ตอนที่ 190-2 เลื่อนวันสมรส

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

บางทีเรื่องรำคาญใจอาจจะถูกแก้ไขแล้ว ร่างทั้งร่างของนายท่านผู้เฒ่าโหวก็ผ่อนคลายลง ซ้ำยังมีอารมณ์หยอกล้อหลานสาวคนเล็ก “หากอาเจ้าหย่าแล้ว ในเมืองหลวงจะต้องมีเรื่องนินทา ชื่อเสียงของพวกเจ้าหลายคนก็อาจจะถูกรบกวน เจ้ากำลังจะแต่งเข้าจวนจิ้นอ๋องแล้ว ไม่กังวลว่าจะถูกบ้านสามีดูแคลนเอาหรือ”

 

 

เสิ่นเวยโบกมือ กล่าวอย่างมีสง่ามากเป็นพิเศษ ตั้งใจมากเป็นพิเศษ “ท่านปู่ แค่นี้ท่านก็มองไม่ออกหรือ หลานสรุปได้แล้วว่าชีวิตคนชั่วชีวิตนี้ ก็ต้องดำเนินไปท่ามกลางคำติฉินนินทาที่ถูกคนอื่นนินทากับนินทาคนอื่นมิใช่หรือ ถูกคนพูดไม่กี่ประโยคแล้วจะเป็นอะไรไป จะมีเนื้อให้กินน้อยลงหรือ ขอเพียงแค่ไม่พูดต่อหน้า หลานก็จะทำเป็นมองไม่เห็น คนที่พูดต่อหน้าเหล่านั้น หลานย่อมมีวิธีตบกลับไป สำหรับการดูถูก เหอะๆ หลานเป็นถึงจวิ้นจู่ที่ราชวงศ์พระราชทานบรรดาศักดิ์แล้ว ต่อให้พวกเขาจะดูถูกแล้วจะทำอะไรข้าได้” เสิ่นเวยชายตา ท่าทางหลุดพ้นเข้าใจทุกสรรพสิ่งบนโลก

 

 

หยุดครู่หนึ่งนางจึงกล่าวต่อ “ท่านเองก็ไม่ต้องทุกข์ใจแทนท่านอา จวนโหวใหญ่เพียงนั้นจะไม่มีเสื้อผ้าอาหารให้นางได้อย่างไร มีพ่อแท้ๆ เช่นท่านอยู่ ไม่มีใครกล้าปฏิบัติไม่ดีต่อท่านอาหรอก หลังจากนี้ร้อยปีท่านก็ยังมีหลานสาวเช่นข้าอยู่ไม่ใช่หรือ เจวี๋ยเอ๋อร์ก็เป็นน้องชายแท้ๆ ของข้า หากเขากล้าไม่เคารพท่านอา ข้าจะลงมือจัดการเขาด้วยตัวเอง ท่านน่ะ อายุปูนนี้แล้ว เลิกคิดมากเพียงนั้นได้แล้ว ใช้ชีวิตอีกไม่กี่ปีให้สุขสบายเถอะ เรื่องทั้งหลายหลานจะรับผิดชอบแทนท่านเอง” ในใจเสิ่นเวยรักท่านปู่จริงๆ แต่พูดไปพูดมานางก็ถูกตัวเองทำให้ซาบซึ้งแล้ว นางสูงส่งยิ่งใหญ่เพียงนี้เชียวหรือ

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวก็ยิ่งอบอุ่นใจไม่หยุด น้ำตาของคนชราแทบจะไหลออกมาแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตเขาก็พึ่งพาแต่ตัวเอง แข็งแกร่งมาทั้งชีวิต จู่ๆ ก็ถูกหลานสาวคนเล็กพูดว่าเรื่องทั้งหลายจะรับผิดชอบแทนเขา เขาซาบซึ้งใจไม่หยุดจริงๆ

 

 

