ภาคที่ 3 ขยายแผนการอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ 33 จะทำอย่างไรหากมีคนล่วงรู้อุบายนี้

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 33 จะทำอย่างไรหากมีคนล่วงรู้อุบายนี้ โดย Ink Stone_Fantasy

เมื่อเหวินเป่าฟื้นคืนสติ เขาก็ตระหนักได้ว่ากลียุคได้มาเยือนแล้ว

สารภาพรักกับเยวี่ยซินเหยาและหลี่น่าน่าพร้อมๆ กัน… ศิษย์พี่ ท่านคงไม่คิดหยุดจนกว่าข้าจะตายใช่ไหม! ตอนแรกพอได้พูดคุยฉุกเฉินแล้ว เขาก็คิดว่าได้จะหลุดพ้นสบายๆ อยู่บนสวรรค์ ที่ไหนได้ศิษย์พี่กลับถีบเขาลงนรกต่างหาก!

โธ่เอ๊ย นี่เขาจะถูกศิษย์น้องหญิงเยวี่ยต้มหรือหลี่น่าน่าย่างกันแน่นะ ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยเป็นคนอ่อนโยนจิตใจดี อย่างมากนางก็ตัดความสัมพันธ์กับเขา ทว่าแม่นางเชียนฮู่แห่งวิหารประทีปดูเป็นหญิงสาวโหดเหี้ยมกินคน หนำซ้ำขั้นตบะของนางก็ไม่ถือว่าต่ำ จึงเป็นไปได้สูงว่านางต้องลงโทษเขาอย่างรุนแรง จะอยู่ก็ไม่ได้จะตายก็ไม่ได้เป็นแน่…

“เจ้างั่ง ตื่นเร็วเข้า!”

เสียงของหวังลู่ปลุกเหวินเป่าให้ฟื้นขึ้นมา “ข้าควบคุมวิกฤติครั้งนี้ได้ชั่วคราวแล้ว แต่ยังห่างไกลจากคำว่าจบสิ้นมากนัก ตอนนี้เวลาในการใช้งานญาณทิพย์หยกใกล้หมดลงแล้ว เจ้าต้องควบคุมสถานการณ์เอาไว้ให้ดีส่วนข้าจะรีบรุดไปที่นั่น คาดว่าคงจะถึงในวันรุ่งขึ้น!”

“วันรุ่งขึ้น ศิษย์พี่แบบนั้นมันนานเกินไป! ข้าตั้งสติยืนอยู่ต่อหน้าแม่นางเชียนฮู่ได้เต็มที่เพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้นล่ะ!”

“งั้นหรือ งั้นข้าจะไปให้ช้ากว่านั้นหน่อยแล้วกัน ไม่แน่ว่าอาจจะเอาพวงหรีดติดมือไปด้วย”

เหวินเป่าพูดไม่ออก “…แต่ศิษย์พี่ ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ ท่านจำเป็นต้องปรากฏตัวจริงหรือ”

“อย่าพูดจางี่เง่าหน่อยเลย หากตัวตนของข้าถูกเปิดโปง เช่นนั้นความพยายามทั้งหมดของเราก็เท่ากับสูญเปล่าแล้ว… ดังนั้นจงจำไว้ แม้คนอื่นๆ จะเริ่มสงสัย แต่เจ้าห้ามปริปากเรื่องความสัมพันธ์ของเราเด็ดขาด บอกพวกเขาว่าข้าไม่ได้มาที่ประเทศต้าหมิง แต่ไปพักผ่อนที่ประเทศชางหลาน เข้าใจหรือไม่!?”

“หา? ประเทศชางหลาน!?”

“ถูกต้อง เจ้า บุตรชายของราชครูได้จัดหาสาวบริสุทธิ์เจ็ดสิบสองคนให้ข้าได้หย่อนใจอย่างลับๆ… ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักภูมิปัญญา! ต่อให้มีคนชักกระบี่บินออกมาชี้ที่ช้างน้อยของเจ้า เจ้าก็ห้ามปริปาก!”

“หา?”

