ตอนที่ 190-1 เลื่อนวันสมรส

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

จากมุมมองของเสิ่นเวย อาเขยผู้นี้ก็คือผู้ชายชาติชั่วจริงๆ ใช้สินเดิมของภรรยาอย่างใจกล้าหน้าด้านแต่กลับโปรดปรานอนุภรรยาทอดทิ้งภรรยาเอก ตระกูลเหอทั้งตระกูลใหญ่ก็เป็นคนชาติชั่ว ชั่วจนไม่มียารักษาแล้ว

 

 

“ท่านปู่ ยังจะรออะไรอีก หย่าเลย ให้ท่านอาหย่ากับคนแซ่เหอ ยึดสินเดิมกลับมา” หลังจากนั้นพวกเราก็ค่อยหาวิธีฆ่าพวกเขาช้าๆ ประโยคสุดท้ายนี้เสิ่นเวยไม่กล้าพูดออกมา กลัวว่าพ่อนางลุงนางและคนอื่นๆ จะคิดว่าตนโหดเ**้ยมเกินไป หากมีเพียงปู่นางคนเดียวที่อยู่ นางคงจะตะโกนออกไปนานแล้ว

 

 

ชายชาติชั่วหายากเช่นนี้หากยังยอมให้เขามีชีวิตอยู่ไม่ใช่จะเสียข้าวสุกหรือไร ฆ่าให้ตายเสีย ฆ่าให้ตายทั้งหมด ปล่อยให้ตั๊กแตนกลุ่มนี้กระโดดโลดเต้น ช่างขวางหูขวางตายิ่งนัก เสิ่นเวยเป็นคนปกป้องคนในครอบครัว แม้ว่านางจะไม่เคยพบท่านอาผู้นี้ แต่อย่างไรเสียในร่างกายก็มีสายโลหิตเดียวกันไม่ใช่หรือ

 

 

“เวยเจี่ยเอ๋อร์” เสิ่นหงเซวียนขมวดคิ้วถลึงตามองเสิ่นเวยปราดหนึ่ง บุตรสาวคนอื่นต่างก็อ่อนน้อมเชื่อฟัง แต่เหตุใดบุตรสาวผู้นี้ของตนถึงได้ห้าวหาญเช่นนี้ จู่ๆ ก็ร้องตะโกนให้หย่า นี่เป็นคำที่สตรีควรพูดหรือไร

 

 

เสิ่นเวยยักไหล่หลุบตาไม่พูดแล้ว ด้วยความเป็นผู้ปกป้องสังคมศักดินาเช่นพ่อนาง นางก็ขี้เกียจจะเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวไม่พอใจแล้ว สั่งสอนลูกชายคนเล็กทันที “เจ้าตะโกนดุเจ้าสี่ทำไม นางพูดผิดหรืออย่างไร กล้านักเจ้าก็ไปถลึงตาใส่เหอจังหมิงสวะผู้นั้นสิ เขากล้าเหยียบย่ำบุตรสาวจวนจงอู่โหวของพวกเราเช่นนี้ ยังจะปล่อยเขาไว้อีกหรือ”

 

 

ท่าทีของเสิ่นหงเซวียนอ่อนลงทันที ปั้นหน้ายิ้มกล่าว “ท่านพ่อ ลูกก็ไม่ได้พูดอะไรไม่ใช่หรือ อย่างไรเสียน้องสาวกับน้องเขยก็เป็นสามีภรรยา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลินเจี่ยเอ๋อร์อีก หากหย่ากันแล้ว…” สตรีออกเรือนก็ควรจะซื่อสัตย์ต่อสามีจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ได้รับความไม่เป็นธรรมเล็กๆ น้อยๆ ไหนเลยจะหย่าได้ น้องสาวถูกน้องเขยปฏิบัติไม่ดีเขาเองก็โมโหอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ถึงกับต้องหย่าร้างกระมัง