โทษได้หรือว่าเขาลำเอียงรักเจ้าสี่มากกว่า หัวใจคนเราย่อมมีความรู้สึก ลูกชายทั้งสามคนของเขาไม่มีใครที่ใส่ใจเขาเท่าเจ้าสี่เลย

 

 

เมื่อเสิ่นหงอู่สองสามมีภรรยาบ้านสองกลับถึงเรือน ฮูหยินจ้าวก็ไล่สาวใช้ในเรือนออกไป กล่าวอย่างตักเตือน “นายท่าน หากท่านพ่อให้ท่านไปอวิ๋นโจว ควรจะระบายความแค้นแทนกูไหน่ไนเช่นไรก็ทำเช่นนั้น เพียงแต่อย่าได้วุ่นวายเกินไปนัก ยิ่งห้ามเอ่ยถึงเรื่องหย่า แม้ว่ากูไหน่ไนจะเอ่ยขึ้นมาเอง นายท่านก็ต้องโน้มน้าวให้กูไหน่ไนเลิกล้มความคิด”

 

 

“เจ้าพูดอะไรของเจ้า นี่เป็นคำพูดที่ผู้เป็นพี่สะใภ้เช่นเจ้าควรพูดหรือ น้องสาวถูกกลั่นแกล้งจนเป็นเช่นนี้ยังจะไม่หย่าอีก ทิ้งไว้ที่ตระกูลเหอของพวกเขาไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องตาย ทั้งตระกูลเป็นเพียงเศษดินยังกล้ากลั่นแกล้งน้องสาวของข้า ก็ควรจะฆ่าเขาเสีย หย่า ต้องหย่า ท่านพ่อกับพี่ใหญ่ต่างก็เห็นด้วยกับการหย่า” เสิ่นหงอู่ถลึงตาโต กล่าวอย่างมีเหตุมีผล

 

 

ทว่าฮูหยินจ้าวกลับโมโหจนผลักเขาอย่างแรงหนึ่งครา “ท่านมันคนชั่ว ท่านคิดถึงแต่น้องสาวของท่าน เหตุใดจึงไม่คิดถึงบุตรสาวของท่านบ้างเล่า เซวียนเอ๋อร์ก็อายุจะสิบสี่ปีแล้ว ปิงเอ๋อร์ก็อายุสิบสามปีแล้ว ต่างก็เป็นช่วงเวลาดีที่จะเอ่ยเรื่องแต่งงาน หากในจวนมีกูไหน่ไนที่หย่าร้าง ตระกูลใดจะยอมแต่งงานกับพวกเราเล่า พี่ใหญ่และคนอื่นๆ เห็นด้วย นั่นก็เพราะว่าบุตรสาวของพวกเขาออกเรือนหมดแล้ว เหลือเย่ว์เอ๋อร์เพียงคนเดียว อายุยังน้อย มีแต่เซวียนเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์ของพวกเรา…เหตุใดข้าถึงมีชีวิตขื่นขมเช่นนี้” พูดไปพูดมาฮูหยินจ้าวก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดตาร่ำไห้

 

 

เมื่อเสิ่นหงอู่ได้ยิน คิ้วก็ขมวดมุ่น “มีผลกระทบถึงเพียงนี้จริงๆ หรือ” เขามีบุตรสาวเพียงสองคน ยังคงรักใคร่อย่างยิ่ง

 

 

ฮูหยินจ้าวหยุดร้องไห้ “จะโกหกทำไมกัน นายท่านอยู่ข้างนอก ไหนเลยจะรู้เรื่องในเรือน ตระกูลใดเลือกสะใภ้มิใช่คัดเลือกอย่างละเอียดหรือ มีอาที่หย่าร้าง ลูกสาวในจวนของพวกเราก็จะถูกแปดเปื้อนไปด้วย”

 

 

