ได้ยินว่าเธอตามหาตัวเอง เธอไปมาตั้งหลายที่ โทรหาตั้งหลายคน ลาเต้ก็รู้สึกผิด
เขาก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “ผมขอโทษนะที่รัก ผม…”
“แล้วคุณเป็นอะไรกันแน่?” มายมิ้นท์ไม่อยากได้ยินคำขอโทษจากเขา เธอจึงยกมือขึ้นขัดจังหวะเขา
สายตาของลาเต้เป็นประกาย เขานั่งลงบนชิงช้าอีกครั้ง จับโซ่ชิงช้าฃแล้วพูดเบาๆ “ไม่ได้เป็นอะไร ผมแค่รู้สึกว่าผมไร้ประโยชน์เกินไป ทั้งๆที่เป็นผู้ชาย แต่ทำอะไรก็ไม่เหมือนเรื่องที่ผู้ชายควรทำ ผมก็เลยออกมาเดินเล่น”
“แบบนี้จริงเหรอ?” มายมิ้นท์หรี่ตาลง เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เชื่อที่เขาพูด
ไม่แปลกที่เธอไม่เชื่อ เพราะที่จริงแล้ว เขาตอบไม่ตรงประเด็น
เธอแค่อยากรู้ว่า เขาเป็นอะไรกันแน่ ทำไมจู่ๆถึงเป็นแบบนี้
แต่เขาไม่ตอบเธอตามความจริง แค่บอกว่าไม่เป็นอะไร ไร้ประโยชน์
แต่เหตุผลที่ไร้ประโยชน์ เขากลับไม่พูด มันทำให้เธอปวดหัว
และเธอเองก็รู้ว่า เขาจงใจที่จะไม่พูด ถึงได้ตอบคำถามอ้อมค้อมแบบนี้
เป็นอย่างที่คิดไว้ ลาเต้หลบตามายมิ้นท์ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “จริงสิ…”
เขาพูดเสียงเบาลงเรื่อยๆ ยิ่งพูดก็รู้สึกผิด สุดท้ายเขาก็ก้มหน้าลง ไม่พูดอะไรอีก
มายมิ้นท์ถอนหายใจ จากนั้นก็เดินไปนั่งลงบนชิงช้าอีกอันข้างๆเขา
ชิงช้าสะอาด เธอดูแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องกังวลว่าเสื้อผ้าจะสกปรก
หลังจากนั่งลงแล้ว มายมิ้นท์ก็จับโซ่เหล็กสองข้าง เตะเท้าแล้วแกว่งชิงช้า
เธอเอียงหัวตรงโซ่เหล็กแล้วพูดเบาๆว่า “ที่นี่ ยังเหมือนเมื่อก่อน ไม่เปลี่ยนไปเลย”
ลาเต้หัวเราะเบาๆ “แน่นอน ตลอดหกปีที่ผ่านมา ผมดูแลที่นี่มาตลอด ดูแลให้มันคงสภาพเดิม ไม่งั้นมันคงพังไปนานแล้ว”
“ทำไมคุณถึงทำแบบนี้?” มายมิ้นท์มองไปที่เขา
ลาเต้ปล่อยโซ่เหล็ก “เพราะนี่คือฐานลับของเรา คือหนึ่งในสมบัติสำคัญที่สุดของเรา แน่นอนว่าผมต้องดูแลมันให้ดี”
ได้ยินเขาพูดแบบนี้ มายมิ้นท์ก็ยิ้มด้วยความรู้สึกผิด “คุณพูดถูก แต่ฉันไม่มีสิทธิ์เรียกมันว่าสมบัติ เพราะฉันเกือบจะลืมที่นี่ไปแล้ว”
ลาเต้ลืมตาขึ้น “ผมรู้ ตั้งแต่คุณแต่งงานกับเปปเปอร์คุณก็ไม่เคยมาที่นี่อีกเลย แล้วผมก็ไม่เคยได้ยินคุณพูดถึงที่นี่ ผมเลยเดาว่า คุณน่าจะลืมที่นี่ไปแล้ว แต่มันก็เป็นเรื่องปกติ นี่คือฐานลับของเราตอนเด็ก โตขึ้นแล้ว ก็ไม่ต้องการฐานลับนี้แล้ว แต่ว่าคุณจำมันได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
เขาหันไปมองเธอ
มายมิ้นท์ยิ้ม จากนั้นก็ถามว่า “หกปีที่ผ่านมา คุณมาที่นี่บ่อยเหรอ?”