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวมองลูกชายและลูกสะใภ้ของเขา เห็นใบหน้าพวกเขาปรากฏสีหน้าเห็นด้วยเหมือนกันทั้งหมด นายท่านผู้เฒ่าโหวก็ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตนในตอนนี้อย่างไร เขาเป็นคนหยาบกระด้าง ไม่สนใจระเบียบประเพณีเหล่านั้นของวงศ์ตระกูลใหญ่ เขารู้เพียงแค่ว่าบุตรสาวของเขาได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งในบ้านสามี เขาต้องพาลูกหลานของเขาไปตระกูลเหอและทำลายรากฐานตระกูลพวกเขาให้ถึงที่สุด มิเช่นนั้นจะมีลูกหลานมากมายเพียงนี้ไปเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อหนุนหลังแทนพี่น้องที่ออกเรือนหรอกหรือ

 

 

ดูท่าทางขวัญหนีดีฝ่อของลูกๆ เหล่านี้สิ ยังคงเป็นเจ้าสี่ที่เข้ากับเขาได้ นายท่านผู้เฒ่าโหวทอดถอนใจในใจ

 

 

เสิ่นหงเหวินสามพี่น้องไม่เอ่ยปาก เพียงแค่ถอนหายใจสั้นยาว มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ เสิ่นหงเหวินคิดครู่หนึ่งจึงกล่าว “ท่านพ่อ ตระกูลเหอกลั่นแกล้งน้องสาวเช่นนี้ พวกข้าย่อมไม่อาจยอมได้ นี่ไม่ใช่ว่าไม่เห็นจวนจงอู่โหวของพวกเราอยู่ในสายตาหรือ ลูกคิดว่าควรส่งผู้ดูแลไปดูสักหน่อย สุภาษิตว่าไว้ พังศาลเจ้ายังดีกว่าพังชีวิตคู่…”

 

 

ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกนายท่านผู้เฒ่าโหวคว้าแท่งไม้ทับกระดาษบนโต๊ะเขวี้ยงออกไป ชี้จมูกเขาแล้วก่นด่า “นั่นคือน้องสาวแท้ๆ ของเจ้า เจ้าจะส่งผู้แลไปหรือ หากเป็นอิ๋งเจี่ยเอ๋อร์ซวงเจี่ยเอ๋อร์บุตรสาวแท้ๆ ของเจ้า เจ้าก็จะส่งผู้ดูแลไปหรือ เจ้าลูกอกตัญญู ข้าเลี้ยงเจ้าไว้ทำไม เลี้ยงเจ้าไว้ทำไม!” นายท่านผู้เฒ่าโหวโกรธจนมือสั่น

 

 

เสิ่นหงเซวียนพลันเห็นว่ามีของบางอย่างถูกขว้างเข้ามาก็หันหน้าหลบตามจิตใต้สำนึก ที่ทับกระดาษอันนั้นก็เฉียดผ่านไหล่ของเขาไป กระแทกลงบนผนังข้างหลัง ส่งเสียงดังอย่างยิ่งออกมา

 

 

คนหลายคนต่างก็ตกใจกลัว ไม่คิดว่านายท่านผู้เฒ่าโหวบอกว่าโมโหก็จะบันดาลโทสะทันที โดยเฉพาะฮูหยินสวี่กับฮูหยินจ้าว แม้จะรู้ว่านายท่านผู้เฒ่าโหวน่าเกรงขาม แต่ไหนเลยจะเคยเห็นเขาบันดาลโทสะมาก่อน สีหน้าซีดขาวหมดแล้ว ฮูหยินสวี่ในนั้นก็ยิ่งร้อนใจ มองสามีของตนเองด้วยสีหน้าเป็นกังวลทั้งใบหน้า ในใจตำหนินายท่านผู้เฒ่าไม่หยุด ท่านพี่ก็โตขนาดอุ้มหลานได้แล้ว ยังถูกนายท่านผู้เฒ่าก่นด่าสั่งสอนเช่นนี้อีก เสียหน้ายิ่งนัก

 

 