เสิ่นหงอู่นั่งลงบนเก้าอี้ไม่พูดจา ครู่ใหญ่จึงกล่าว “เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะตัดสินใจได้ ยังต้องดูเจตนาของท่านพ่อ หากท่านพ่อบอกว่าหย่าเช่นนั้นก็ต้องหย่า อีกทั้งยังไม่แน่ว่าจะเป็นข้าที่ไปอวิ๋นโจว” เจตนาในคำพูดก็คือเขาเองก็หมดหนทาง

 

 

ฮูหยินจ้าวโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้ง กล่าวในใจ สามีผู้นี้ของข้า ทั่วทั้งจวนก็มีแต่ท่านที่ว่างที่สุด ซ้ำยังเป็นพี่ชายแท้ๆ ของกูไหน่ไน ท่านไม่ไปแล้วใครจะไป

 

 

“ท่านพ่อไหนเลยจะเข้าใจเรื่องในเรือน ท่านไปอวิ๋นโจวย่อมต้องเป็นท่านที่ตัดสินใจ ยิ่งไปกว่านั้นกูไหน่ไนเองก็อาจจะไม่ยอมหย่า นางยังมีบุตรสามคนเล็กอีกหนึ่งคนมิใช่หรือ บุตรสาวล้วนแต่เป็นแก้วตาดวงใจของผู้เป็นแม่ นางไหนเลยจะตัดใจทิ้งบุตรสาวไว้ที่ตระกูลเหอแล้วตนกลับเมืองหลวง ถึงตอนนั้นท่านพ่อถามขึ้นมา ท่านก็บอกว่ากูไหน่ไนไม่ยอมหย่า ท่านพ่อจะยังทำอะไรท่านได้อีก” ฮูหยินจ้าวออกความคิดเห็นให้สามี

 

 

ทว่าเสิ่นหงอู่กลับรู้สึกหงุดหงิด เขาคิดว่าฮูหยินจ้าวพูดถูก แต่ในขณะเดียวกันก็คิดว่าจะไปหลอกลวงพ่อเขาก็ไม่ถูกต้อง หงุดหงิดใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “พอแล้วๆ พูดตอนนี้ยังเร็วไป ท่านพ่อยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้ใครไป” เดิมเขาอยากไปอย่างยิ่ง แต่ถูกฮูหยินจ้าวพูดเช่นนี้ เขาก็ไม่อยากไปแม้แต่นิดเดียวแล้ว

 

 

คุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องสวีโย่วกำลังอยู่ระหว่างทางเข้าวัง สีหน้าเขาเรียบเฉย แต่ริมฝีปากกลับเม้มแน่น ยามสองก็เลยมาแล้ว เสด็จลุงยังเรียกเขาเข้าวังอีก เดินทางยังต้องเดินเส้นทางลับ นี่ทำให้เขาจำใจต้องทายว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วใช่หรือไม่

 

 

เงาร่างของสวีโย่วปรากฎอยู่ในห้องหนังสือส่วนพระองค์ จักรพรรดิยงเซวียนที่ทรงยืนอยู่ข้างหน้าหน้าต่างก็กลับหลังหัน ประโยคแรกที่เอ่ยปากตรัสก็คือ “อาโย่ว วันสมรสของเจ้าต้องเลื่อนแล้ว” ใบหน้าของจักรพรรดิยงเซวียนมีความจริงจังและรู้สึกผิด

 

 

“ฝ่าบาท เกิดเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” สายตาสวีโย่วสั่นสะท้าน รีบกล่าวถาม

 

 

จักรพรรดิยงเซวียนพยักหน้าช้าๆ “เรื่องที่พวกเจ้าถูกโจมตีระหว่างทางกลับเมืองหลวงครั้งนี้สืบได้เบาะแสเล็กน้อยแล้ว” หยุดครู่หนึ่งเขาจึงตรัสต่อ “เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าฮ่องเต้องค์ก่อนเคยมีพี่น้องร่วมสาบาน เพียงแต่ภายหลังมีเรื่องจนแตกแยก คนผู้นั้นจึงนำทหารม้าหนึ่งกลุ่มไปซ่อนตัว”

