บทที่ 1025 ยึดประคำโลหิต

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

“เหตุใดจึงมีตำรวจเฝ้าอยู่มากมายเช่นนี้”
  หลิงหยุนทำการเดินยืดเส้นยืดสายไปรอบๆบ้านหลังจากนอนแน่นิ่งมานานและพูดคุยกับหวังเฟยฮู๋อย่างเป็นกันเอง ระหว่างนั้นจึงสังเกตเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายกำลังยืนรักษาความปลอดภัยอยู่หน้าประตูบ้าน..
  หวังเฟยฮู๋เดินเข้าไปใกล้พร้อมกับตอบยิ้มๆ“หลังจากคืนที่มีศัตรูบุกเข้าบ้านเลขที่-1 เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจิงฉูก็พากันตื่นตัว และได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาคุ้มกันพวกเราตั้งแต่นั้นมา..”
  หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มและได้แต่คิดว่า ‘ครั้งนี้ดูเหมือนลุงถังจะโกรธน่าดูสินะ!’
  เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงสวนด้านหลังหลิงหยุนจึงพบว่าสภาพความเสียหายนั้นพังพินาศกว่าที่เขาคิดไว้มาก
  ต้นไม้ใหญ่หลายต้นในสวนถูกฟันล้มระเนระนาดบ้างก็ถูกฟ้าผ่าจนกลายเป็นตอตะโกสีดำไป..
  สนามหญ้าถูกทำลายเสียหายหญ้าที่เคยเขียวขจีเวลานี้กลับแห้งคาตา ซึ่งเป็นผลพวงจากลูกไฟร้อนแรงของยันต์เตโชนั่นเอง สภาพสวนที่ยังเหลือหญ้าเขียวเป็นหย่อมๆ นั้น ดูช่างน่าเกลียดยิ่งนัก!
  หลิงหยุนเห็นสภาพบ้านที่ถูกทำลายเสียหายมากมายเช่นนี้ใบหน้าถึงกลับเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองพร้อมกับพึมพำออกมาเสียงเย็น..
  “หึ..หากข้าไม่สังหารพวกเจ้า วันนี้ข้าคงต้องนึกเสียใจเป็นแน่!”
  หวังเฟยฮู๋พูดขึ้นมายิ้มๆ“พวกมันช่างโง่นักที่เอาชีวิตมาทิ้งที่นี่! พรรคมารนำยอดฝีมือนับร้อยมาจู่โจมบ้านกลางเมืองเช่นนี้ นับว่าทำการอุกอาจเกินไปจริงๆ!”
  จากนั้นหลิงหยุนจึงเดินเข้าไปสำรวจสมุนไพรทั้งสามต้นอย่างละเอียดและพบว่าทุกต้นล้วนอยู่ในสภาพปลอดภัยดีอย่างที่ไป๋เซียนเอ๋อบอก และดูเหมือนจะเติบโตขึ้นมากอีกด้วย..
  และจากที่คาดคะเนด้วยสายตานั้นหลิงหยุนคิดว่าคงอีกราวครึ่งเดือนหญ้าหยินกับหญ้าหยางก็จะโตเต็มวัยแล้ว..
  แต่แล้วจู่ๆก็มีร่างใหญ่สองร่างกระโดดเข้ามายืนล้อมหลิงหยุนไว้..
  “ว้าว..เจ้านายที่เคารพ! ท่านตื่นขึ้นมาแล้ว.. ขอบคุณท่านเทพซาตาน!”
  แวมไพร์ทั้งสองตนรีบวิ่งออกมาจากห้องเก็บของเล็กๆที่สวนด้านหลังทันที และเจสเตอร์ก็ถึงกับกรีดร้องออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจเมื่อได้พบเห็นหลิงหยุน..
  “เคานต์พอล..ยินดีที่ได้พบเจ้านายที่เคารพอีกครั้ง!”
