ตอนที่ 32 เจ้าถอนตัวได้ ที่เหลือปล่อยให้มืออาชีพอย่างข้าจัดการเอง! โดย Ink Stone_Fantasy
“ไง เจ้าเข้าตาจนอีกแล้วหรือ”
ขณะที่เหวินเป่ากรีดร้องขอความช่วยเหลืออย่างบ้าคลั่ง เสียงของหวังลู่ก็ดังเข้ามาในห้วงความคิดของเขา
“ศิษย์พี่!?”
“ไม่ต้องกลัว ข้าเอง… เจ้าโง่เอ๊ย เจ้าลืมเรื่องญาณทิพย์หยกแล้วหรือ”
“เอ่อ สิ่งนั้น…”
“ก็ของที่ข้าซื้อมาจากหอนภาเร้นลับตั้งหลายศิลาวิญญาณอย่างไรเล่า มันสามารถใช้สื่อสารกันอย่างเร่งด่วนในยามฉุกเฉิน ตอนนั้นข้าฝังให้เจ้ากับมือ นี่เจ้าลืมจริงๆ หรือ”
“สิ่งนี้จะว่าข้าลืมก็ไม่เชิง แต่ศิษย์พี่ ท่านบอกว่าญาณทิพย์หยกเป็นของมีราคา ต่อให้ท่านขายต่อให้ข้าแล้วก็เถอะ… ข้าก็ไม่กล้าใช้มันอยู่ดี”
“ระยำ! เจ้านี่โง่เง่าที่แท้!? ช่างเถอะ เรามีเวลาไม่มากนัก ข้าได้รับข่าวเร่งด่วนจากกั๋วฮงและหยางเซียว ตอนแรกข้านึกว่าเจ้าในร่างผู้รู้ตื่นจะสามารถรับมือได้ แต่ดูเหมือนตอนนี้สถานการณ์จะเปลี่ยนไปแล้ว บอกรายละเอียดของสถานการณ์ตรงหน้าเร็วๆ เข้า ข้าจะได้หาทางรับมือเรื่องนี้”
น้ำเสียงเร็วรัวของหวังลู่ทำให้เหวินเป่าซึ่งตื่นกลัวอยู่ รู้สึกสงบลงอย่างบอกไม่ถูก
ตราบใดที่ศิษย์พี่จัดการได้ ทุกอย่างต้องราบรื่นแน่!
การสนทนาในห้วงความคิดนี้กินเวลาเพียงชั่วแวบเดียว หลังจากที่เหวินเป่าอธิบายเรื่องราวต่างๆ อย่างละเอียดลออ หวังลู่ที่อยู่อีกฝั่งก็นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวขึ้น “ตอนนี้สถานการณ์เข้าตาจนจริงๆ คนที่ชื่อเชียนฮู่จากวิหารประทีปนั้นฉลาดไม่เบา หากข้าเพียงบอกวิธีรับมือผ่านญาณทิพย์หยกย่อมไม่เป็นผลแน่ เช่นนั้นแล้วข้าจะไปที่นั่นเอง”
เหวินเป่าผงะ “ศิษย์พี่ ท่านจะมาที่นี่หรือ!? ตอนนี้ท่านอยู่ไหนน่ะ”
“ย่อมเป็นหมู่บ้านตระกูลหวัง ข้าจะไปอยู่ที่ไหนได้เล่า”
“ชะ เช่นนั้นข้าเกรงว่าจะสายเกินไป…”
“เหลวไหล แน่ละว่าย่อมสายเกินไปหากข้าไปที่นั่นจริงๆ แต่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ตอนนี้เจ้าเพียงแค่ใส่พลังวิญญาณขั้นปฐมของเจ้าลงในญาณทิพย์หยก แล้วข้าจะพูดคุยผ่านสิ่งนี้เอง”