 

 

ดวงตาสวีโย่วมีแสงเย็นเยียบกะพริบผ่าน “ฝ่าบาทหมายถึงอ๋องเคียงบ่าพระองค์นั้นหรือ” เป็นถึงคนในราชวงศ์ โดยเฉพาะคนในราชวงศ์ที่ได้รับหน้าที่พิเศษ สวีโย่วจึงรู้เรื่องภายในไม่น้อย รวมถึงเรื่องของท่านเฉิงอ๋อง อ๋องเคียงบ่าผู้นั้นด้วย

 

 

ท่ามกลางกลียุคในตอนนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนก่อกบฏ คนที่ไปตีใต้หล้าร่วมกับเขายังมีคนที่ชื่อเฉิงอี้ผู้หนึ่ง เฉิงอี้คนผู้นี้ชำนาญทั้งบุ๋ทั้งบู๊ แต่ละด้านต่างก็ไม่แพ้ให้ฮ่องเต้องค์ก่อน ฮ่องเต้องค์ก่อนเลื่อมใสในความสามารถของเขา จึงกรีดเลือดสาบานเป็นพี่น้องคนละพ่อคนละแม่ เอ่ยวาจาว่าในภายหน้าจะแบ่งปันใต้หล้าร่วมกัน

 

 

ต่อมาฮ่องเต้องค์ก่อนได้สถาปนาแคว้นยงเซวียน พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เฉิงอี้พี่น้องร่วมสาบานเป็นอ๋องเคียงบ่า แต่เฉิงอี้กลับไม่พอใจอย่างยิ่ง อ๋องเคียงบ่าก็เป็นเพียงแค่อ๋อง แล้วที่บอกว่าจะร่วมแบ่งปันใต้หล้าเล่า แต่ตอนนี้ราชวงศ์ได้ถูกกำหนดแล้ว ผู้ที่สนับสนุนฮ่องเต้องค์ก่อนก็มีจำนวนมาก เฉิงอี้จึงทำได้เพียงอยู่เงียบๆ ชั่วคราว

 

 

ภายหลังพี่น้องร่วมสาบานคู่นี้ก็ทะเลาะกันแล้ว เบื้องหน้าเฉิงอี้นำทหารม้าหนึ่งกลุ่มที่สนับสนุนเขากลับไปซ่อนตัวที่ยุทธจักร แต่สวีโย่วกลับรู้ว่าเฉิงอี้ถูกสุราพิษของฮ่องเต้องค์ก่อนฆ่าจนต้องออกจากพระราชวัง

 

 

จักรพรรดิยงเซวียนพยักหน้าอย่างแทบจะมองไม่เห็น “ก่อนฮ่องเต้องค์ก่อนจากไปก็ยังไม่วางใจคนผู้นี้ ตรัสว่าคนผู้นี้จักต้องเป็นหายนะยิ่งใหญ่ต่อดินแดนตระกูลสวีของพวกเรา เราครองบัลลังก์มานานเพียงนี้ พวกเขาไม่โผล่หัวมาโดยตลอด ทว่าตอนนี้กลับรีบปรากฏตัวในช่วงเวลาสำคัญ เราไม่วางใจ เจ้าไปตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเองหน่อย” จักรพรรดิยงเซวียนตรัสสั่ง

 

 

ชั่วลัดนิ้วมือเดียว สวีโย่วก็ตอบรับอย่างไม่แม้แต่จะคิด “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง” เขาอยากแต่งงานกับคุณหนูสี่แซ่เสิ่นยิ่งนัก แต่เขาเองก็รู้ลำดับความสำคัญ หากให้อ๋องเคียงบ่าในอดีตผู้นั้นก่อเรื่อง เขาที่เป็นคนในราชวงศ์ย่อมต้องปกป้องชีวิตไว้ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องแต่งงานแล้ว อีกทั้งเสด็จลุงยังเรียกเขามา จักต้องเป็นเขาเท่านั้น เขาลงมือด้วยตัวเองสักหน่อย เสด็จลุงก็จะได้มีความสุข