  ระหว่างแวมไพร์สองตนนั้นพอลเป็นแวมไพร์ที่เงียบขรึม และมีความเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าเจสเตอร์ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่อาจปิดบังความตื่นเต้นดีใจที่แสดงออกทางสีหน้าไว้ได้
  “เจสเตอร์..การที่ข้าตื่นขึ้นมาได้นั้น เกี่ยวข้องอะไรกับเทพซาตานของเจ้างั้นรึ อีกอย่าง.. เจ้าช่วยทำเสียงเบาหน่อย ทุกคนกำลังหลับอยู่ เสียงของเจ้าจะปลุกให้พวกเขาตื่นขึ้นมากันหมด!”
  หลิงหยุนเหลือบมองเจสเตอร์ด้วยสายตาตำหนิจากนั้นจึงหันไปมองพอลด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาและถามขึ้นว่า
  “เคานต์พอลงั้นรึ!หลังจากคืนนั้น.. นี่พวกเจ้าทั้งคู่ขึ้นเป็นเคานต์ได้แล้วรึ?”
  “ใช่แล้วเจ้านายที่เคารพ!พวกเราขึ้นเป็นแวมไพร์ขั้นเคานต์แล้ว แต่ข้าขึ้นเป็นเคานต์ได้ก่อนพอล แล้วพอลก็ด้อยกว่าข้าเล็กน้อย..”
  เจสเตอร์กระซิบเสียงเบาลงหลังจากที่ถูกหลิงหยุนตำหนิแต่ก็ไม่อาจซ่อนความตื่นเต้นดีใจไว้ได้เช่นกัน และอดที่จะเอ่ยปากชมตัวเองไม่ได้
  หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่นึกขันในความขี้อวดของเจสเตอร์จึงตอบกลับไปว่า
  “เจสเตอร์..เจ้าช่างหน้าไม่อาย! เจ้าติดตามข้าไปสู้กับศัตรูที่เขาเซียนเหยินหลิงหลายครั้ง ได้รับประโยชน์มากมายกว่าพอลนัก แต่เวลานี้เจ้าเหนือกว่าพอลเพียงแค่เล็กน้อย กลับกล้าอวดตนเช่นนี้เชียวรึ”
  เจสเตอร์ถูกหลิงหยุนดักคอเช่นนี้จึงได้แต่ทำสีหน้ากระอักกระอ่วน และไม่สามารถตอบโต้ได้ จึงได้แต่ยกมือขึ้นเกาศรีษะ..
  พอลยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า“เจ้านายที่เคารพ.. เวลานี้เจสเตอร์เหนือกว่าข้าจริงๆ!”
  หลิงหยุนพยักหน้ารับรู้ก่อนจะถามขึ้นว่า“ตอนนี้พวกเจ้าสองตนสามารถใช้เวทย์มนต์ได้หรือไม่”
  พอลกับเจสเตอร์นิ่งไปครู่หนึ่งทั้งคู่มองตากันก่อนจะโค้งตัวลง และเอ่ยปากตอบหลิงหยุนขึ้นพร้อมกัน..
  “เจ้านายที่เคารพ..น่าเสียดายที่พวกเรายังไม่สามารถใช้เวทย์มนต์ได้!”
  หลิงหยุนได้แต่แอบถอนหายใจและได้แต่คิดว่า ‘ดูเหมือนแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสขึ้นไปสินะจึงจะสามารถใช้เวทย์มนต์ได้!’
  “เอาล่ะ..พวกเจ้าไม่ต้องร้อนใจ! ค่อยเป็นค่อยไป ไว้กลับไปปักกิ่งเมื่อไหร่ พวกเจ้าค่อยไปเรียนรู้การใช้เวทย์มนต์จากเอ็ดเวิร์ด..”
  นี่คือลอร์ดแวมไพร์สองตนที่หลิงหยุนเป็นผู้ให้เลือดของตนเองเขาจึงคาดหวังกับความก้าวหน้าของพวกมันทั้งคู่ในวันข้างหน้ามาก..