ก่อนที่เหวินเป่าจะได้ไถ่ถามรายละเอียดเพิ่มเติม เสียงของหวังลู่ก็เงียบไป ญาณทิพย์หยกเปลี่ยนสภาพและไม่อาจใช้ประโยชน์ได้อีก

เมื่อเขาฟื้นคืนสติโดยสมบูรณ์ เหวินเป่าก็พบว่าตัวเองยังคงนั่งอยู่ในโถงหลักของวิหารประทีป หลี่น่าน่า เยวี่ยซินเหยา รวมถึงจูฉินต่างอยู่ในภวังค์ของตนเอง

ผ่านไปพักใหญ่ หลี่น่าน่าก็ทำลายความเงียบขึ้น “วันพรุ่งนี้ เวลานี้ ที่นี่ ข้าว่าเรามาลงลึกเรื่องความร่วมมือกันอีกสักหน่อยเถอะ ช่วยเตรียมตัวมาให้พร้อม นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ”

พูดจบ ท่านเชียนฮู่ก็หมุนตัวเดินกลับไปยังด้านหลังห้องโถง เหวินเป่าโล่งใจเป็นที่สุดที่นางไม่ได้เอ่ยถึงการสารภาพรักของเขา

ดังนั้นสามคนที่เหลืออยู่ในห้องโถงแห่งนี้จึงล้วนเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณ หลังจากเงียบกันไปอีกพักใหญ่ จูฉินก็ถอนหายใจและทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเยวี่ยซินเหยากลับเร็วกว่าก้าวหนึ่ง “ศิษย์พี่จูฉิน… ข้าขอพูดกับศิษย์พี่เหวินเป่าตามลำพังได้หรือไม่”

จูฉินรู้สึกราวกับถูกหินหนักๆ ทุบเข้าที่หน้าอก ทำให้หายใจแทบไม่ออก

พูดถึงเยวี่ยซินเหยา ศิษย์น้องหญิงที่อ่อนหวานจิตใจดีเช่นนาง หากจะพูดว่าเขาไม่หวั่นไหวเพราะนางก็คงจะถือว่าโกหก… บนเขากระบี่วิญญาณนั้น มีศิษย์ที่เป็นผู้หญิงมากมาย หนำซ้ำคุณสมบัติของพวกนางก็ยังสูงล้ำ ทว่ามีเพียงไม่กี่คนที่ดึงดูดสายตาเขา แน่ล่ะหากจะพูดว่าความรู้สึกที่เขามีต่อนางนั้นมากล้นก็คงจะเกินเหตุไปหน่อย มันก็แค่ว่า ยากที่จะยอมรับว่าความสัมพันธ์อันดีที่พวกเขามีต่อกันถูกเจ้าอ้วนนี่เขามาขัดขวางอย่างปุบปับ ราวกับว่าเขากลืนจานที่เต็มไปด้วยแมลงวันลงท้องไป

ขณะกำลังลังเล เยวี่ยซินเหยาก็เร่งอีกครั้ง “ศิษย์พี่จูฉิน ข้าขออภัยจริงๆ…”

จูฉินฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าจะไปนั่งที่ด้านหลัง เจ้าสองคนก็คุยกันตรงนี้แหละ”

หลังจากออกจากห้องโถงไป ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณระดับเจ็ดผู้มีหน้าตาหมดจด อีกทั้งร่างกายยังแข็งแกร่งผิดธรรมดา ก็ตกบันไดลงไปหลายขั้นจนหน้าเกือบคะมำ!

——

“เอ่อ ตอนนี้ก็เหลือเพียงเราสองคนแล้วล่ะศิษย์พี่”

เมื่อถูกเยวี่ยซินเหยาจ้องมองมาพร้อมรอยยิ้มละไม เหวินเป่าก็รู้สึกราวกับว่าพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขากำลังกระเจิดกระเจิงไปเสียอย่างนั้น แม้ก่อนหน้านี้ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยจะดีกับเขา แต่นางก็ไม่เคยแสดงความอ่อนโยนกับเขาขนาดนี้มาก่อน

เขาคิดในใจ ‘ศิษย์พี่ ท่านเป็นหัวหน้าที่ดีจริงๆ ศิษย์พี่ผู้แสนประเสริฐของข้า! ดูดวงตาที่อ่อนโยนราวน้ำบริสุทธิ์นี่สิ ต่อให้ข้าต้องตายไปเสียเดี๋ยวนี้ ข้าก็เต็มใจแล้ว!”

ทว่าอึดใจถัดมา คำพูดของเยวี่ยซินเหยาก็ดึงเหวินเป่าลงมาจากสวรรค์ “เป็นศิษย์พี่หวังลู่ใช่หรือไม่”

“หือ?”