เหวินเป่านิ่งไปพักหนึ่งขณะที่ในหัวกำลังทบทวนถึงรายละเอียดของญาณทิพย์หยก สิ่งนี้เป็นวัตถุวิเศษระดับกลางที่มีมูลค่าหลายพันศิลาวิญญาณ นอกจากกรณีฉุกเฉินที่สามารถส่งกระแสจิตถึงกันผ่านทางพลังวิญญาณขั้นปฐมแล้ว ประโยชน์สูงสุดของมันคือเข้าควบคุมร่างนั้นๆ ผ่านทางพลังวิญญาณขั้นปฐม! ในเมื่อร่างของเหวินเป่าฝังญาณทิพย์หยกเอาไว้ หวังลู่จึงสามารถควบคุมเสียงและท่วงท่าของเหวินเป่าได้โดยตรงราวกับควบคุมหุ่นกระบอก ทว่ามันก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณขั้นปฐมของคนผู้นั้นด้วย หวังลู่ไม่อาจแสดงท่วงท่าที่ซับซ้อน อย่างมากเขาก็ทำได้เพียงพูดและโบกไม้โบกมือเท่านั้น
“ศิษย์พี่…ท่านแน่ใจหรือ”
หวังลู่เหยียดยิ้ม “การจะรับมือสวะพวกนี้ ข้าจำต้องพูดกับพวกเขาเท่านั้น เอาล่ะ เจ้าถอนตัวได้ ที่เหลือปล่อยให้มืออาชีพอย่างข้าจัดการต่อเอง”
สิ้นประโยค เหวินเป่าก็รู้สึกว่าพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาสั่นสะท้านและถูกดูดเข้าไปในญาณทิพย์หยก แม้เขายังหลงเหลือการเชื่อมต่อกับร่างกายอยู่ แต่ก็ทำได้แค่เพียงฟังและดูเท่านั้น ไม่อาจพูดหรือขยับได้ หวังลู่เข้าควบคุมร่างกายทั้งหมดของเขาแล้ว
“ศิษย์พี่ แล้วอย่างไรต่อ” น้ำเสียงของเหวินเป่าตึงเครียด ก่อนหน้านี้เหวินเป่าผู้รู้ตื่นสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด แต่ดูเถิด การปรากฏตัวของเชียนฮู่แห่งวิหารประทีปนั้นกลับต้อนเขาให้จนมุม… แน่ล่ะว่ามันเป็นไปตามที่ศิษย์พี่กล่าวไว้ ผู้รู้ตื่นทุกคนย่อมต้องเผชิญกับมารที่คิดทำลายล้างคนผู้นั้น แม้เขาจะไม่เข้าใจความหมายของคำกล่าวนี้นัก แต่มันอาจหมายความว่าโชคลาภหรือหายนะขึ้นอยู่กับดวงของคนผู้นั้นกระมัง
ทว่าระหว่างที่ล่าช้ากันอยู่นี้ สถานการณ์ในโถงหลักของวิหารประทีปก็เปลี่ยนไป เมื่อเชียนฮู่เปิดโปงตัวตนของหวังลู่ ทั้งเยวี่ยซินเหยาและจูฉินต่างตกตะลึง ขณะที่จูฉินยังนิ่งเงียบไม่ปริปาก เยวี่ยซินเหยากลับอดรนทนไม่ได้ “ศิษย์พี่เหวินเป่า ทำไม…ทำไมท่านถึงไปซ่องสุมอยู่กับคนของสำนักภูมิปัญญาได้”
ทางด้านเชียนฮู่แห่งวิหารประทีป เมื่อกระตุกม่านการแสดงเรียบร้อยแล้ว นางก็ยิ้มน้อยๆ ถอยฉากออกมาเงียบๆ แล้วเข้าไปอยู่ในโหมดผู้ชมการแสดง
“ศิษย์พี่เหวินเป่า แม้ข้าจะไม่ค่อยรู้เรื่องสำนักภูมิปัญญามากนัก แต่เห็นได้ชัดว่าสำนักนั้นไม่ใช่สำนักที่ดีงาม ท่านอาจ…ถูกคนพวกนั้นหลอกก็เป็นได้”
ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยเป็นคนจิตใจดี นางมิชอบคิดในแง่ร้ายต่อผู้อื่น หนำซ้ำยังไม่ชอบตะโกนหรือตะคอกใส่ผู้ใด ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าในใจของนางเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่าสำนักภูมิปัญญา ‘ไม่ใช่สำนักดีงาม’ มิเช่นนั้นนางคงไม่เสียสละเวลาอันมีค่าในการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์เร่งรุดมายังประเทศต้าหมิงเป็นแน่
