หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 838 เดิมพันชีวิตด้วยชีวิต
ตู้ม**!**
พายุไร้ขอบเขตกวาดออกพร้อมกับฝ่ามือคลื่นหลิง ราวกับภูเขามหึมาพุ่งลงมาจากท้องฟ้าโอบล้อมมู่เฉินไว้ การโจมตีดังกล่าวเพียงพอที่จะทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าหวาดกลัวจนขวัญกระเจิง
รังสีสังหารของลู่หวูที่มีต่อมู่เฉินเห็นชัดว่าอยู่ในระดับเข้มข้นอย่างยิ่ง
ฝ่ามือคลื่นหลิงสะท้อนในดวงตาของมู่เฉิน กระนั้นดวงตาของเขากลับพลุ่งพล่านด้วยแสงดุร้ายข้นคลั่ก แม้มู่เฉินจะตกใจกับการลงมือของลู่หวู แต่เขาก็ไม่หวาดกลัว นั่นเพราะตอนนี้พลังของเขาถึงจุดสูงที่น่ากลัวจากรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์
การยืมพลังมา ทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกที่เขาไม่สามารถต่อกรด้วยในยามปกติก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ในสายตาของเขาตอนนี้
“กีด!”
มือของมู่เฉินประสานเข้าด้วยกัน วิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์ก็ส่งเสียงร้องดังขณะที่ลวดลายซับซ้อนที่ปกคลุมร่างมันเริ่มสั่นระริก ก่อนที่จะแผ่ปกคลุมทั่วร่างของมู่เฉินอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่กี่อึดใจ ผิวของมู่เฉินก็ปกคลุมไปด้วยลวดลายเหล่านี้
ตู้ม!
แสงพราวพุ่งออกมาจากนัยน์ตามู่เฉินขณะที่เขาส่งเสียงคำรามก้องฟ้า เสียงคำรามเต็มไปด้วยพลังการต่อสู้ไร้ขอบเขต เมื่อรัศมีจั้นยี่พวยพุ่ง ก็ก่อตัวเป็นลูกคลื่นกวาดออกทั่วบริเวณ
สายตาของมู่เฉินเดือดพล่าน ตอนนี้เหมือนมีสัตว์อสูรดุร้ายนับไม่ถ้วนคำรามอยู่ในร่างกายนำมาซึ่งพลังทำลายล้าง พลังงานนั้นเหนือกว่าตัวเขาไปไกล ซึ่งก็คือรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์
แม่ทัพทั่วไปสามารถควบคุมการใช้รัศมีจั้นยี่ได้เหมือนอาวุธพบสวรรค์เท่านั้น ไม่กล้าปล่อยให้เคลื่อนเข้าไปในร่างกายเลย นั่นเป็นเพราะรัศมีจั้นยี่ป่าเถื่อนโดยกำเนิดและก็เป็นการรวมคลื่นความมุ่งมั่นของนักรบนับไม่ถ้วน หากถูกซึมซับเข้าไปในร่างกายโดยไม่ระวัง เมื่อสูญเสียการควบคุม ก็จะทำให้ร่างกายระเบิดเป็นจุณในทันที
มีเพียงหลังจากชำระวิญญาณสงครามได้เท่านั้นถึงจะควบคุมได้ลึกซึ้ง และสามารถส่งรัศมีจั้นยี่เข้าสู่ร่างกายเปลี่ยนเป็นพลังงานให้กับพวกเขาได้
แน่นอนว่าตอนนี้มู่เฉินยังไปไม่สามารถถึงระดับนั้น ดังนั้นเมื่อเขาส่งรัศมีจั้นยี่เข้าไปในร่างกาย อวัยวะภายในก็สั่นกระเพื่อม หากไม่ใช่เพราะกายามังกรหงส์ที่ทำให้เขามีพลังกายทรงประสิทธิภาพแล้ว แค่รัศมีจั้นยี่เพียงอย่างเดียวก็คงทำให้เขามีช่วงเวลาที่น่าอนาถแล้ว
“ไม่ง่ายนักหรอกที่แกจะฆ่าข้า!”