“บ่อยอยู่” ลาเต้พยักหน้า “บางทีที่เหนื่อย หรือว่าคิดถึงใครสักคน ผมก็ชอบมาที่นี่”
“คิดถึงใครสักคน? ใครกัน?” มายมิ้นท์ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ลาเต้มองเธอ แต่ก็ไม่พูดอะไร
มายมิ้นท์อืมด้วยความสงสัย “คุณมองฉันทำไม?”
“ไม่มีอะไร” ลาเต้หัวเราะเยาะตัวเองแล้วหันหน้าออกไป
ลาเต้นะลาเต้ นายก็รู้ว่าเธอความรู้สึกช้าขนาดไหน ถ้าไม่บอกเธอตรงๆ เธอไม่มีทางรู้ว่านายชอบเธอ แล้วก็ไม่มีทางคิดแบบนั้น
นายอยากใช้สายตาบอกเธอ ให้เธอเข้าใจความคิดของนาย นายฝันไปเถอะ
ลาเต้คิดแบบนี้ในใจ รู้ว่าตัวเองครวบอกมายมิ้นท์ตรงๆว่าตัวเองชอบเธอ
แต่ทุกครั้งที่คำพูดติดอยู่ที่ปาก เขาก็พูดไม่ออก
ความขี้ขลาดและความตื่นเต้นในใจ ล้วนแต่ทำให้เขาก้าวขาข้างนั้นออกไปไม่ได้
ดังนั้น เขาจึงต้องเป็นคนที่มาทีหลัง ต้องแพ้ให้กับเปปเปอร์เสมอ
พวกเขาสองคนอยู่ที่สวนสาธารณะประมาณครึ่งชั่วโมง
ในตอนนี้เอง พวกเขาสองคนก็พูดคุยกัน บรรยากาศดูแปลกๆ ไม่เหมือนบรรยากาศที่พวกเขาอยู่ด้วยกันเมื่อก่อนเลยแม้แต่น้อย
มันทำให้มายมิ้นท์อึดอัดและทำอะไรไม่ถูก
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว
มายมิ้นท์ลุกขึ้นยืน “ดึกแล้ว ลาเต้ เรากลับกันเถอะ”
ลาเต้เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “โอเค กลับกันเถอะ”
พวกเขาสองคนเดินออกมาจากสวนสาถารนะ เดินมาตรงที่จอดรถ
มายมิ้นท์มองดูรถตัวเอง เธอไม่เห็นรถของลาเต้เธอจึงถามว่า “รถของคุณล่ะ?”
“ผมให้เลขามาส่ง แล้วก็บอกเลขากลับไปก่อน เลยไม่ได้เอารถมา” ลาเต้กางมือออก
มายมิ้นท์ขยับปากแล้วพูดว่า “ขึ้นรถฉันก็ได้ ไปส่งฉันก่อน แล้วคุณค่อยขับรถกลับไป”
“ได้ งั้นผขับรถเอง” ลาเต้ยื่นมือออกมา
มายมิ้นท์ก็ไม่ได้แย่งเขา เธอโยนกุญแจรถให้เขา
ลาเต้รับกุญแจมา กดปุ่มปลดล็อค รถก็มีเสียงดังขึ้นมา พวกเขาเปิดประตูขึ้นรถและขับออกไปทางคอนโดพราวฟ้า
เพราะว่ารถติด เมื่อถึงคอนโดพราวฟ้า มันก็ผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว
ตอนนี้ เกือบสามทุ่มแล้ว
ลาเต้จอดรถไว้ข้างถนน มายมิ้นท์เปิดประตูลงมาจากรถ โบกมือให้เขาแล้วเดินเข้าไปที่คอนโด
ลาเต้มองดูแผ่นหลังของเธอ มือที่วางอยู่บนพวงมาลัยก็บีบพวงมาลัยแน่น ราวกับกำลังฝืนอะไรบางอย่าง
ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วปล่อยมือออกจากพวงมาลัย เปิดประตูและวิ่งไปหาเธออย่างรวดเร็ว
เขาวิ่งไปอย่างรวดเร็ว สองสามก้าวก็วิ่งไปถึงมายมิ้นท์
มายมิ้นท์รู้สึกว่ามีคนอยู่ข้างหลัง กำลังจะหันหลังกลับ จู่ๆก็รู้สึกว่ามีคนจับที่ข้อมือของตัวเอง
จากนั้น ก็จับข้อมือของเธอแล้วดึงอย่างแรง
เธอถูกดึงหันหลังกลับมาอย่างแรง พุ่งไปข้างหน้า สุดท้ายก็ชนเข้ากับอ้อมกอดที่ไม่ค่อยแข็งแรงแต่กลับอบอุ่น
เขาคือลาเต้!