“คนที่พูดกับพวกเราก่อนหน้านี้เป็นศิษย์พี่หวังลู่ใช่หรือไม่”

“ฮ่าๆๆ ศิษย์น้องหญิง เจ้านี่ช่าง…” ปฏิกริยาแรกของเหวินเป่าคือตอบปฏิเสธ อย่างไรเสียคำเตือนของหวังลู่ก็ยังก้องอยู่ในหูของเขา จำเอาไว้ หากมีใครคิดสงสัย อย่าได้ยอมรับเชียวว่าเจ้ากับข้ามีความสัมพันธ์กันในเรื่องนี้!

แต่เหวินเป่าต้องยอมรับว่า ภายใต้สายตาของศิษย์น้องเยวี่ยที่มองมา มันยากเหลือเกินที่จะโกหก! สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือนิ่งเงียบ

เมื่อเห็นว่าเหวินเป่าเอาแต่นิ่งเงียบ เยวี่ยซินเหยาก็รู้ได้ทันทีว่านางเดาได้ถูกต้องแล้วจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ศิษย์พี่เหวิน ก่อนหน้านี้คำพูดคำจาของท่านไม่เหมือนท่านแม้แต่น้อย”

เหวินเป่ารู้สึกหมดกำลังใจ เขาได้แต่คิดว่า ‘ใช่ซี่ ข้าเป็นเพียงแค่เหวินเป่า ต่อให้เป็นเหวินเป่าผู้รู้ตื่นก็เถอะ จะไปเทียบกับนิ้วเพียงนิ้วเดียวของศิษย์พี่หวังลู่ได้อย่างไร เขาแค่ควบคุมร่างข้า พูดผ่านปากข้าเพื่อให้ข้ารอดพ้นสถานการณ์อันตรายต่างหาก!’

เมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเหวินเป่า เยวี่ยซินเหยาก็รีบอธิบาย “ศิษย์พี่เหวินเป่า ข้าแค่อยากบอกว่าท่านไม่ใช่คนประเภทที่พูดจาดุดันเช่นนั้น เมื่อเทียบกับศิษย์พี่หวังลู่แล้ว ท่านสุภาพและไม่ซับซ้อนเท่า… นี่ไม่ใช่ข้อบกพร่อง แต่เป็นนิสัยของแต่ละคน ก็เหมือนกับที่คนในอาณาจักรเก้าแคว้นมีผมและตาสีดำ ส่วนในโลกตะวันตกกลับมีคนผมทองมากมาย ไม่ใช่ว่าใครจะเหนือกว่าใคร…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหวินเป่าก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยช่วยปลอบประโลมให้จิตใจเขาสงบลงได้จริงๆ!

“ในเมื่อคำพูดเหล่านั้นเป็นของศิษย์พี่หวังลู่… เช่นนั้นสำนักภูมิปัญญาย่อมเป็นความคิดของเขาแน่ หากเป็นเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ศิษย์พี่หวังลู่ชำนาญในการทำเรื่องประเภทนี้อยู่แล้ว ตอนงานชุมนุมคัดเลือกเซียน แม้ข้าจะเป็นเพียงศิษย์สำนักนอก แต่ต่อมาท่านอาจารย์ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านดอกท้อและจุดตรวจต่างๆ ให้พวกเราฟัง ว่ากันว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่พิชิตภารกิจที่ซ่อนอยู่ของหมู่บ้านดอกท้อได้สำเร็จ ช่างเป็นคนที่น่าอัศจรรย์เสียจริง”

เหวินเป่าหุบยิ้มพลางพยักหน้า

“แน่นอนว่าท่านเองก็น่าอัศจรรย์เช่นกันศิษย์พี่เหวินเป่า ท่านสามารถติดตามศิษย์พี่หวังลู่ไปตลอดการเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้… หากเป็นข้า ข้าคงถอนตัวออกจากกลุ่มนานแล้ว” เยวี่ยซินเหยาส่ายศีรษะอย่างหวาดกลัว “อย่างไรเสียในเมื่อสำนักภูมิปัญญาเป็นความคิดของศิษย์พี่หวังลู่ ข้าเองก็วางใจได้ ข่าวลือพวกนั้น…น่าจะผิดพลาด โปรดช่วยส่งต่อคำพูดของข้า บอกเขาทีว่าข้าเชื่อเขา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรอีก มันรังแต่จะสร้างปัญหาให้พวกท่านก็เท่านั้น อย่างไรเสีย อีกไม่นานก็จะเข้าเดือนที่เก้าของการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์แล้ว ดังนั้นข้าว่าไม่กี่วันนี้ข้าก็จะกลับขึ้นเขาแล้ว แย่สุดก็ไปอยู่ที่หมู่บ้านธาราวิญญาณ ฝึกบำเพ็ญเซียนและรวบรวมสิ่งที่ข้าได้รับจากการสำรวจสุสานโบราณที่นั่น”

“…หา?” เหวินไปนิ่งไปอึดใจหนึ่งจากนั้นก็รีบตอบกลับทันใด “ศิษย์น้องหญิงเยวี่ย เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้!”