มู่เฉินคำรามลึกซัดฝ่ามือออกไป ในฝ่ามือไม่มีทักษะลับใดๆ แต่เขากลับใช้พลังของตัวเองบวกกับรัศมีจั้นยี่ที่พลุ่งพล่าน พลังฝ่ามือถึงกับทำลายมิติโดยตรง
เมื่อลู่หวูเห็นท่าทางของมู่เฉิน สีหน้าก็เปลี่ยนไป จากนั้นใบหน้าแข็งค้าง เนื่องจากเขาตระหนักได้ว่ามู่เฉินไม่คิดจะป้องกันการโจมตีของเขาเลย แต่เลือกซัดที่อกของเขาโดยตรง
สถานการณ์ฉับพลันทำให้หนังตาของลู่หวูกระตุกรุนแรง เขาไม่คิดเลยว่าเมื่อเผชิญกับการโจมตีของเขา มู่เฉินยังไม่คิดปกป้องตัวเองแต่กลับโหดกว่านั้น เลือกเดิมพันด้วยชีวิต!
“แกรนหาที่ตาย!”
ทว่าลู่หวูก็เป็นคนโหดไม่แพ้กัน เผชิญกับการโจมตีของมู่เฉินและจิ่วโยว เขารู้ว่าตนเองไม่สามารถหลีกหนีเต็มกำลังได้ ดังนั้นแสงเหี้ยมจึงวาววับในดวงตา เขาไม่ลังเล ฝ่ามือฉีกผ่านท้องฟ้า ซัดลงที่หน้าอกของมู่เฉินอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด
เมื่อฝ่ามือซัดลงบนร่างของมู่เฉิน ร่างอีกฝ่ายก็เปล่งแสงสีทองขึ้น เกราะมังกรหงส์ที่ราวกับทำมาจากทองคำก็ปรากฏขึ้น ขณะเดียวกันวิญญาณมังกรแท้จริงก็เคลื่อนตัวรอบอก เปล่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกับชั้นเกล็ดสีทองปกคลุมร่างมู่เฉินไว้
มาตรการป้องกันทั้งหมดนี้เปิดใช้ขึ้นฉับพลัน ในเวลาเดียวกันฝ่ามือของมู่เฉินที่บรรจุด้วยรัศมีจั้นยี่รุนแรงก็ซัดบนหน้าอกของลู่หวู
ปัง!
คลื่นหลิงรุนแรงกวาดออกไปราวกับลอนคลื่น ทำให้มิติแตกร้าวรอบฝ่ามือ ร่างของมู่เฉินสะท้านก่อนจะกระเด็นแล้วดิ่งพสุธาลงมา ทำให้พื้นดินในรัศมีพันจั้งยุบลง รอยแตกขนาดใหญ่วิ่งพล่านไปในระยะไกลอย่างรวดเร็ว
เมื่อมู่เฉินถูกดันลงไปบนพื้นด้วยฝ่ามือ หน้าอกของลู่หวูก็ยุบลงทั้งแถบพร้อมกับกระอักเลือดที่ปะปนกับอวัยวะภายในที่แหลกเหลวออกมา ร่างกระเด็นราวกับลูกปืนใหญ่
ชี่!
ทันทีที่ร่างของลู่หวูพุ่งหลาวออกไป กระบี่ขนนกสีดำก็แทงทะลุอกออกมาจากด้านหลัง เพลิงสีม่วงลุกโชนอยู่บนใบกระบี่
อ้ากๆๆๆ!
ลู่หวูส่งเสียงร้องโหยหวนขณะค่อยๆ หันหน้าไปมองด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว เขาเห็นจิ่วโยวยืนอยู่เบื้องหลังสาดสีหน้าเย็นเยือกขณะควบคุมเพลิงอมตะกัดกร่อนร่างของเขาทีละน้อย
“ในเมื่อแกต้องการแลกชีวิตเพื่ออีกคน ก็ฝังชีวิตตัวเองไว้ที่นี่เลย!” จิ่วโยวเอ่ยเสียงเย็นเยือก เพลิงโทสะกวาดออกมาจากนัยน์ตา
ร่างของลู่หวูสั่นเทิ้มพร้อมกับความหวาดกลัวหนาแน่นไต่ขึ้นมาในดวงตา นั่นเพราะเขารู้ว่าหากปล่อยให้เพลิงอมตะของจิ่วโยวแผดเผา เขาคงจะตายที่นี่วันนี้แน่
“ข้าจะลากพวกแกไปด้วย!”