  หลิงหยุนเองก็ได้ตั้งใจไว้แล้วว่า..หลังจากที่ร่างกายของเขากลับสู่สภาพปกติเมื่อใด ทุกครั้งที่เขาฝึกวิชาในคัมภีร์เสวียนหวง เขาก็จะให้แวมไพร์ทั้งสองตนนี้อยู่ข้างกายด้วย เพื่อให้มันได้ดูดซับเอาปราณเสวียนหวงเข้าไป จะได้เพิ่มความรวดเร็วในการพัฒนาขั้นของพวกมันทั้งคู่..
  และเวลานี้..หลิงหยุนก็มีแวมไพร์เป็นบริวารถึงห้าตน ขั้นมาร์ควิสหนึ่ง และขั้นเคานต์อีกสี่!
  หลิงหยุนพยักเพยิดหน้าไปทางห้องเก็บของพร้อมกับถามเสียงนิ่งเรียบ“ข้างในมีใครบ้าง”
  พอลตอบเสียงเบา“เจ้านาย.. ตอนนี้มียอดฝีมือแขนขาขาดสองคน แล้วก็สองพี่น้องตระกูลเฉิน และไห่ซานอีกคน..”
  หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับพึมพำออกไปว่า“พวกมันยังมีชีวิตอยู่หรือนี่”
  เจสเตอร์ตอบยิ้มๆ“ขอรับเจ้านาย.. เพียงแต่เป็นการอยู่ที่ทรมานยิ่งกว่าตาย!”
  หลิงหยุนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย..
  พอลรีบตอบทันที“ไม่เกี่ยวกับข้า..”
  เจสเตอร์ทำหน้าตาเจ้าเล่ห์และรีบอธิบายให้หลิงหยุนฟัง “เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับข้าเช่นกัน! แต่เป็นน้องชายสุดที่รักของท่าน – ถังเมิ่ง ส่วนข้า – เจสเตอร์เป็นเพียงผู้ช่วยของเขาเท่านั้น..”
  หลิงหยุนหลับไปนานถึงเก้าวันและไม่รู้ว่าจะได้ตื่นขึ้นมาอีกหรือไม่ ถังเมิ่งนั้นไม่ว่าจะยุ่งมากเพียงใด ทุกๆวันก็จะต้องมาที่บ้านหลังนี้ และจัดการระบายความโกรธทั้งหมดลงกับคนที่ไร้ทางสู้ทั้งห้า..
  หลิงหยุนได้ฟังเช่นนั้นก็พอที่จะจินตนาการได้ทันทีว่า ถังเมิ่งกับเจสเตอร์ร่วมมือกันเช่นนี้ ทั้งห้าคนคงจะต้องได้รับการทรมานอย่างน่าสยดสยองเป็นแน่!
  “เจ้าเด็กนั่นกลายเป็นคนเหี้ยมโหดเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”หลิงหยุนได้แต่ขมวดคิ้ว แต่ในใจกลับนึกพออกพอใจอย่างมาก
  “เข้าไปดูแขกทั้งห้าของเรากันดีกว่า..”
  หลิงหยุนเป็นฝ่ายเดินนำแวมไพร์ทั้งสองตนไปยังห้องเก็บของ..
  “โอ้ว..”
  เพียงแค่เดินผ่านหน้าประตูห้องเก็บของหลิงหยุนก็ถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดจมูกทันที เพราะกลิ่นคาวเลือดผสมกับกลิ่นเน่าของบาดแผล ได้โชยคละคลุ้งออกมาอย่างน่าสะอิดสะเอียน และน่าขยะแขยงจนเกินที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้..
  เวลานี้..สภาพร่างกายของหลิงหยุนยังไม่ฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิม เขาจึงไม่สามารถหายใจจากภายในได้ และไม่สามารถทนกลิ่นเหม็นเน่าเช่นนี้ได้ จึงเปลี่ยนใจไม่เข้าไปด้านใน..
  เขากลั้นหายใจกวาดสายตามองผ่านประตูห้องเก็บของก่อนจะรีบหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว!
  และเพียงแค่นั้นก็พอที่จะเห็นสภาพของผู้ที่อยู่ภายในห้องได้แล้ว..
  แขกทั้งห้าคนนั้นล้วนมีสภาพที่น่าสยดสยองยิ่งนัก!
