที่ได้พบค่ะ ฉันฮยอนซึงฮี ลอร์ดของเผ่าแสงดาวค่ะ”
ฮยอนซึงฮียื่นมือเข้ามาหาพร้อมส่งมอบรอยยิ้มอันแสนมีชีวิตชีวามาให้ ผมเผลอตัวยื่นมือออกไปจับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าหล่อนมาหาผมทำไมกันแน่ แต่อย่างน้อยเผ่าแสงดาวนี้ก็ไม่ใช่เผ่าที่กำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ทางทิศใต้ในปัจจุบัน
ในพริบตาเดียว ความสงสัยใคร่รู้อันมากมายจึงก่อเกิดขึ้นมาภายในใจผม อย่างไรก็ตามหากลองฟังหล่อนพูดมาก่อน ก็คงจะรู้อะไรบ้าง ดังนั้นผมจึงเชิญให้ฮยอนซึงฮีนั่งลง
“ได้ยินมาว่ามีเรื่องร้องขอเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ อ้า…ไม่ทราบว่าฉันเป็นคนมาร้องขอคนแรกเลยหรือเปล่าคะ”
“ไม่นะครับ”
“อ๊ะ น่าเสียดายจัง”
ฮยอนซึงฮีแสดงสีหน้าเสียดายออกมาอย่างปิดไม่มิด แต่แล้วหล่อนก็บิดขาไปมาด้วยท่าทางอารมณ์ดี และวางมือทั้งสองข้างลงบนเข่า หลังจากนั้นจึงพูดออกมาด้วยสีหน้าพริ้มเพรา
“ไม่ทราบว่าลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่รู้อะไรเกี่ยวกับฉันหรือไม่คะ”
“ครับ ก็พอประมาณ…ผมทราบว่าคุณเป็นผู้เล่นคนหนึ่งที่สามารถฝึกยูนิคอร์นให้เชื่องได้”
“ค่ะ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวแล้วเนอะ เพราะไม่นานมานี้มีผู้เล่นที่สามารถฝึกยูนิคอร์นให้เชื่องได้เพิ่มมาอีกหนึ่งคนน่ะค่ะ”
คนที่ฮยอนซึงฮีพูดถึงอยู่นั้นคือผมอย่างแน่นอน ระยะเวลาที่ผมได้พาเจ้ายูนิคอร์นน้อยมาอยู่ด้วยนั้นได้ผ่านไปนานแล้วเหมือนกัน ดังนั้นข่าวลือคงแพร่สะพัดออกไปบ้าง ไม่รู้ทำไมผมถึงคิดว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเจ้ายูนิคอร์นน้อย จึงได้พยักหน้าไปเพื่อสื่อความหมายว่าให้หล่อนพูดต่อได้ ฮยอนซึงฮีเห็นดังนั้นจึงส่งรอยยิ้มอันแสนดึงดูดใจออกมา แล้วเริ่มบทสนทนาไปอย่างช้าๆ
เผ่าแสงดาวนั้น เดิมทีเป็นเผ่าในสังกัดที่เคยปฏิบัติภารกิจในเมืองทั่วไปทางตะวันตก อย่างเช่น ในเมืองฮาโล เป็นอีกหนึ่งเผ่าที่มีเผ่าจำนวนมากเข้าร่วมการเดินทางไกลไปในเทือกเขาเหล็กกล้า แต่ทว่าการเดินทางไกลในครั้งนั้นกลับล้มเหลว จึงได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก ฮยอนซึงฮีเองก็ได้รับความช่วยเหลือจากยูนิคอร์น ทำให้หล่อนสามารถรอดชีวิตและหนีรอดออกมาได้อย่างหวุดหวิด
หลังจากนั้นในขณะที่กำลังทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อฟื้นฟูใหม่อีกครั้งนั้น การบุกโจมตีของทวีปตะวันตกก็ได้เริ่มต้นขึ้น โดยภายหลังที่เบธกับโดโรธีนั้นถูกเข้ายึดครองเสียจนหมดกำลังสู้ จึงทำให้หล่อนเกิดความคิดแน่วแน่ที่ว่าจะต้องออกไปจากฮาโลให้จงได้
“ถ้างั้น คุณก็ออกจากการเป็นเผ่าภายใต้ SSUN น่ะสิครับ”