ทันใดนั้นเหวินเป่าก็รู้สึกว่าสมองของตนนั้นแจ่มใสอย่างที่สุด ทำให้เขาคิดเรื่องต่างๆ ได้มากมาย…อาจเป็นเพราะหวังลู่กำลังใช้ญาณทิพย์หยกควบคุมเขาอยู่ก็เป็นได้ หวังลู่จึงสามารถใช้สมรรถนะด้านความคิดของนักผจญภัยมืออาชีพของหวังลู่ได้ แต่ยิ่งคิดเรื่องนี้เท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันช่างยากเย็นแสนเข็ญขึ้นเท่านั้น ในฐานะหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐาน เหวินเป่าย่อมรู้ถึงอคติที่โลกมีต่อสำนักภูมิปัญญา! แม้พวกเขาจะค่อยๆ ลดการใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา และมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ลงแล้ว แต่ในสายตาของผู้คน สำนักภูมิปัญญาก็ไม่ต่างอะไรกับลัทธิมาร! หนำซ้ำยังเป็นสำนักมารที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คือสำนักมารที่เป็นภัยร้ายกาจนั่นเอง!
เช่นนั้น…เขาจะสามารถอธิบายจุดประสงค์และอุดมการณ์ของสำนักให้ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยรับรู้ได้หรือไม่ เขาจะพูดออกมาได้อย่างไรว่าตนเป็นถึงผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนัก อีกทั้งสถานะของศิษย์พี่และพี่หญิงหลิงในสำนักจะถูกเปิดโปงหรือไม่
ขณะที่เหวินเป่ากำลังปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่นั้น หวังลู่หรือจริงๆ แล้วก็คือเหวินเป่าที่ถูกหวังลู่ควบคุมก็พูดออกมา
“ศิษย์น้องหญิงเยวี่ย ที่ข้าเข้าสำนักนี้ก็เพราะเจ้า”
ฟุ่บ!
เหวินเป่าเกือบจะเป็นลมไปในทันที! และพอได้ฟังคำกล่าวนั้น เยวี่ยซินเหยาเองก็ได้แต่งงงวย “หือ!?”
จากนั้นเหวินเป่าที่ถูกหวังลู่ควบคุมอยู่ก็ค่อยๆ คลี่ยิ้ม “ไหนๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าเองคงทำได้เพียงสารภาพ ถูกแล้ว ข้าเข้าร่วมกับสำนักภูมิปัญญาจริงๆ หนำซ้ำสถานะของข้าในสำนักนั้นก็ไม่ใช่ต่ำต้อย ข้าเป็นถึงหนึ่งในผู้อาวุโสของที่นั่น”
เยวี่ยซินเหยาตั้งศีรษะขึ้น พยายามอย่างหนักที่จะทำความเข้าใจ “…ทำไม”
หวังลู่ตอบน้ำเสียงหนักแน่น “เป็นเพราะเจ้า”
“ข้า?” ความรู้สึกสับสนและประหลาดใจฉายวาบในดวงตาของนาง “แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวกับข้าได้อย่างไร”
“เพราะว่าข้าชอบเจ้า”
ฟุ่บ!