มายมิ้นท์ไม่รู้ว่าทำไมลาเต้ถึงทำแบบนี้ เธอตกใจ ปล่อยให้เขากอดตัวเองแน่น
หลังจากนั้นไม่นาน มายมิ้นท์ถูกเขากอดแน่นเกินไป เธอเจ็บแขน จึงได้สติกลับมาแล้งผลักเขาออกอย่างไม่สบายใจ “ลาเต้ คุณปล่อยฉันได้ไหม?”
ลาเต้ราวกับไม่ได้ยินที่เธอพูด เขาไม่ปล่อยเธอ แล้วยังกอดเธอแน่น
มายมิ้นท์รู้สึกว่าตัวของเขาสั่นเทา เธอหยุดดิ้น ยกมือขึ้นตบหลังของเขาเบาๆ “ลาเต้ คุณเป็นอะไร?”
ลาเต้ไม่พูดไม่จา เขามุดหน้าซบไหล่ของเธอ
ข้างถนน ในรถเบนซ์สีดำ เปปเปอร์เปิดกระจกรถลง มองไปที่ชายหญิงที่กำลังกอดกันด้วยสายตาเย็นชาและสีหน้าที่มืดมน
และมือที่ถือกล่องของขวัญอันประณีตของเขาก็กำแน่น บีบกล่องของขวัญที่ทำจากกระดาษจนเปลี่ยนรูปทรง ทำให้เห็นความโมโหในใจของเขาตอนนี้
เบาะข้างหน้า ผู้ช่วยเหมันตร์เห็นสีหน้าของเปปเปอร์ในกระจกมองหลัง รู้สึกถึงแรงกดดันที่สามารถทำลายล้างทุกอย่างออกมาจากตัวของเปปเปอร์ เขาจึงยิ้มอย่างขมขื่น
สุดยอด เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าตัวเองและประธานเปปเปอร์จะมาเห็นภาพที่น้ำเน่าแบบนี้
ตอนบ่าย ประธานเปปเปอร์ตัดสินใจว่าจะมาหาคุณมายมิ้นท์ อยากจะมาทำความเข้าใจกับคุณมายมิ้นท์
สุดท้ายรออยู่ที่นี่ตั้งสามสี่ชั่วโมง รอจนกว่าเธอกลับมา คิดไม่ถึงว่าเธอจะกลับมากับลาเต้
มาด้วยกันยังไม่พอ แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่าลาเต้และคุณมายมิ้นท์จะกอดกันแบบนี้
การกอดแบบนี้ ไม่ใช่การกอดแบบเพื่อนที่กอดกันแค่แป๊บเดียวแล้วก็แยกย้ายกัน
พวกเขากอดกันแน่น นานขนาดนี้แล้วยังไม่แยกออกจากกัน คนหนึ่งก็มุดหน้าซบไหล่อีกคนหนึ่งก็ตบหลังเบาๆ มองยังไงก็เป็นอ้อมกอดของคนรักที่สนิทสนมกัน
หรือว่า สอคนนี้คบกันแล้ว?
คิดแบบนี้ ผู้ช่วยเหมันตร์ก็รีบหันหลังไปมองเปปเปอร์ที่นั่งอยู่ข้างหลัง
เปปเปอร์หลับตาลง ทำให้คนมองอารมณ์ของเขาไม่ออก
เขาผิดหน้าต่างรถ โยนกล่องที่อยู่บนตักไปไว้เบาะข้างๆ หลับตาแล้วพูดว่า “ออกรถ”
“ประธานเปปเปอร์ครับ ไปไหนครับ?” ผู้ช่วยเหมันตร์ถาม