“ใช่แล้วค่ะ จริงๆ แล้วหลังจากพวกเราเดินทางไกลกลับมา เราไม่ได้มีความรู้สึกพึงพอใจกับอะไรสักอย่างเลยแม้แต่น้อย คราวก่อนนู้นก็บอกว่าจะนำแผนผู้เล่นใหม่ที่ชื่อว่าแผนพัฒนาผู้เล่นมาใช้ แต่แล้วกลับไม่ยอมมาจัดการรับผิดชอบงานที่เหลือเลย เบธกับโดโรธีก็ส่งคำร้องของกำลังพลแล้ว แต่วาร์ปเกตกลับถูกตัดไปเสียอย่างนั้น ตอนนี้เห็นว่ากำลังเข้ามาฮาโลแล้วด้วยนี่คะ ต่อให้ประชุมแผนนโยบายทุกวัน แต่แล้วมันก็พลิกหงายหลังกลับไปอยู่ดี เพราะฉะนั้นมันไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย ฉันเลยทิ้งทั้งฐานะและอะไรอีกหลายๆ อย่าง แล้วหนีมาที่โมนิก้ายังไงละคะ ขืนอยู่ที่นั่นต่อไปเรื่อยๆ ฉันคงเหมือนตายทั้งเป็นแน่ๆ ค่ะ”
ฮยอนซึงฮีบ่นออกมาเร็วปานจรวด คงเป็นความไม่พอใจที่เพิ่มพูนสะสมมาจนถึงตอนนี้
“อย่างไรก็ตาม คุณจะว่าฉันเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวก็ได้ แต่ยังไงก็ช่วยมองในแง่ดีด้วยนะคะ ตอนนี้มีผู้เล่นที่เป็นแบบนั้นอยู่เยอะมาก คงหมดหนทางแล้วเลยเป็นอย่างนั้นมั้งคะ”
“ผมไม่คิดว่าเป็นการขี้ขลาดตาขาวอะไรหรอกครับ”
ผมตอบออกไปอย่างชัดเจน และมองไปยังฮยอนซึงฮี ตอนนี้หากใจเราตรงกัน ผมเองก็อยากจะถามถึงสถานการณ์ของเมืองทางทิศตะวันตกหรือไม่ก็ถามนู่นถามนี่ไปเรื่อยเช่นเดียวกัน แต่ทว่ามองแล้วดูเหมือนคงไม่อยากจะพูดอะไรไปมากกว่านี้
“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉันจะพูดถึงเนื้อหาทั่วไปที่มาร้องขอเลยนะคะ ไม่มีที่ไหนที่ฉันจะไปขอร้องได้อีกแล้วค่ะ นอกจากเผ่าเมอร์เซนต์นารี่”
“บางทีดูเหมือนว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้ายูนิคอร์นน้อยนะครับเนี่ย”
“ฉันละชอบคนรู้ทันจริงๆ ใช่แล้วค่ะ เมื่อครู่ฉันได้พูดไปแล้วใช่ไหมคะ ว่าฉันรอดชีวิตจากการเดินทางไกลในเทือกเขาเหล็กกล้าได้ก็เพราะมียูนิคอร์นช่วยไว้ ตอนนั้นยูนิคอร์นเองก็ได้รับบาดเจ็บหนักเหมือนกัน แต่ก็ยังมาช่วยฉันไว้ โชคดีที่เราทั้งสองยังรอดชีวิตมาได้ อีกทั้งยังสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของยูนิคอร์นได้อีกด้วย แต่หลังจากนั้นมาเขาก็ดูอ่อนแรงไปเสียแล้ว”
ไม่รู้ว่าฮยอนซึงฮีคิดอยากจะดูแลยูนิคอร์นด้วยน้ำใสใจจริงหรือไม่ เพราะใบหน้าที่เคยยิ้มแย้ม ส่องประกายสดใสจนกระทั่งถึงตอนนี้กลับกลายมามีความทุกข์เข้ามาฉาบไว้เป็นครั้งแรก
“ไม่รู้ว่าคุณทราบอยู่แล้วหรือเปล่า ยูนิคอร์นน่ะเป็นสัตว์ที่ไวต่อความรู้สึกมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นเผ่าที่ตัวเองช่วยไว้ตายไป หรือไม่ก็ไม่สามารถลืมเลือนภาพอดีตเหล่านั้นไปได้กันแน่ ฉันเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ถึงอาการบาดเจ็บทางร่ายกายจะสามารถรักษาให้หายได้ แต่การบาดเจ็บทางใจน่ะฉันยังหาทางแก้ไขไม่เจอเลย ดังนั้นช่วยให้ฉันพบกับยูนิคอร์นที่อยู่เมอร์เซนต์นารี่ทีเถอะค่ะ”
“ให้พบเจ้ายูนิคอร์นน้อย เพื่อตั้งใจจะหาทางรักษาอย่างนั้นสินะครับ”