เหวินเป่าก็ไม่อาจทนต่ออารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ นี้ได้จึงเป็นลมไปในที่สุด
หวังลู่กล่าวต่อพร้อมรอยยิ้ม “เพราะข้าชอบเจ้า ข้าจึงพยายามทำตัวให้คู่ควรกับเจ้า แม้บิดาข้าจะเป็นถึงราชครูในวังหลวง แต่อำนาจและอิทธิพลของเขานั้นไร้ค่าในสายตาของผู้บำเพ็ญเซียน ส่วนเจ้า ศิษย์น้องหญิงเยวี่ย เจ้ามาจากตระกูลผู้ดีมีสกุลในโลกเซียน เทียบกับเจ้าแล้ว ข้าก็แค่ยาจกไร้ค่า หากข้าไม่ขยันทำงาน แล้วจะคู่ควรกับเจ้าได้อย่างไร”
เมื่อถูกอีกฝ่ายจ้องมองมาด้วยสายตาจริงใจ ใบหน้าของเยวี่ยซินเหยาก็ขึ้นสี การจู่โจมครั้งนี้มากเกินกว่านางจะรับมือไหวจึงได้แต่นิ่งเงียบ
ในตอนนั้นเอง จูฉินที่นิ่งเงียบมาตลอดก็พูดออกมาอย่างช้าๆ “ศิษย์น้องเหวินเป่า คำอธิบายของเจ้านั้นยากจะเชื่อ หากเจ้าคิดจะทำงานหนัก ไฉนจึงไม่ทำงานหนักในสำนักของตนเอง เหตุใดจึงต้องไปรวมหัวกับสำนักมารเช่นนั้นด้วย”
หวังลู่หัวเราะเบาๆ “หากการฝึกหนักบนเขาเพียงอย่างเดียวตอบโจทย์ทุกอย่าง เหตุใดผู้อาวุโสจึงจัดให้มีการท่องเที่ยวสั่งสมประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปีด้วยเล่า ในเมื่อนี่คือการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ หากทุกคนเป็นเหมือนเจ้ารัชทายาทจู ที่มีข้าราชบริพารล้อมหน้าล้อมหลังตลอดทั้งปี เช่นนั้นบำเพ็ญเซียนอยู่บนเขาก็คงจะไม่ต่างกัน คงเหมือนทำตัวเป็นคนผ่านทาง นั่งมองผู้คนและสิ่งต่างๆ เท่านั้น ข้ายังจำตอนที่ผู้อาวุโสห้าพูดจาเย้ยปรมาจารย์จื้อเฟิงได้ พวกเราต่างก็นั่งฟังกันอยู่ข้างๆ หรือเจ้าลืมสิ่งที่ผู้อาวุโสห้าสอนไปหมดสิ้นแล้ว”
เมื่อต้องประคารมกับหวังลู่ จูฉินก็ได้แต่นิ่งเงียบไปพักใหญ่ แต่จากนั้นเขาก็เหยียดยิ้ม “แม้เจ้าต้องการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในอาณาเขตเก้าแคว้นจริง ก็ไม่ควรเอาตัวเองลงไปอยู่ในบ่อโคลน!”
หวังลู่หัวเราะเบาๆ “สงสัยศิษย์น้องจูฉินจะไม่เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ‘เติบโตจากโคลนตมอย่างไม่เปรอะเปื้อน’ ดูท่าสติปัญญาเจ้าคงจะไม่สูงพอ”
“เจ้าสารเล…” จูฉินเกือบควบคุมตัวเองไม่ได้! บังอาจพูดกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!?
หลังจากที่เยวี่ยซินเหยาและจูฉินค่อยๆ นิ่งเงียบไปทีละคน จึงไม่แปลกอะไรที่เสียงเย็นๆ ของหญิงสาวจะดังเข้ามาในหูเขา “โอ้? ตามที่เจ้าพูด หมายความว่าเจ้าเข้าสำนักภูมิปัญญาเพื่อบำเพ็ญเซียนงั้นหรือ”
หวังลู่ยิ้มย่องในใจพลางคิดว่า ‘ข้ารอให้เจ้าพูดคำนี้อยู่เชียว! ฮ่า! แม้เจ้าจะไล่ต้อนเหวินเป่าผู้รู้ตื่นจนเข้ามุมได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าน่ะชาญฉลาดไม่น้อย แต่น่าเสียดาย…
น่าเสียดายที่เจ้าต้องมาเจอกับมืออาชีพอย่างข้า!’