  นักบวชเลี่ยยื่อและซือกงวู่จี๋ที่ไร้แขนขานั้น น่าจะไม่ได้กินอะไรมานานหลายวัน เวลานี้สภาพของพวกเขาทั้งสองจึงเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก และกำลังนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น..
  ทางด้านเฉินเจี้ยนกุ่ยซึ่งถูกหลิงหยุนตัดขาทั้งสองข้าอีกทั้งยังได้รับปราณเสวียนหวงเข้าไป ขั้นของมันจึงลดต่ำลงจากขั้นเคานต์เป็นบารอนทันที! และเวลานี้มันกำลังนอนอ้าปากอยู่บนพื้น และจากสภาพดูเหมือนฟันของมันจะถูกดึงจนหลุดหมดทั้งปากแล้ว..
  ส่วนเฉินเซินนั้นหลังจากได้รับปราณเสวียนหวงเข้าไป ก็ได้แต่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด จนไม่เหลือสภาพของแวมไพร์อีกเลย!
  เวลานี้คนที่มีสภาพที่ดูดีที่สุดจึงเป็นลูกน้องของเฉินเซินที่ชื่อไห่ซาน!
  “ถังเมิ่ง..เจ้าหมอนี่ช่างเหลือเกินจริงๆ!”
  หลิงหยุนถึงกับลืมสภาพร่างกายที่อ่อนแอของตนเองและรีบวิ่งหนีออกไปจากห้องเก็บของอย่างเร็วที่สุด!
  หลังจากวิ่งออกมาได้ไกลพอควรแล้วหลิงหยุนจึงยกมือขึ้นขยี้จมูก ก่อนจะชี้นิ้วขึ้นไปบนหลังคาพร้อมกับสั่งหวังเฟยฮู๋ว่า
  “ท่านหวัง..ท่านช่วยส่งข้าขึ้นไปข้างบนที!”
  บนหลังคา..หลิงหยุนนั่งขัดสมาธิหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
  ก่อนที่จะเริ่มฝึกฝนนั้นหลิงหยุนนั่งทำสมาธิให้จิตใจสงบนิ่งอยู่กับตนเอง จากนั้นจึงพยายามเคลื่อนย้ายสิ่งของในแหวนพื้นที่ แต่ก็ต้องพบว่าตนเองไม่สามารถทำได้ จึงได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างผิดหวัง..
  “ดูเหมือนจิตใจของข้ายังคงอ่อนกำลังยิ่งนักคงต้องใช้เวลาอีกสักสองสามวันกว่าจะใช้งานแหวนพื้นที่ได้ดังเดิม..”
  หลิงหยุนนั่งครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆเวลานี้จิตหยั่งรู้ของเขายังไม่สามารถใช้งานได้ก็จริง แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะไม่สามารถใช้งานแหวนพื้นที่ได้ เพียงแต่หากมีจิตหยั่งรู้ก็จะทำให้หลิงหยุนสามารถใช้งานได้สะดวกมากขึ้นเท่านั้นเอง…
  ประโยชน์ของแหวนพื้นที่นั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความสะดวกสบายในการพกพาสิ่งของไปในที่ต่างๆด้วย..
  หากมีจิตหยั่งรู้จะสามารถใช้งานแหวนพื้นที่ได้สะดวกขึ้นมากเพราะจะสามารถใช้จิตหยั่งรู้มองหาสิ่งของที่อยู่ภายในแหวนพื้นที่ได้ คล้ายๆ กับการที่คนเราเข้าไปหยิบของในห้องเก็บของนั่นเอง ผู้ที่เข้าไปหยิบสิ่งของจำเป็นที่จะต้องมองเห็นสิ่งที่ต้องการหยิบก่อนว่าวางอยู่ตำแหน่งใด จึงจะสามารถหยิบของชิ้นนั้นออกมาได้..
  ดังนั้นถึงแม้ว่าหลิงหยุนจะไม่มีจิตหยั่งรู้ แต่ก็ยังสามารถใช้แหวนพื้นที่ได้ เพียงแต่ความสะดวกรวดเร็วในการเรียกออกมานั้นจะแตกต่างกัน…novel-lucky.