“ท่านพ่อโปรดระงับโทสะ ลูกทราบแล้ว เรื่องนี้ลูกเชื่อฟังท่าน ท่านว่าเช่นไรก็ทำเช่นนั้น หรือว่าจะให้ลูกไปอวิ๋นโจวเที่ยวหนึ่งด้วยตัวเอง” เสิ่นหงเหวินรีบกล่าวอย่างอ้อมๆ ตอนนี้ใบหน้าเขาร้อนผ่าว อยากจะคุกเข่าให้พ่อเขาอย่างยิ่ง

 

 

ฮูหยินสวี่เองก็เอ่ยปากช่วยทันที “ท่านพ่อ ท่านพี่เองก็เป็นห่วงน้องสาว หากน้องสาวหย่าร้าง ก็จะไม่มีทายาทอีก ภายหลังอยู่ตัวคนเดียวจะใช้ชีวิตผ่านไปได้อย่างไร ท่านพี่ก็ไม่ใช่ไม่เป็นห่วงน้องสาว เพียงแต่งานสมรสของเวยเจี่ยเอ๋อร์ใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราไหนเลยจะไปได้”

 

 

ฮูหยินจ้าวกลอกตาหนึ่งครา นึกได้ว่ากูไหน่ไนผู้นี้เป็นน้องสาวแม่เดียวกันกับสามีตน บ้านนางไม่อาจนิ่งเฉยได้ รีบใช้แขนสะกิดสามีทันที

 

 

สองสามีภรรยาบ้านสองใจตรงกันอย่างหาได้ยาก เสิ่นหงอู่ถกแขนเสื้อเลิกชุดคลุมกล่าว “ท่านพ่อ ลูกยินดีไปช่วยน้องสาวระบายความแค้น ข้าจะฆ่าเศษสวะที่ไม่รู้จักบุญคุณผู้นั้นเสีย” ท่าทางนั้นแทบไม่ต่างจากอันธพาลข้างถนน เพียงแต่เขาอายุค่อนข้างมากแล้ว ท่าทางเช่นนี้กลับดูพิลึกพิลั่นเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

 

เสิ่นเวยหงุดหงิดใจแทนปู่ของนางจริงๆ เหตุใดถึงได้เลี้ยงคนแบบนี้ออกมาเล่า หากเป็นพี่น้องของนางที่ถูกกลั่นแกล้งอยู่ที่บ้านสามี นางคงจะยกตั่งไม้ไปขว้างใส่นานแล้ว ระบายอารมณ์ก่อนแล้วค่อยพูด ไหนเลยจะเหมือนพวกเขาที่กังวลเรื่องนี้เรื่องนั้นอยู่ได้ กว่าพวกเขาจะปรึกษาออกความคิดเห็นกันเสร็จงาก็ไหม้แล้ว

 

 

“ท่านปู่ๆ หรือว่าให้หลานวิ่งไปแทนท่านเที่ยวหนึ่ง” เสิ่นเวยกล่าวอย่างหยั่งเชิง เบื้องลึกในใจดีใจอยู่เงียบๆ ไอ๊หยา ล้างแค้นเรื่องทำนองนี้นางชอบทำที่สุด เรื่องนี้นางมีประสบการณ์ดี

 

 

มิหนำซ้ำท่านปู่ก็ไม่อาจไปได้แน่นอน หนึ่งคือหากเขาไปเองจะต้องระดมพลจำนวนมากเกินไป

 

 

เหอจังหมิงชายชาติชั่วผู้นั้นไม่สมควรได้รับ สองคือจวนจงอู่โหวกำลังยืนอยู่ในความสนใจ สายตาแต่ละจวนต่างจับจ้องท่านปู่ของนางอยู่ ไม่ควรออกจากเมืองหลวงจริงๆ

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวมองดวงตาที่เปล่งประกายของหลานสาวเขา จะไม่รู้ความคิดในใจนางได้อย่างไร ในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างอดไม่ได้ “หาเรื่องให้น้อยหน่อย เจ้าอยู่นิ่งๆ ในจวนรอคุณชายใหญ่สวีมาสู่ขอก็พอ” จะแต่งงานอยู่แล้ว ยังคิดแต่จะวิ่งวุ่นไปทั่วอยู่อีก ชอบทำให้คนกลุ้มใจจริงๆ