ดวงตาของเยวี่ยซินเหยาเบิ่งกว้างขึ้นเล็กน้อย “ข้าทำไม่ได้?”

เหวินเป่าตื่นตระหนกอยู่ในใจ เขารู้ตัวว่าใช้คำพูดผิดไปเสียแล้ว ทว่าหากเขาปล่อยให้ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยกลับขึ้นเขาไป และหากสถานการณ์เกี่ยวกับสำนักภูมิปัญญาไปเข้าหูผู้อาวุโส โดยเฉพาะผู้อาวุโสฝ่ายวินัยเข้า ผู้อาวุโสฟางเฮ่อย่อมไม่พูดจาดีเช่นศิษย์น้องหญิงเยวี่ยเป็นแน่! สิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าก็คือ ไม่ว่าหวังลู่จะรับมือกับความโกรธเกรี้ยวของผู้อาวุโสฝ่ายวินัยอย่างไร เขา เหวินเป่าในฐานะผู้ร้ายปล่อยข่าว ย่อมถูกฆ่าอย่างแน่นอน

แล้วนี่เขาจะทำอย่างไรดี เขาจะทำอย่างไรดี… !?

อย่าสติแตก…ใช่แล้วอย่าสติแตก ข้าคือเหวินเป่าผู้รู้ตื่น ข้านี่แหละคือเหวินเป่าผู้รู้ตื่น!

“ศิษย์น้องหญิง ข้าว่า… แทนที่จะรีบกลับสำนัก เจ้าไปเยี่ยมชมสำนักภูมิปัญญาก็ไม่เลวนะ สำนักนี้น่าสนใจอย่างมาก แถมหลายเดือนมานี้ข้ายังได้ประโยชน์จากการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์จากที่นี่ไม่น้อยทีเดียว”

เยวี่ยซินเหยามีท่าทีลังเล “แต่…ศิษย์พี่หวังลู่จะไม่ชอบใจที่ข้าไปเกะกะขวางทางที่นั่นหรือเปล่า”

เหวินเป่ารีบตอบ “เจ้าดูสิ แม้แต่คนเงอะงะซุ่มซ่ามอย่างข้า…”

ก่อนที่จะพูดต่อจนจบ เขาก็รีบเอามือปิดปากอย่างร้อนรน ภายในใจก็ก่นด่าตัวเอง อยากเอาปากออกไปไกลๆ เสียเหลือเกิน เขาคิดในใจ ‘เจ้าโง่! เจ้าหลุดปากออกไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร! นี่มิใช่เป็นการยอมรับว่าศิษย์พี่หวังลู่อยู่ที่นั่นจริงๆ หรอกหรือ!

ศิษย์พี่หวังลู่กำชับเป็นพิเศษว่าต่อให้ใครเริ่มที่จะสงสัย ข้าก็ห้ามยอมรับเด็ดขาด!’

แน่ล่ะว่า ดวงตาของศิษย์น้องเยวี่ยฉายแววพึงพอใจ “หากศิษย์พี่หวังลู่ไม่มองข้ามข้าเช่นนั้นก็ดี จากนี้ไปข้าขอฝากตัวด้วยนะศิษย์พี่เหวินเป่า!”

เหวินเป่าอยากร่ำไห้แต่กลับไม่มีน้ำตา เขาได้แต่คิดว่า ‘ศิษย์น้องหญิงเยวี่ย ทำไมเจ้าต้องอ่อนโยนและใจดีขนาดนี้ด้วยเล่า เจ้าจะใจร้ายสักนิดไม่ได้เชียวหรือ คนโง่เช่นข้าไม่รู้จะรับมือกับเจ้าอย่างไรแล้ว!’

——

“แล้วเราจะทำอย่างไรกับศิษย์พี่จูฉินดี”

ขณะที่เหวินเป่าและเยวี่ยซินเหยากำลังจะออกจากวิหารประทีป นางก็ถามขึ้นอย่างกังวล

“ศิษย์พี่จูฉิน?”