  แต่นับว่าโชคดีที่แหวนพื้นที่ของหลิงหยุนไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่โตมากมายและมีสิ่งของอยู่ด้านในไม่มากนัก ด้วยความทรงจำที่เหลือประมาณของหลิงหยุน เขาจึงจำได้ว่าวางสิ่งใดไว้ตำแหน่งใหนบ้าง การไม่มีจิตหยั่งรู้จึงไม่ได้สร้างปัญหาในเรื่องนี้ให้กับเขามากนัก!
  แต่เพราะจิตใจของหลิงหยุนยังคงมีสมาธิและมีพลังที่แข็งแกร่งไม่พอ เขาจึงไม่สามารถเรียกสิ่งของออกมาจากแหวนพื้นที่ได้!
  หากหลิงหยุนต้องการนำสิ่งของออกมาจากแหวนพื้นที่เขาจะต้องมีสมาธิที่แน่วแน่ และใช้ความคิดที่เป็นสมาธิแน่วแน่นั้น ‘เคลื่อนย้าย’ สิ่งของที่อยู่ภายในแหวนพื้นที่ออกมา คล้ายกับการนำสิ่งของออกจากห้องเก็บของนั่นเอง..
  และสมาธิของจิตใจนั้นก็มักจะสัมพันธ์กับความแข็งแกร่งของร่างกาย!
  หลิงหยุนเพิ่งจะฟื้นตัวร่างกายของเขายังคงอ่อนแอ จิตใจจึงย่อมอ่อนกำลัง และไม่มีพลังเพียงพอที่จะเคลื่อนย้ายสิ่งของในแหวนพื้นที่เวลานี้..
  หลิงหยุนเชื่อว่าอีกสองสามวันจิตใจของเขาน่าจะเริ่มฟื้นคืนสภาพ และมีพลังมากขึ้น ถึงตอนนั้นเขาก็จะสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของในแหวนพื้นที่ได้ตามปกติเช่นเดิม..
  และเมื่อถึงเวลานั้น..เขาจะเรียกน้ำลายมังกร สมุนไพรล้ำค่า และอื่นๆอีกมากมายออกมา หากเขาดื่มกินสิ่งที่อุดมด้วยพลังชีวิตเหล่านี้เข้าไป เชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้น่าจะถูกแก้ไข้ได้อย่างแน่นอน..
  แต่ในเมื่อยังไม่สามารถใช้งานแหวนพื้นที่ได้หลิงหยุนจะร้อนใจไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร!
  และการที่หลิงหยุนขึ้นไปบนหลังคาบ้านก็เพื่อฝึกวิชาดาราคุ้มกายนั่นเอง..
  วันนี้อากาศค่อนข้างดีมากไม่มีเมฆหมอกปกคลุม และดวงอาทิตย์ก็กำลังขึ้นจากขอบฟ้าพอดี..
  หลิงหยุนหลับตาสูดลมหายใจเข้าอย่างช้าๆและพยายามหยุดความคิดภายในให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นจึงดูดซับเอาพลังสุริยะที่ร้อนแรงเข้าไปในร่างกาย
  การฝึกวิชาดาราคุ้มกายนั้นผู้ฝึกต้องดูดซับเอาพลังสุริยะ พลังจันทรา และพลังดวงดาวเข้าสู่ผิวหนัง กล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในอื่นๆ จนกระทั่งเข้าสู่จุดตันเถียน เส้นลมปราณ และจุดฝังเข็มต่างๆ
  และยิ่งฝึกดาราคุ้มกายมากเท่าไหร่ร่างกายของคนผู้นั้นก็จะมีคุณสมบัติเหมาะกับการฝึกบ่มเพาะมากยิ่งขึ้น!
  และด้วยสภาพร่างกายของหลิงหยุนเวลานี้..เขาสามารถฝึกวิชาได้ครั้งละหนึ่งวิชาเท่านั้น!
  การที่พลังปราณภายในร่างกายของหลิงหยุนเหือดแห้งเช่นนี้ทำให้การดูดซับเอาพลังสุริยะเข้าไปในร่างกายนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ความยากลำบากนั้น ก็ไม่สามารถหยุดหลิงหยุนได้!