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวเห็นท่าทางขวัญหนีดีฝ่อของลูกชายทั้งหลายนั้นก็หงุดหงิดใจ ชั่วขณะก็หมดอารมณ์จะพูด โบกมือไล่ลูกๆ ทั้งหลายออกไป เหลือไว้เพียงเสิ่นเวยในห้องหนังสือ

 

 

“เจ้าสี่ เจ้าว่าเรื่องอาเจ้าจะทำอย่างไรดี” นายท่านผู้เฒ่าโหวถามอย่างตรงไปตรงมา

 

 

เสิ่นเวยกล่าว “หลานยังคิดว่าหย่าจึงจะดีที่สุด ครอบครัวแซ่เหอแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่เห็นท่านอาไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา ต่อให้พวกเราจะไปสั่งสอนเขา กดดันให้เขายอมรับผิด แต่ก็ยากที่จะรับรองได้ว่าเขาจะปฏิบัติต่อท่านอาดี ไม่แน่ว่าพอพวกเราไปเขาก็จะทำแบบเดิมซ้ำๆ พวกเราอยู่ห่างไกล ไม่อาจไปเยี่ยมที่นั่นทุกวันได้ไม่ใช่หรือ อุบายเอาชีวิตคนลับๆ มีมากถมไป พวกเขาก็แค่ทำอำพรางหน่อย ทำร้ายท่านอาและกว่าพวกเราจะไปถึงก็สายไปแล้ว ดังนั้นหย่าจึงดีที่สุด พวกเราพาท่านอากลับมา ตัดขาดกับตระกูลเหอของเขา หลังจากนั้นก็ค่อยจัดการตระกูลเหอ เลี่ยงไม่ให้ต้องหยิกเล็บเจ็บเนื้อ”

 

 

เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วยังไม่หย่าแล้วจะรออะไรอีก ใจกว้างไปก็มีแต่จะช่วยคนเลวทำความชั่ว ไม่ต้องพูดว่าอันธพาลที่กลับตัวได้ล้ำค่ายิ่งกว่าเงินทอง แก้ไขข้อผิดพลาดได้เป็นยอดชาย เหตุใดถึงล้ำค่ายิ่งกว่าเงินทองน่ะหรือ ก็เพราะว่าหาได้ยาก เพราะว่ามีน้อยอย่างไรเล่า เสิ่นเวยไม่เชื่อว่าอาเขยตระกูลเหอผู้นั้นจะกลับตัวกลับใจได้ เขาอยู่บนเส้นทางชั่วช้าไม่อาจหันหลังกลับได้แล้ว

 

 

ในใจนายท่านผู้เฒ่าโหวเองก็เห็นด้วยกับการหย่า เขายอมเลี้ยงบุตรสาวทั้งชีวิตดีกว่าจะต้องส่งออกไปให้คนอื่นย่ำยีเช่นนี้ ชื่อเสียงงั้นหรือ ชื่อเสียงมีประโยชน์อันใด ขอเพียงแค่เขายืนหยัดอยู่ในราชสำนักได้ ขอเพียงแค่จวนจงอู่โหวไม่ล่มจม ใครจะยังกล้าทำลายชื่อเสียงหลานสาวทั้งหลายของเขาได้อีก ที่เขาห่วงกลับเป็นเรื่องอื่น

 

 

“แต่หย่าแล้วญาติผู้น้องเจ้าจะทำอย่างไร นางแซ่เหอ เป็นบุตรสาวของตระกูลเหอ ตามกฎธรรมเนียมอาเจ้าพานางไปไม่ได้” ทิ้งหลานสาวคนเล็กผู้นี้ให้ทรมานอยู่ที่ตระกูลเหอ เขากลับทนไม่ได้จริงๆ อีกทั้งบุตรสาวของเขาก็คงจะไม่ยินยอม ถึงตอนนั้นเพื่อลูกสาวแล้ว บุตรสาวของเขาจะต้องไม่หย่าแน่นอน

 

 