“ไม่ใช่เพราะเพื่อบำเพ็ญเซียน เพราะความชอบที่ข้ามีให้คนอื่น” หวังลู่กล่าวปฏิเสธข้อสันนิษฐานของเชียนฮู่
เชียนฮู่ยิ้มเยาะ “เพราะเรื่องรักใคร่ของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึง…”
ทว่าก่อนที่นางจะทันได้พูดจนจบประโยค หวังลู่ก็พูดขัดขึ้นมาในทันที “ไม่ใช่เพราะศิษย์น้องหญิงเยวี่ยเท่านั้นแต่เพราะเจ้าด้วย”
คำพูดของเชียนฮู่ติดขัดอยู่ในลำคอทันที “…ข้า?”
หวังลู่กล่าวด้วยท่วงท่าสบายอกสบายใจ “ใช่ เพราะข้าชอบเจ้า”
ฟุ่บ!
เหวินเป่าที่เพิ่งฟื้นจากการเป็นลมเป็นเรื่องที่โชคร้ายโดยแท้
ขณะเดียวกัน ห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบในทันที
“เจ้า เจ้า…” น้ำเสียงของเชียนฮู่ฟังดูกระด้าง แผนการของนางถูกคำพูดของหวังลู่สกัด ทำให้นางเสียหลักโดยสิ้นเชิง
หากอีกฝ่ายเป็นคนธรรมดา นางคงยิ้มหยันและกล่าวว่า ‘เหลวไหลไร้สาระ!’ จากนั้นก็สังหารคนผู้นั้นเสีย ทว่าเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นศิษย์ร่วมสำนักของรัชทายาท ทั้งยังไม่ใช่ปุถุชนธรรมดา ทำให้นางเองรู้สึกกริ่งเกรงไม่น้อย
หวังลู่ลงดาบซ้ำตอนที่ยังได้เปรียบ เขาหัวเราะ “ข้าชอบเจ้า ข้าจึงเข้าสำนักภูมิปัญญา ขณะที่พยายามอย่างขันแข็งเพื่อจะเป็นชายที่คู่ควรกับศิษย์น้องหญิงเยวี่ย ข้าก็อยากทำทุกสิ่งอย่างเต็มความสามารถเพื่อเจ้าเช่นกัน”
“จะ เจ้าเข้าสำนักภูมิปัญญาเพราะข้าด้วยเนี่ยนะ!?”
“ถูกต้อง” หวังลู่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวต่อ “หลี่น่าน่า บ้านเดิมอยู่ที่ประเทศเยวี่ยจิน แคว้นทักษิณสวรรค์ บิดามารดาเจ้าอพยพมาที่นี่ อีกทั้งบิดาเจ้าก็ได้รับความไว้วางใจจากราชสำนักต้าหมิงให้เป็นหัวหน้าวิหารประทีป พอบิดาเจ้าสิ้นอายุขัย เจ้าก็สืบทอดตำแหน่งของบิดา ทว่าด้วยอายุที่ยังน้อย ทั้งยังขาดแคลนช่องทางในการจัดการสิ่งต่างๆ เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในวิหารประทีปจึงไม่พอใจ และการสนับสนุนของราชสำนักก็ไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนก่อน ดังนั้นอำนาจและอิทธิพลของวิหารประทีปจึงร่วงโรยลง ไม่อาจรุ่งโรจน์เท่าแต่ก่อน…ข้าพูดถูกไหม”
หลี่น่าน่าประหลาดใจไม่น้อย แต่นางก็ตระหนักได้ว่าข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่ความลับอะไร จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อีกฝ่ายจะสืบหาได้
ความจริงในเวลาเดียวกันนี้ ห่างออกไปหลายพันลี้ที่หมู่บ้านตระกูลหวัง หวังลู่เองก็เพิ่งได้ข้อมูลนี้มาจากเย่ชูเฉิน เขาอ่านออกเสียงออกมาดังๆ!