  และไม่ว่าจะต้องเผชิญกับความยากลำบากเช่นใดหรือไม่ว่าจะล้มลุกคลุกคลานกี่ครั้ง หลิงหยุนก็จะสามารถลุกขึ้นมายืนหยัดได้ทุกครั้ง และนี่คือหลิงหยุน!
  หลิงหยุนนั่งฝึกวิชาดาราคุ้มกายอยู่ร่วมสองชั่วโมงจนกระทั่งเจ็ดโมงเช้า เขาจึงได้เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ พร้อมกับร้องตะโกนบอกหวังเฟยฮู๋
  “ท่านหวัง..นำข้าลงไปที!”
  หวังเฟยฮู๋ไม่รอช้าเขากระโดดขึ้นไปบนหลังคาทันที จากนั้นจึงประคองร่างของหลิงหยุนกระโดดลงมาที่พื้นพร้อมกัน..
  “คุณชายหลิง..เรียกข้าเฟยฮู๋ก็พอ!”
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า“ข้าเรียกท่านเช่นนี้ คนในบ้านจะได้เรียกตาม!”
  หวังเฟยฮู๋เพียงแค่พยักหน้า..จากนั้นทั้งคู่ก็แยกย้ายกัน
  หลิงหยุนขึ้นไปหยิบศิลากลั่นวิญญาณที่ห้องนอนมาถือไว้และตั้งใจจะเข้าไปทำอาหารเช้าในครัว แต่เมื่อเข้าไปก็พบว่ามีคนกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารพอดี..
  “เหยาลู่..เหตุใดเจ้าจึงตื่นเช้านัก”
  เหยาลู่ที่กำลังเตรียมอาหารเช้าได้ยินเสียงของหลิงหยุนจึงรีบหันไปยิ้มให้พร้อมกับตอบไปว่า
  “ฉันนอนมาตั้งห้าชั่วโมงแล้วก็เลยลุกขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าไว้ให้นาย!”
  หลิงหยุนเข้าไปโอบเอวของเหยาลู่ไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า“ให้ผมทำเองดีกว่า ส่วนคุณกลับขึ้นไปนอนพักผ่อนต่อจะดีกว่า! ดูสิ.. ตายังแดงก่ำอยู่เลย!”
  เหยาลู่ก้มหน้าลงเล็กน้อยจากนั้นน้ำตาก็ไหลพรากออกมาอย่างยากที่จะอดกลั้นได้อีก “หลิงหยุน.. ต่อไปอย่าทำอะไรที่อันตรายแบบนี้อีกจะได้มั๊ย”
  หลิงหยุนยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้กับเหยาลู่อย่างอ่อนโยนพร้อมกับตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ผมรู้.. แต่ตอนนี้ผมหิวมากเลย สามารถกินวัวได้ทั้งตัวเลยล่ะ! พวกเรามาช่วยกันทำอาหารเช้ากันดีกว่า!”
  เหยาลู่ยิ้มอย่างมีความสุขและตอบหลิงหยุนไปว่า “ไม่ล่ะ.. นายไปนั่งรอที่โต๊ะกอ่น เดี๋ยวทำเสร็จแล้วฉันจะรีบเอาไปเสริฟให้!”
  เวลานี้..เหยาลู่อยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-3 จึงมีจิตหยั่งรู้เกิดขึ้นแล้ว และเมื่อเห็นว่าหลิงหยุนตื่นนอนแล้ว เธอจึงรีบตื่นมา และตั้งใจเตรียมอาหารเช้าให้กับเขา..
  หลังจากที่กินเข้าไปจนอิ่มแปล้หลิงหยุนก็ขอให้เหยาลู่กลับไปพักผ่อนที่ห้องต่อ จากนั้นจึงร้องตะโกนออกไปว่า
  “น้าหญิง..หลิงยู่.. เมิ่งหาน.. ผมรู้ว่าทุกคนได้ยินที่ผมพูด! ขอให้ทุกคนนอนพักผ่อนต่อไป ไม่ต้องเป็นห่วงผมให้มากนัก..”