เสิ่นเวยแสยะปากอย่างเมินเฉย “ก็รับมาพร้อมกันเลย พวกเราก็ไม่ได้บอกว่าญาติผู้น้องไม่ใช่บุตรสาวของตระกูลเหอ แต่ตระกูลพวกเรารับหลานสาวมาอยู่ที่จวนชั่วคราวก็ได้ไม่ใช่หรือ อยู่ไปอยู่มาก็กลายเป็นอยู่ยาวแล้วไม่ใช่หรือ ญาติผู้น้องอายุสิบสามปีแล้ว กลับมาให้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่หาคู่หมั้นแต่งเข้าไปก็ได้แล้ว แค่นี้ก็ไม่ต้องกลับตระกูลเหอแล้วไม่ใช่หรือ อีกอย่าง พอท่านอากับญาติผู้น้องออกมาแล้วพวกเราจะยังปล่อยให้ตระกูลเหอกระโดดโลดเต้นได้อีกหรือ ถึงตอนนั้นพวกเขาเอาตัวไม่รอด ไหนเลยจะยังสนใจญาติผู้น้องอยู่อีก” แม้ว่าจะใช้อำนาจรังแกคน แต่ตระกูลเหอของเขาจะกล้าค้านหรือ ขอเพียงแค่พวกเขากล้าอ้าปาก เช่นนั้นก็จัดการเก็บกวาดเสีย จัดการให้พวกเขาปิดปากได้เมื่อไรก็สิ้นสุดเมื่อนั้น

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวพยักหน้าไม่หยุด “นี่กลับเป็นความคิดที่ไม่เลว” แม้ว่าเขาจะบัญชาการอยู่ในสนามรบ แต่สำหรับเรื่องในเรือนหลังแล้วกลับไม่ชำนาญมากนัก อาจารย์ผังก็ทิ้งไว้ให้ช่วยเขาดูแลหลานชายคนโตที่ซีเจียง ภรรยาผู้ชราก็ยิ่งไม่มีเหตุผล ข้างกายเขาไม่มีแม้แต่คนจะให้ปรึกษา โชคดีที่ยังมีเจ้าสี่อยู่ เขาโชคดีอย่างถึงที่สุด

 

 

“เช่นนั้นเจ้าสี่คิดว่าใครเหมาะสมจะไป” นายท่านผู้เฒ่าโหวถามกลับ

 

 

เสิ่นเวยชี้จมูกตัวเองอย่างไม่ต้องคิด กล่าว “ข้า” ไม่รอให้ปู่นางเอ่ยปากก็กล่าวต่อ “ท่านปู่ท่านค่อยๆ ฟังหลานวิเคราะห์ให้ท่านฟัง ในจวนของเราตอนนี้ท่านเป็นกังหันลมชี้ทิศทาง การกระทำทุกย่างก้าวของท่านทุกคนต่างก็จับตามอง ดังนั้นท่านไปไม่ได้ และไม่จำเป็นต้องไป ตระกูลเหอของเขาก็แค่เศษดิน ควรค่าให้เท้าอันสูงส่งของท่านไปเหยียบย่ำผืนดินสกปรกหรือไร ท่านลุงใหญ่เพิ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นท่านโหว ยังต้องรับแขกที่มาอวยพรในจวนอยู่เลย ดังนั้นเขากับท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก็ไปไม่ได้เช่นกัน พ่อข้าหรือ ไม่ต้องพูดถึงงานที่เขายังติดพันอยู่ เพียงแค่นิสัยคร่ำครึนั่นของเขาท่านจะวางใจได้หรือ ว่ากันตามเหตุผลท่านลุงรองกลับเหมาะสมอย่างยิ่ง เขาเป็นพี่ชายมารดาเดียวกันกับท่านอา ไปหนุนหลังน้องสาวก็เป็นเรื่องถูกหลักทำนองคลองธรรมไม่ใช่หรือ แต่เขากลับเทียบไม่ได้แม้แต่พ่อข้า ใครจะรู้ว่าเขาจะถูกคนมอมสุราสองแก้วส่งหญิงงามให้ก็ขายท่านอาทิ้งเสียแล้วหรือไม่”

 

 