“คุณสมบัติของเจ้าถือว่ายอดเยี่ยม อีกทั้งบิดามารดาเจ้าก็สั่งสอนเจ้ามาอย่างดี เจ้าอายุเพียงเท่านี้ แต่ขั้นตบะของเจ้าก็สูงถึงขั้นสร้างฐานแล้ว เร็วกว่าศิษย์หลายคนในพันธมิตรหมื่นเซียนด้วยซ้ำ หนำซ้ำเจ้ายังได้เรียนรู้วิถีของโลกปุถุชนตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งเจ้ายังฉลาดกว่าผู้บำเพ็ญเซียนทั่วไป แต่ถึงอย่างนั้นมือและเท้าของเจ้ากลับถูกผูกติดอยู่กับวิหารประทีป จนแม้สำนักภูมิปัญญาของข้าพัฒนาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ แต่เจ้าก็แทบไม่มีอำนาจที่จะยับยั้ง หนำซ้ำยังเกือบไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ แน่ล่ะว่าไม่ใช่ว่าเจ้าไร้ความสามารถ แต่เป็นเพราะสำนักแห่งนี้เสื่อมโทรมเกินเยียวยา… ดังนั้นข้าจึงอยากจะช่วยเจ้า”
“เจ้า…?”
“สิ่งที่วิหารประทีปขาดแคลนที่สุดในตอนนี้ก็คือกำลังคน หากเจ้ามีกำลังคน เจ้าย่อมสามารถก่อตั้งสาขาได้ทั่วประเทศ เจ้ายังต้องการแรงงานระดับรากหญ้าจำนวนไม่น้อย ก็เหมือนระบบข้าราชการนั่นล่ะ ทว่าด้วยหลายเหตุผล หลายปีมานี้วิหารประทีปเป็นเพียงแค่หุ่นเชิด เหมือนพลับพลากลางอากาศที่ขาดเสาเชื่อมลงมายังพื้น ทว่าเป็นเพราะสำนักภูมิปัญญาของเราสร้างอยู่บนพื้นดิน มีแรงงานคนสนับสนุนและทรงอิทธิพลไปทั่วประเทศ ข้อมูลเกี่ยวกับเราที่เจ้าพบก็เป็นเพียงเม็ดทรายที่ไหลรอดออกมาตามนิ้วมือ…แน่ล่ะว่าหากเราต้องการพลิกฟ้า เราคงไม่มีความสามารถและความต้องการถึงเพียงนั้น ทว่าความจริงแล้วข้าคิดว่าสำนักภูมิปัญญาและวิหารประทีปควรเชื่อมความสัมพันธ์กันเอาไว้ ต่างฝ่ายต่างได้สิ่งที่ต้องการโดยใช้จุดแข็งของอีกฝ่ายกลบจุดอ่อนของตัวเอง เจ้าต้องการกำลังคนจากสำนักภูมิปัญญาเพื่อสืบต่ออำนาจ ส่วนเราก็ต้องการอำนาจระดับสูงของวิหารประทีป อย่างน้อยเราก็ต้องการสถานะ หากเพราะผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว การร่วมมือของสองสำนักคงไม่มั่นคงพอ แต่หากเราใส่ปัจจัยด้านความรู้สึกเข้าไปด้วย มันจะไม่ยิ่งดีเข้าไปใหญ่หรอกหรือ”
“เอ่อ…” คิ้วได้รูปของหลี่น่าน่าขมวดมุ่น นางเอามือไขว้อกจมอยู่ในความคิด เห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านี้ทำให้นางหวั่นไหวไม่น้อย
“เหลวไหล!”