“ค่ะ ยูนิคอร์นเนี่ยถ้าเป็นเผ่าเดียวกันแล้วเขาจะแข็งแรงมากใช่ไหมล่ะคะ บางทีหากทั้งสองได้เจอะเจอกันแล้ว ฉันคิดว่าอาจจะมีปฎิกิริยาตอบสนองอะไรใหม่ๆ ออกมาให้เห็นด้วยน่ะค่ะ”
หล่อนพูดยืนยันออกมาเช่นนั้นแล้ว จึงทำให้ผมได้แต่พยักหน้าตอบรับไป ไม่รู้ว่าหล่อนคิดว่าการกระทำของผมเช่นนั้นคือการตกลงยินยอมหรือไม่ ฮยอนซึงฮีจึงรีบเปลี่ยนอากัปกิริยาโดยทันที
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว ฉันอยากจะขอร้องในฐานะที่เราต่างเป็นผู้เล่นที่ฝึกให้ยูนิคอร์นเชื่องเหมือนๆ กันค่ะ ขอให้ถือว่าเป็นการช่วยเด็กน่าสงสารคนหนึ่งให้อยู่รอดก็แล้วกันนะคะ ช่วยเราสักครั้งจะได้หรือไม่คะ”
คำว่าคำร้องขอแปรเปลี่ยนไปเป็นการขอร้องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ฮยอนซึงฮีพยายามปั้นหน้าให้ดูงดงามกว่าเดิม อีกทั้งยังทำท่าทีให้ร่างกายดูดีขึ้นอีกด้วย ฝีมือในการชักจูงใจผู้ชายก็อยู่ในระดับมาตรฐานเลยละ แต่ทว่าสำหรับผมนั้น มีสุดยอดฝีมือเกี่ยวกับเรื่องนี้(?)อยู่ทั้งคนแล้ว นั่นก็คือ โกยอนจูนั่นเอง ผมเห็นดังนั้นแล้วจึงตอบออกไปด้วยความสุขุม
“ผมเองก็ทราบถึงความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกันครับ ยิ่งไปกว่านั้น คุณตรงมาที่นี่เพื่อร้องขอโดยเฉพาะ ผมจึงไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธอะไรหรอกครับ หากค่าตอบแทบชัดเจน ผมก็พร้อมรับการร้องขอในครั้งนี้ด้วยความยินดีครับ”
ในตอนนั้นเอง ใบหน้าของฮยอนซึงฮีได้แปรเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าเง้างอเสียแทน ผมเห็นดังนั้นจึงได้แต่หัวเราะอยู่ในใจ
หมู่นี้แคลนเฮาส์ของเรามีงานยุ่งให้จัดการอยู่ไม่ขาดสาย อาจเนื่องมาจากการประชุมเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เขาคงอ่านใจผมได้ว่า ผมอยากจะรีบเดินหน้าให้เร็วที่สุด สมาชิกเผ่าจึงตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้ลุล่วงไปได้อย่างรวดเร็ว และรายการต่างๆ ที่ผมได้สั่งไปนั้นก็กำลังอยู่ในช่วงจัดการตามที่สั่งไปทีละเรื่อง ทีละเรื่อง
แคลนเฮาส์ที่ผมกำลังดูอยู่ในตอนนี้ เห็นได้ว่าการเดินทางเข้าออกของเหล่าชาวเมืองกลับเบาบางลงไปถนัดตา จองฮายอนได้คัดเลือกใบเสนอราคามาให้ โดยใช้ระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น ซึ่งในวันเดียวกันนั้นเอง หล่อนได้ไปหา รวมทั้งขอร้องเหล่าชาวเมืองที่จะมาช่วยสร้างแคลนเฮาส์ในครั้งนี้ด้วย และเมื่อไม่นานมานี้เอง หล่อนได้นำแผนผังกับงบประมาณสำหรับก่อสร้างมาให้ผมเซ็นอนุมัติ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การก่อสร้างสามารถเริ่มดำเนินงานได้ตั้งแต่เมื่อวาน สามารถพูดได้เลยว่าจองฮายอนจัดการงานได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมากจริงๆ
ผมจ้องมองเหล่าชาวเมืองที่เดินไปล็อบบี้บ้าง ใต้ดินบ้างอย่างสุขุม แล้วจึงเงยหน้าขึ้นไปมองดาดฟ้าตึก ด้วยความที่อยู่ในช่วงก่อสร้าง จึงทำให้พวกเราไม่สามารถคุมขังตัวพวกเร่ร่อนได้ ดังนั้นจึงย้ายพวกนั้นขึ้นไปไว้บนดาดฟ้าตึกเป็นการชั่วคราว
ผมสบตาเข้ากับโกยอนจูที่กำลังเฝ้าพวกเร่ร่อนอยู่ ไม่รู้ว่าหล่อนได้มองลงมาข้างล่างบ้างหรือไม่ ผมจึงโบกมือไปให้หล่อน หล่อนเห็นดังนั้นจึงโบกมือตอบกลับมาบ้าง หลังจากนั้นผมก็เดินเข้าไปยังด้านในของแคลนเฮาส์ แล้วเคลื่อนตัวขึ้นไปยังชั้นสาม
ทันทีที่เข้ามายังห้องเก็บอุปกรณ์ชั้นสาม ผมจึงได้พบกับใบประเมินคุณค่าสิ่งของแขวนอยู่ตามอุปกรณ์ต่างๆ ที่วางอยู่ แพคฮันกยอล, ชินซังยง, ท่านผู้เฒ่า รวมทั้งอันฮยอนต่างก็กำลังมุ่งมั่นจัดการกับอุปกรณ์เหล่านั้นโดยไม่รู้ตัวเลยว่าผมเข้ามาหา
ผมยืนมองภาพเหล่านั้นด้วยใจอันอิ่มเอิบ แล้วจึงค่อยพาตัวเองไปยังห้องทำงาน ช่วงนี้ผมไม่ค่อยเห็นวิเวียน เลยคิดว่าจะลองแวะไปดูบ้าง แต่แล้วก็เกิดความคิดขึ้นมาว่าการที่เทียวไปเทียวมาอยู่เช่นนั้น อาจจะรบกวนการทำงานได้เช่นกัน
เมื่อผมเดินทางมาถึงห้องทำงานชั้นสี่แล้ว จึงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จมอยู่ในห้วงความคิดอย่างเงียบๆ งานต่างๆ กำลังถูกจัดการอย่างค่อยเป็นค่อยไป บางทีงานเหล่านั้นอาจจะเสร็จสมบูรณ์ได้ในช่วงเร็ววันนี้ จึงทำให้ผมคิดถึงงานที่จะสะสางต่อไปในอนาคต
ในช่วงที่ผมหยิบบันทึกกับปากกาขนนกออกมาด้วยใจที่อยากจะจัดการเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไปนั้น
ก๊อก ก๊อก
“พี่! อยู่ข้างในหรือเปล่า พี่!”
ผมก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงอียูจองที่กำลังเรียกผมอย่างร้อนใจ
“เข้ามา”
ทันทีที่ผมบอกให้เข้ามาได้ ประตูก็เปิดออกในทันที แล้วจึงพบเข้ากับอียูจองที่มีสีหน้าร้อนใจกับอะไรสักอย่าง หล่อนรีบสาวเท้าเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว เมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมแล้ว จึงเปิดปากพูดออกมาว่า
“พี่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
ผมกำลังให้ความสนใจกับอียูจอง ผู้ติดตามของผมในช่วงนี้ ในช่วงแรกก็ให้เป็นผู้ติดตามไปก่อนเพื่อที่จะได้สังเกตหล่อนอย่างใกล้ชิด แต่ก็คิดว่ามีความสามารถมากกว่าที่คิดไม่ใช่เล่นๆ ทว่ายังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่นั่นเป็นเพียงแค่ข้อด้อยเพียงข้อเดียวเท่านั้น ข้อด้อยที่ว่าก็คือ หล่อนมักบอกว่า ‘เกิดเรื่องใหญ่แล้ว’ อยู่ทุกที ทั้งๆ ที่เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไรเลยด้วยซ้ำ
“หืม? เรื่องอะไร”
ผมวางบันทึกที่เพิ่งหยิบมาไว้บนโต๊ะ หลังจากนั้นถึงถามหล่อนกลับไป พลางหมุนปากกาขนนกในมือไปพลาง ทันใดนั้นอียูจองก็กลืนน้ำลายลงคอ แล้วจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า
“เผ่าอีสตันเทลลอว์มาหา แคลนลอร์ดมาเองเลย”