เอ่ยถึงตรงนี้นางก็เหลือบตามองนายท่านผู้เฒ่าโหวปราดหนึ่ง กล่าวต่อ “พูดถึงรุ่นหลานบ้าง เดิมพี่ใหญ่ก็เหมาะสมอย่างยิ่ง เขานิสัยหนักแน่น ทำอะไรก็ค่อนข้างมีหลักการ บุคลิกปราดเปรียวรู้จักพลิกแพลง หลานชายออกหน้าแทนอาก็เป็นเรื่องที่พูดได้ แต่เขาอยู่ไกลถึงซีเจียง พี่รองน้องสามต่างก็ไม่เคยอยู่ไกลบ้าน และไม่เคยทำงานอะไรมาก่อน ไม่ถูกคนหลอกก็ดีเท่าไรแล้ว นอกจากนี้ น้องเจวี๋ยน้องอี้ก็ยังเด็กเกินไป ยิ่งรับมือกับสถานการณ์ไม่ได้ คิดคำนวณเช่นนี้แล้ว ก็มีเพียงหลานที่เหมาะสมที่สุดไม่ใช่หรือ ท่านปู่ ท่านให้หลานไปเถอะ หลานรับรองว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างดี ไม่เพียงแต่พาท่านอาและญาติผู้น้องกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ตระกูลเหอนั่นก็จะไม่มีทางให้พวกเขาไปดีได้”

 

 

ทว่านายท่านผู้เฒ่าโหวกลับนิ่งเงียบ “เจ้าล้มเลิกความคิดนี้เสียเถอะ รีบเก็บความคิดนี้แล้วรอแต่งงาน” ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาให้เจ้าสี่ไปซีเจียงเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี จิตใจของเด็กคนนี้ป่าเถื่อนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

 

 

“เช่นนั้นก็ท่านลุงรองของเจ้าแล้วกัน” นายท่านผู้เฒ่าโหวตัดสินใจ นี่เองก็เป็นทางเลือกที่หมดหนทางมิใช่หรือ ใครใช้ให้เจ้านายในจวนมีเพียงเขาที่ว่างที่สุดเล่า ถึงตอนนั้นให้อานซิงตามเขาไปด้วย มีอานซิงดูอยู่ก็น่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาดอะไร

 

 

“เช่นนั้นไม่ส่งท่านป้าสะใภ้รองไปเล่า” เสิ่นเวยเสนอความคิดเห็นที่ต่างออกไป

 

 

“เหตุใดเล่า” นายท่านผู้เฒ่าโหวอยากฟังคำอธิบายของหลานสาวยิ่งนัก

 

 

“ท่านปู่ ไม่ใช่ว่าหลานตั้งใจไม่ให้เกียรติท่าน ท่านลุงรอง เฮ้อ เป็นคนที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องส่วนตัวในเรือนหลังเช่นนี้ยังคงเป็นสตรีที่ออกหน้าจัดการดีกว่า ท่านป้าสะใภ้รองเป็นคนห้าวหาญ และยังหัวไวเล็กน้อย มิหนำซ้ำยังมีฐานะเป็นพี่สะใภ้ของบ้านฝั่งแม่อีกด้วย ทำงานมากกว่าท่านลุงรองเสียอีก ซ้ำท่านป้าสะใภ้รองผู้นี้ยังเห็นแก่ผลประโยชน์ที่สุด ท่านเพียงแค่บอกเป็นนัยนางเล็กๆ น้อยๆ ยังจะกลัวนางไม่ทุ่มเทอีกหรือ” เสิ่นเวยกล่าวอย่างมีเหตุผล

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวมีความสุขแล้ว ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์อะไร ไม่ใช่โลภเงินหรอกหรือ เจ้าสี่เด็กคนนี้กลับรู้จักสร้างภาพสันติสุขจอมปลอม แต่ว่านางก็พูดได้มีเหตุผลจริงๆ “ได้ เช่นนั้นก็เป็นท่านป้าสะใภ้รองของเจ้าแล้วกัน” เขารับข้อเสนอของเสิ่นเวยด้วยความคล้อยตาม