จูฉินพูดค้านขึ้นมาทันที “นี่เจ้าล้อกันเล่นหรืออย่างไร คิดว่าวิหารประทีปแห่งประเทศต้าหมิงจะร่วมมือกับสำนักมารของเจ้าจริงๆ หรือ!?”
“สำนักมาร?” หวังลู่เหยียดยิ้มอีกรอบ “นอกจากข้า เจ้าเคยเห็นสมาชิกคนอื่นๆ ของสำนักภูมิปัญญาหรือไม่ ข้อมูลของสำนักแห่งนี้ที่เจ้ารู้ถูกกลั่นกรองและบิดเบือนจากความคิดเห็นของผู้อื่นอีกทอดหนึ่ง แต่เจ้ากลับกล้ายืนกรานว่าไม่คุ้มที่จะร่วมมือกับสำนักของเรา ทั้งๆ ที่เราเองก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันเนี่ยนะ!? ศิษย์น้องจูฉิน นี่หรือคือสิ่งที่เจ้าเรียนรู้จากการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์มาตลอดแปดเดือน น่าขำ ช่างน่าขำยิ่งนัก!”
“เจ้า…”
“เมื่อหนึ่งพันปีก่อน ท่านบรรพบุรุษเต๋อเซิ่งกล่าวเอาไว้ว่า หากยังไม่ได้ตรวจสอบ ก็ไม่ควรบุ่มบ่ามตัดสิน ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าจนถึงตอนนี้ เจ้าก็ยังไม่เรียนรู้อะไรเลยสักนิด… หากเจ้าอยากรู้ว่าสำนักภูมิปัญญาเป็นสำนักมารจริงหรือไม่ เรื่องนั้นง่ายมาก แค่มาใช้ชีวิตอยู่ในสำนักภูมิปัญญากับข้า ตรวจสอบลงลึก คิดทบทวนจากนั้นค่อยหาข้อสรุป”
“…”
“เจ้าคิดว่าอย่างไร ศิษย์น้องหญิงเยวี่ย คำเชิญนี้สำหรับเจ้าเช่นกัน คิดเสียว่ามันเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่งเถอะ”
จูฉินนิ่งเงียบไปพักใหญ่จากนั้นก็คำรามลั่น “ไร้สาระ! นี่มันไร้สาระยิ่งนัก! เจ้า…”
ก่อนที่จะได้พูดจบประโยค เขาก็ได้ยินเสียงเย็นๆ จากหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ “ตกลง ข้าเองก็สนใจสิ่งที่เจ้าเรียกว่าการร่วมมือกันนี่เช่นกัน”
จูฉินรู้สึกราวกับว่าลูกตาจะหลุดออกมาจากเบ้า!
“ท่านเชียนฮู่ ทะ ท่านควรคิดให้ดีก่อน!”
ทว่าหลี่น่าน่ากลับไม่ใส่ใจเขาแม้แต่น้อย
จูฉินจึงหันศีรษะไปขอความช่วยเหลือจากอีกบุคคลหนึ่ง “ศิษย์น้องหญิง เจ้า…”
แต่ดูเถิด เยวี่ยซินเหยากลับยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนพูดว่า “ข้าว่าศิษย์พี่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว หากไม่ตรวจสอบให้ดี ก็ไม่ควรบุ่มบ่ามตัดสิน”
“อะไรเนี่ย! นี่เจ้าพูดเล่นใช่ไหม!? เขาต้องฆ่าเจ้าแน่!”
เยวี่ยซินเหยาส่ายศีรษะอย่างจริงจัง ดวงตาที่อ่อนโยนกระจ่างใสมองผ่านจูฉินไป “ไม่ ข้าไม่คิดเช่นนั้น เขาบอกว่าเขาชอบข้านี่นา”
………………………………………………