  จากนั้นหลิงหยุนจึงเดินออกไปที่สวนด้านนอกอีกครั้งหวังเฟยฮู๋รีบเข้ามารายงานว่า “คุณชายหลิง.. ข้าจัดการตามที่ท่านสั่งแล้ว!”
  หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับร้องบอกว่า“ถ้าเช่นนั้นก็นำตัวมันไปไว้ที่ใต้ต้นไม้นั่น!”
  เจสเตอร์รีบนำร่างที่เปียกแฉะของเฉินเจี้ยนกุ่ยไปไว้ใต้ต้นไม้ตามคำสั่งทันทีก่อนหน้าที่จะมาพบหลิงหยุนนั้น เฉินเจี้ยกุ่ยถูกนำร่างไปฉีดน้ำล้างทำความสะอาด และเวลานี้กลิ่นเหม็นน่ารังเกียจจึงลดลงไปมาก..
  เจสเตอร์โยนร่างที่ไร้ขาของเฉินเจี้ยนกุ่ยไปกองไว้แทบเท้าของหลิงหยุนหลิงหยุนก้มหน้าลงไปมองร่างของเฉินเจี้ยนกุ่ยครู่ใหญ่ จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า
  “คนแซ่เฉิน..ข้าให้โอกาสเจ้าหนีหลายครั้งหลายครา แต่ในที่สุดเจ้าก็ไม่สามารถหนีไปได้! เวลานี้เจ้าไร้ขาไร้ปีก แม้แต่ฟันก็ไม่มีเหลือแม้แต่ซี่เดียว สภาพของเจ้าเวลานี้ไม่ต่างจากโครงกระดูก!”
  เฉินเจี้ยนกุ่ยที่ท้อแท้สิ้นหวังเปิดปากที่ไม่มีฟันขึ้นพูดด้วยแววตาอ้อนวอน “หลิงหยุน.. ข้าขอร้องล่ะ.. ได้โปรดฆ่าข้าเถิด!”
  แต่หลิงหยุนกลับส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า“ข้าบอกเจ้าแล้ว.. ข้าจะสังหารทุกคน ยกเว้นเจ้า!”
  “ที่ข้าให้เจ้ามาพบวันนี้ก็เพราะต้องการสิ่งของบางอย่างจากเจ้า!”
  “มอบประคำโลหิตมาให้ข้า!”
  จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปสั่งเจสเตอร์โดยไม่สนใจสายตาที่สิ้นหวังท้อแท้ของเฉินเจี้ยนกุ่ย
  “ประคำโลหิตอยู่ในท้องของมันตรงตำแหน่งสามนิ้วลงมาจากสะดือ จัดการล้วงออกมา!”
  เจสเตอร์ใช้กรงเล็บที่แหลมคมทั้งห้านั้นควักลงไปในท้องน้อยของเฉินเจี้ยนกุ่ยทันที จากนั้นจึงล้วงมือเข้าไปหยิบสิ่งของลักษณะคล้ายชิ้นเนื้อออกมา..
  เวลานี้หน้าท้องของเฉินเจี้ยนกุ่ยกลายเป็นรูสีแดงอย่างน่าสยดสยองก่อนจะดิ้นไปมาด้วยความเจ็บปวด..
  เจสเตอร์ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างเช็ดเลือดออกจากชิ้นเนื้อนั้นจึงพบว่ามันคือเม็ดโลหิตสีแดงขนาดเท่าเม็ดถั่ว
  และนี่ก็คือประคำโลหิตซึ่งเป็นสมบัติของตระกูลเฉิน!
  “นี่ขอรับเจ้านายที่เคารพ!”เจสเตอร์พูดพร้อมกับส่งประคำโลหิตในมือให้หลิงหยุน หลิงหยุนรับมาพร้อมกับกำไว้ในฝ่ามือแน่น จากนั้นจึงหันไปพูดกับเฉินเจี้ยนกุ่ย
  “ประคำนี้เป็นของข้าแล้ว!”