ลู่หวูคำรามประสานมือเข้ากัน ก่อร่างตราประทับ จากนั้นร่างกายเขาก็ขยายขนาดอย่างรวดเร็ว ระลอกคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านออกมา
เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าจิ่วโยวก็เปลี่ยนไป นางกระชากกระบี่ออกพลางถอยกลับทันที
ตู้ม!
ร่างของลู่หวูระเบิดทันใด คลื่นหลิงสีเทาดำก่อตัวเป็นกลุ่มควันมหึมาบนท้องฟ้า แม้จะดูงดงาม แต่กลับแฝงไปด้วยพลังทำลายล้างเยือกเย็นในหัวใจของผู้คน
แม้จิ่วโยวจะตอบสนองอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังได้รับผลกระทบหลายส่วน เลือดหยดลงจากมุมปาก
ทุกคนที่นี่หน้าซีดเผือดด้วยอาการตกตะลึง ไม่มีใครคิดเลยว่าลู่หวูจะถูกบีบให้ทำลายร่าง… เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกตัวจริงนะ!
ไม่กี่นาทีก่อนหน้าเขายังคงท่าทีสงบนิ่งท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดได้ แต่ในไม่กี่นาทีต่อมาก็ได้ทำลายตัวเอง ความเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำเอาทุกคนตะลึงลานไปหมดแล้ว
จิ่วโยวหยุดอยู่บนท้องฟ้าไกลออกไป สายตามองพายุคลื่นหลิงรุนแรง จากนั้นดวงตาก็หดเกร็งเมื่อเห็นริ้วแสงสีเทาพาดผ่านพุ่งไปยังร่องที่ลู่ขุยนอนพังพาบอยู่ ก่อนจะหายลับตาไปพร้อมกับร่างสะบักสะบอม
ริ้วแสงสีเทานั้นก็คือดวงจิตของลู่หวู การใช้พลังที่เหลืออยู่จากการระเบิดทำให้เขาสามารถช่วยเหลือลู่ขุยได้ แต่สำหรับกองทัพพาฬที่เหลือ เขาช่วยอะไรไม่ได้เลย จำใจต้องหนีไปกับลู่ขุยเท่านั้น
เมื่อกองทัพพาฬเบื้องล่างเห็นลู่หวูทอดทิ้งพวกตน ขวัญกำลังใจก็ลดลง เหล่านักรบหนีไปคนละทิศคนละทาง ไม่มีความกล้าเหมือนตอนที่สร้างรัศมีจั้นยี่อีกแล้ว
หากนักรบเหล่านั้นรวมตัวกันอยู่ ก็สามารถปลดปล่อยพลังแข็งแกร่งออกมาโดยไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้พวกเขาสูญเสียความมุ่งมั่นในการต่อสู้ไปแล้ว พวกเขาก็พ่ายแพ้กลับสู่สภาพแท้จริงทันที ในสมรภูมิหยุ่นลั้วที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบตัว ชะตากรรมถูกกำหนดแล้ว ดังนั้นจิ่วโยวจึงทำเพียงเหลือบมองร่างที่หนีไปแต่ไม่ได้ขัดขวางอะไรพวกเขา
นางเคลื่อนไหวพลิ้วตัวลงตรงจุดที่มู่เฉินร่วงลงมา แววเป็นห่วงวูบไหวในดวงตา เพราะพลังแฝงในการโจมตีของลู่หวูก่อนหน้าเพียงพอที่จะสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าได้เลยทีเดียว
ฟิ้ว!
แต่ขณะที่จิ่วโยวกำลังจะพุ่งลงไปดูอาการของมู่เฉิน ลำแสงสายหนึ่งก็ระเบิดออกจากร่องลึกก่อนจะสะดุดเมื่อหยุดอยู่บนท้องฟ้า
เมื่อร่างนั้นปรากฏ ทุกสายตาก็พุ่งตรงไปมองเห็นมู่เฉินอยู่ตระหง่านบนท้องฟ้า เสื้อผ้าของเขาถูกทำลายจนป่นปี้ มีรอยเลือดหยดตรงมุมปาก ทั้งร่างโชกไปด้วยเลือดและบาดแผลฉกรรจ์พาดผ่านหน้าอกดูน่าสยดสยองนัก
ซื้ด!
