บทที่ 638 ความเป็นมาลึกลับของเยี่ยนเยี่ยน

Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน

บทที่ 638 ความเป็นมาลึกลับของเยี่ยนเยี่ยน

 

“ข้าไม่รู้ว่าพ่อแม่ของข้าเสียชีวิตอย่างไร” เยี่ยนเยี่ยนพูดหลังจากได้ยินคําถามของซูหยาง

 

“เอ” ซูหยางหันหน้าไปมองเธอพร้อมกับเล็กคิ้วด้วยท่าทางงุนงง

 

“พ่อแม่ของข้าหายไปตั้งแต่วันที่ข้ามีอายุครบ 10 ขวบและพวกเขาก็ไม่ได้กลับมาเลยนับตั้งแต่นั้น”เยี่ยนเยี่ยนอธิบายให้เขาฟัง

 

“พวกเขาหายตัวไป ทําไมเจ้าถึงบอกว่าพวกเขาตายแล้วล่ะ พวกเขาอาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดที่หนึ่งในโลกนี้” เขากล่าว

 

“เพราะวิญญาณบอกข้า”เธอตอบ

 

“ปราณไร้ลักษณ์บอกเจ้าว่าพ่อแม่ของเจ้าเสียชีวิตอย่างนั้น นี่เป็นสิ่งที่ข้ามเคยได้ยินมาก่อน” ซูหยางพูดด้วยใบหน้าครุ่นคิด

 

เยี่ยนเยี่ยนพยักหน้าและเธอก็พูดต่อไป “ก่อนที่พ่อแม่ของข้าจะหายตัวไป พวกเขาบอกข้าว่าอย่าไว้ใจคนอื่น ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครและข้าสามารถจะเชื่อใจวิญญาณได้เท่านั้น”

 

“นั่นคือเหตุผลที่เจ้าระยะห่างจากทุกคนสิ้นะ อย่างไรก็ตาม… พ่อแม่ของเจ้า… พวกเขารู้เกี่ยวกับพรสวรรค์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าหรือไม่” ซูหยางท่าใจเชื่อไม่ได้

 

ลักษณะของเยี่ยนเยี่ยนนั้นหายากมาก จนสมเหตุผลหากไม่มีใครในโลกนี้รู้ถึงการคงอยู่ของมัน และพวกเขาก็จะไม่เชื่อแม้ว่าพวกเขาจะได้รับการบอกเล่า อย่างไรก็ตามพ่อแม่ของเธอได้รู้เรื่องนี้หรือไม่ พ่อแม่ของเธอเป็นใคร และทําไมพวกเขาถึงหายตัวไป ยิ่งไปกว่านั้นเหตุใดปราณไร้ลักษณ์จึงบอกเธอว่าพ่อแม่ของเธอตายไปแล้ว ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับสถานการณ์ของเธอนั้นที่สมเหตุผลเลย

 

“ใช่พ่อแม่ของข้ารู้ว่าข้าสามารถพูดคุยกับวิญญาณได้ตั้งแต่ข้ายังเด็กมาก” เธอกล่าว

 

หลังจากพูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะเขาก็ถามเธอว่า “เจ้าอาศัยอยู่ที่ไหนก่อนที่จะมายังนิกายกุสุมาลย์พันพิสัย”

 

อย่างไรก็ตามเธอส่ายหน้าและพูดว่า “ข้าไม่รู้…ข้าถูกล้อมรอบไปด้วยต้นไม้และภูเขาตลอดเวลา ครั้งแรกที่ข้าออกจากสถานที่นั้นก็คือหลังจากที่พ่อแม่ของข้าหายตัวไป โดยมีวิญญาณนาทางข้าไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาหาท่าน”

 

เมื่อได้ยินคําพูดของเยี่ยนเยี่ยน ซูหยางก็พบว่าสถานการณ์ของเธอน่าสงสัยยิ่งกว่าเดิม อย่างไรก็ตามเขาไม่เห็นเหตุผลใดๆที่เธอจะต้องโกหกเขา ซึ่งทําให้สับสนอยู่บ้าง

 

“อาจารย์ ท่านจะไม่หายไปจากข้าในวันหนึ่งข้างหนใช่ไหม” ทันใดนั้นเยี่ยนเยี่ยนก็พูดด้วยน้ําเสียงเหงาและทําให้ซูหยางสะดุ้งตื่นจากความงุนงง

 

“ข้า… ข้ามิคิดว่าข้าจะสัญญากับเจ้าเช่นนั้นได้…” ซูหยางพูดหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง

 

“ทําไมเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ ท่านจะปล่อยให้ข้าอยู่คนเดียวในอนาคตหรืออย่างไร” เธอมองเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

 

“มิใช่ว่าข้าจะทิ้งเจ้า” ซูหยางพูดกับเธอและเขาก็พูดต่อไปว่า “ขอบอกความจริงกับเจ้าว่าข้ามิได้เป็นคนของโลกนี้ ข้าเป็นคนที่มายังสถานที่แห่งนี้โดยบังเอิญ และเมื่อถึงเวลา ข้าก็จะกลับบ้านของตัวเอง”

 

“ถ้างั้นข้า ไปกับท่านได้ไหม ท่านอาจารย์” เธอไม่ยอมเสียเวลาที่จะถามเขา ไม่แม้จะถามถึงภูมิหลังของเขาด้วยซ้ํา

 