 

 

“ดี ดี” จักรพรรดิยงเซวียนตบบ่าของสวีโย่ว ในแววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม

 

 

เช้าตรู่วันที่สอง จวนจิ้นอ๋องก็มีข่าวมา เมื่อคืนคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องโรคเก่ากำเริบ ตอนนี้รีบกลับไปหาหมอเทวดารักษาชีวิตบนเขาแล้ว

 

 

หลังจากนั้นจักรพรรดิก็เรียกนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวเข้าวังด่วน ไม่รู้เช่นกันว่าพูดอะไร ท้ายที่สุดนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวก็นำพระราชโองการคราวก่อนและพระราชโองการเลื่อนวันสมรสหนึ่งกองกลับจวน

 

 

คราวนี้ในเมืองหลวงล้วนลือกันไปทุกหัวข้อ ที่พูดเยอะที่สุดยังคงเป็นคุณหนูสี่จวนจงอู่โหวดวงแข็งพาสามีซวย มิเช่นนั้นเหตุใดฝั่งนี้กำลังจะสมรสแล้ว คุณชายใหญ่สวีฝั่งนั้นก็โรคเก่ากำเริบขึ้นมาเล่า

 

 

จวนจงอู่โหวเองก็ตื่นตกใจ แต่บุคคลต้นเรื่องอย่างเสิ่นเวยกลับไม่เป็นเดือดเป็นร้อน จากมุมมองของนาง ก็แค่เลื่อนวันสมรสมิใช่หรือ ไม่ได้ยกเลิกงานสมรสเสียหน่อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

 

 

สำหรับข่าวลือที่ว่าดวงแข็งพาสามีซวยอะไรนั่นก็ยิ่งเป็นเรื่องไร้สาระ ดวงแข็งหรือ พาสามีซวยหรือ ฮ่าๆ น่าขำจริงๆ สวีโย่วหมอนั่นเพียงแค่มองดูแล้วซีดเซียว ความจริงแล้วร่างกายกลับแข็งแรง โรคเก่ากำเริบไปหาหมอเทวดารักษาตัวบนเขาอะไรกัน ข้างกายเขาก็มีหมอเทวดาไม่รู้หรือ ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นเพียงข้ออ้าง สวีโย่วหมอนั่นคงจะไปทำเรื่องลับๆ ล่อๆ อะไรอีกล่ะสิ ไม่พูดไม่ได้ว่าเสิ่นเวยทายได้ถูกต้องแม่นยำจริงๆ

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวชื่นชมในความสงบนิ่งของหลานสาวอย่างถึงที่สุด แอบเล่าเรื่องให้นางฟังเงียบๆ เสิ่นเวยกล่าวในใจว่าว่าแล้ว แต่กลับกล่าวด้วยความหัวไว “ท่านปู่ ตอนนี้คุณชายใหญ่สวีก็โรคเก่ากำเริบแล้ว หลานควรจะไปวัดต้าเจวี๋ยถือศีลพักหนึ่งเพื่อขอพรให้เขาอีกหรือไม่” ถือศีลเป็นข้ออ้าง แอบลอบโจมตีจึงจะเป็นเรื่องจริง นางยังคิดจะไปอวิ๋นโจวอยู่เลย

 

 

“เจ้าคิดจะไปอวิ๋นโจวหรือ” นายท่านผู้เฒ่าโหวยังคงเข้าใจหลานสาวเป็นอย่างดี เมื่อมองดวงตาที่กลอกไปมาของนางก็รู้แล้วว่านางคิดอะไรอยู่

 

 

“หรือว่าท่านปู่ไม่อยากให้หลานไปงั้นหรือ” เสิ่นเวยกลับมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง

 

 

ปู่หลานสองคนที่นิสัยเจ้าเล่ห์สบตากันปราดหนึ่ง ต่างก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้