เมื่อทุกคนเห็นบาดแผลน่ากลัวของมู่เฉิน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึก ทว่าที่ทำให้ตะลึงกว่าก็คือมู่เฉินไม่ได้สนใจกับอาการบาดเจ็บบนร่างกายตัวเองเลย
“เจ้าเป็นอะไรไหม?” จิ่วโยวพุ่งไปที่ด้านข้างมู่เฉินอย่างรวดเร็ว สายตากวาดมองร่างเขาที่มีแต่บาดแผล คิ้วของนางก็กระตุกอย่างควบคุมไม่ได้
“มันยังอ่อนหัดที่จะพนันกับข้า”
มู่เฉินเช็ดคราบเลือดที่มุมปากพลางยิ้ม เขาฉีกเสื้อผ้าที่เหลืออยู่ที่ท่อนบน แสงสีทองฉายเบาบางอยู่ในบาดแผล เมื่อแสงส่องประกายระยิบระยับ บาดแผลก็สมานตัวด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า
เมื่อเห็นภาพนี้ จิ่วโยวก็ถอนหายใจโล่งออก นางลืมไปเลยว่าการฟื้นตัวของมู่เฉินน่าสะพรึงเพียงใด มิน่าเขาถึงกล้าเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ที่แท้ก็เพราะมีพลังฟื้นตัวน่าทึ่งแบบนี้นี่เอง
ลู่หวูคงไม่คิดว่าบาดแผลที่ฝากมู่เฉินไว้ ซึ่งอาจทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บหนักไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เขาคิดเลย
มู่เฉินก้มมองก็เห็นวิญญาณมังกรแท้จริงบนหน้าอกหม่นแสงลง ชัดว่าหมัดของลู่หวูไม่ธรรมดา หากไม่ใช่เพราะเกราะมังกรหงส์ วิญญาณมังกรแท้จริงและรัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่ที่ปกป้องไว้ กระบวนท่านี้จากลู่หวูคงฆ่าเขาไปแล้ว
จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่รับมือง่ายๆ เลย หากเขาไม่ใช้รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ต่อสู้ เขาก็ทำได้เพียงหนีเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับนั้น
บาดแผลบนร่างของมู่เฉินสมานตัวอย่างรวดเร็ว เขาสบตากับจิ่วโยว ก่อนที่ทั้งคู่จะกวาดสายตาไปยังผู้คนที่ยังอยู่ในบริเวณนี้
เมื่อคนเหล่านั้นเห็นสายตาของทั้งสอง พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ตอนแรกพวกเขายังอยากเฝ้ามองเสือสู้กันขณะที่วางแผนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายหมดแรง แต่ตอนนี้มู่เฉินกับจิ่วโยวเหมือนจะยังสามารถต่อสู้ได้ไหวอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยรบวิหคโลกันตร์เบื้องล่างที่ยังมีขวัญกำลังใจท่วมท้นจนน่าตกใจ
สถานการณ์ตอนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของหอวิหคโลกันตร์อย่างสมบูรณ์แล้ว
ทุกคนมองหน้ากันก็ลอบถอนใจ พวกเขาไม่ลังเลจากไปทันที
เมื่อมู่เฉินกับจิ่วโยวเห็นคนอื่นไปแล้ว ก็หายใจโล่งคอ แม้คนเหล่านี้จะด้อยกว่าสำนักพาฬมังกร ก็ยังเป็นปัญหาเล็กน้อยหากต้องสู้กัน การที่พวกเขาไปจากสถานที่แห่งนี้จึงเป็นเรื่องดีที่สุด
หลังจากผู้คนทยอยออกไปหมด ทั้งสองก็เบนสายตาร้อนแรงไปยังซากปรักหักพังที่อยู่ในจุดลึกของบึงน้ำ ตอนนี้ซากอารยธรรมโบราณนี้ก็เป็นของพวกเขาแล้ว