“ข้ามิคิดว่านั่นจะเป็นความคิดที่ดี โชคร้ายที่เจ้าเป็นที่รักของปราณไร้ลักษณ์ของโลกนี้ อย่างไรก็ตามทุกโลกมีปราณไร้ลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ และถ้าข้าพาเจ้าออกไปจากโลกนี้ไปยังอีกโลกหนึ่งก็จะมีโอกาสสูงที่เจ้าอาจสูญเสียพรสวรรค์ดังกล่าว อีกนัยหนึ่งก็คือเจ้าจะไม่สามารถสื่อสารกับวิญญาณได้อีกต่อไป”

 

เมื่อได้ยินคําพูดของซูหยางเยี่ยนเยี่ยนก็เงียบ การสูญเสียพ่อแม่ของเธอส่งผลกระทบต่อเธออย่างมาก และเป็นเพียงเพราะความสามารถของเธอในการพูดคุยกับวิญญาณ ที่เธอสามารถรับมือกับความตายของพวกเขาได้ ชีวิตที่ไม่สามารถพูดกับวิญญาณได้… เธอนึกไม่ออกว่าจะรับมือกับชีวิตที่โหดร้ายเช่นนั้นได้

 

“ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือยังว่า ทําไมข้าถึงทําสัญญากับเจ้าไม่ได้” ซูหยางพูดกับเธอ “ข้ามรังเกียจที่จะพาเจ้าไปด้วย แต่เจ้าจะทนกับการสูญเสียพรสวรรค์ของเจ้าได้หรือไม่ และไม่มีการรับประกันว่าเจ้าจะกลับมาที่นี่ได้ เมื่อเจ้าจากไป”

 

“ไปนอนกันเถอะเจ้ามีเวลาคิดเรื่องนี้อีกมาก เพราะยังเหลือเวลาอีกหนึ่งปีก่อนที่ข้าจะจากไป” ซูหยางพูดกับเธอ

 

“เจ้าค่ะ อาจารย์…” เยี่ยนเยี่ยนพยักหน้าก่อนจะขยับไปชิดกับเขามากยิ่งขึ้นจนเธอชิดกับร่างของเขา

 

ช่างเป็นเด็กน้อยที่ลึกลับ ซูหยางคิดในใจก่อนจะหลับตาลง

 

ในเวลาต่อมา ก็มีแค่เสียงลมหายใจเบาๆ ในห้องนั้น

 

เช้าวันรุ่งขึ้นทุกคนจากนิกายกุสุมาลย์พันพิสัยและตระกูลซีก็มารวมตัวกันในห้องนั่งเล่น

 

“ทุกคนพร้อมที่จะฝึกฝนวิชาในบ่อสวรรค์หรือยัง” เจ้าซีถามโหลวหลานจีและศิษย์คนอื่น ๆ

 

“เจ้าค่ะผู้อาวุโสซี”พวกเขาพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“ถ้าอย่างนั้นเราจะมุ่งหน้าไปยังตําแหน่งของผนึกเดี๋ยวนี้”

 

ซูหยางและคนอื่นๆได้ติดตามเจ้าซีไปยังเทือกเขาห่างจากเมืองหิมะโปรยไม่กี่กิโลเมตร ซึ่งซีหวังได้สร้างที่พักไว้ เพื่อปกป้องและศึกษาสระสวรรค์

 

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาพวกเขาทั้งหมดก็มายืนอยู่ตรงดินแดนว่างเปล่าแห่งหนึ่งในเทือกเขา

 

“ผนึกอยู่ไหนรึ”โหลวหลานจีมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงงบนใบหน้า

 

“เจ้าจะไม่เห็นมันจนกว่ามันจะปรากฏขึ้น” เจ้าชีพูดกับเธอก่อนที่จะหันไปมองที่ซูหยางและพูดต่อ “อย่างไรก็ตาม เจ้าสามารถลองถามเขาดู บางทีเขาอาจจะรู้อะไรบางอย่างเช่นเดียวกับที่เขาเคยทํามาโดยตลอด”

 

ทุกคนที่นั่นหันไปมองซูหยางหลังจากถูกเจ้าซีที่ช่องทาง

 

“อะไรนะอย่าบอกว่าเจ้ามองไม่เห็น” ซูหยางยิ้มให้เจ้าซีที่ขมวดคิ้วอยู่

 

“ข้าไม่จําเป็นต้องเห็นมัน เพราะข้ารู้ว่ามันอยู่ที่ไหน และเนื่องจากเจ้าดูเหมือนจะรู้ทุกอย่าง มาดูกันว่าเจ้าจะรู้ไหมว่าผนึกจะเปิดตรงไหน”

 

ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “ก็ได้ แต่มันจะไม่สนุกถ้ามิมีอะไรให้ตื่นเต้น เดิมพันเล็กๆน้อยๆเป็นไง”

 

“พนันกันมั้ย” เจ้าซีเล็กคิ้ว รู้สึกถึงลางร้ายจากรอยยิ้มของซูหยาง แต่เขาก็ไม่ต้องการถอนตัวหลังจากไปไกลขนาดนี้

 

“น่าสนใจลองดูสิ” เจ้าชีพยักหน้าในเวลาต่อมา

 

ในขณะเดียวกันโหลวหลานก็แอบถอนใจ รู้สึกเสียใจต่อเจ้าซ์ ในฐานะคนที่ไม่เคยชนะซูหยางมาก่อนเธอรู้ดีว่าเจ้าไม่มีโอกาสเอาชนะเขาได้ เพราะซูหยางจะพนันก็ต่อเมื่อเขามั่นใจว่าจะชนะเท่านั้น