เยวี่ยซินเหยาพยักหน้าพลางพูดว่า “ข้าว่าศิษย์พี่หวังลู่ย่อมไม่ต้องการให้เรื่องของสำนักภูมิปัญญารู้ถึงหูคนในสำนักเราเป็นแน่”

“เอ่อ…”

“อืม ศิษย์พี่หวังลู่กับอาจารย์ของเขานั้นเหมือนกันมาก มักพูดและทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดเสมอ แต่ก็ใช่ว่าผู้อาวุโสทุกคนจะเคยชินกับสิ่งนี้ ดังนั้น…ข้าจึงคิดว่าเขาคงไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของสำนักภูมิปัญญา ทว่าศิษย์พี่จูฉินอาจจะเดาได้อย่างรวดเร็วว่าศิษย์พี่หวังลู่เกี่ยวข้องกับสำนักภูมิปัญญาด้วย และศิษย์พี่จูฉินนั้น…เป็นพวกที่เคร่งครัดกฎมากกว่า ดังนั้นเขาอาจส่งจดหมายไปรายงานเรื่องนี้ให้สำนักได้รู้ เช่นนี้ข้าจึงอยากรู้ว่าเราจะทำอย่างไรกันดี”

เหวินเป่านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกเหมือนหัวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ พลางคิดในใจ ‘ข้าเป็นเพียงหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐาน ที่เชี่ยวชาญแค่การขนอิฐ ขนอิฐและขนอิฐ แต่ตอนนี้ข้าต้องทำตัวเป็นหลานปู่ชั่วคราว สถานการณ์ที่ต้องใช้สมองเช่นนี้ไม่เหมาะกับข้าเลยแม้แต่น้อย!’

เยวี่ยซินเหยากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เช่นนั้นเราติดต่อศิษย์พี่หวังลู่ดีไหม”

เหวินเป่ายกมือขึ้นปิดใบหน้าอย่างสิ้นหวัง “ข้า ข้าทำพลาดไปแล้ว…”

——

วันถัดมา หวังลู่ก็ปรากฏตัวตรงตามเวลา

ในโรงเตี๊ยมที่เหวินเป่าอาศัยอยู่ หวังลู่ต้อนรับศิษย์น้องหญิงเยวี่ยซินเหยาอย่างเป็นกันเอง

“ศิษย์น้องหญิง ขอต้อนรับสู่สำนักภูมิปัญญา”

ความตรงไปตรงมาของหวังลู่ทำให้เยวี่ยซินเหยาประหลาดใจและสับสนไม่น้อย นางไม่คาดคิดว่าหวังลู่จะทำตัวเปิดเผยเช่นนี้ ตัวตนของเขาควรเก็บเป็นความลับระดับสูงมิใช่หรือ

“ศิษย์พี่ ข้า…”

“เจ้าเชื่อข้าเถอะ ไม่ว่าเจ้าเคยได้ยินได้ฟังสิ่งใดมา ทันทีที่เจ้าได้ไปเยี่ยมชมสำนักของข้า เจ้าย่อมต้องไม่ผิดหวังแม้แต่น้อยแน่”

พูดจบ หวังลู่ก็เปลี่ยนหัวข้อในทันที “เหวินเป่า?”

ในใจของเหวินเป่ารู้สึกหวาดหวั่นไม่น้อย “ศิษย์พี่?”

“ข้าจำได้ว่าอีกไม่นานก็จะถึงเวลานัดหมายของเจ้ากับแม่นางเชียนฮู่แล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ อย่างไรเสียนางก็เป็นถึงหัวหน้าวิหารประทีป นางจำต้องมารอคนที่เป็นเพียงหัวหน้าหน่วยเช่นเจ้าหรือ”

“แต่…”

“วางใจเถอะ การเจรจาระดับนี้ย่อมไม่จบง่ายๆ ภายในวันสองวันแน่ วันนี้อย่างมากพวกเจ้าก็แค่แลกเปลี่ยนปูมหลังของสำนักภูมิปัญญาและวิหารประทีป เจ้าก็แค่บอกสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับสำนักภูมิปัญญาเท่าที่รู้ให้นางฟังก็พอ อย่าลืมว่าให้พูดในด้านดีเข้าไว้ หากเจ้าอยากจะพูดโอ้อวดสักนิดข้าก็ไม่เห็นว่าเป็นปัญหา ส่วนเรื่องแผนการและความเป็นไปได้ต่างๆ เราค่อยมาเจรจากันทีหลัง”

เหวินเป่าถามกลับ “หากนางถามคำถามที่ข้าไม่เข้าใจ หรือถามถึงความลับของสำนักอย่างอ้อมๆ เล่า”

“ข้าต้องสอนด้วยหรือว่าเจ้าควรตอบสนองอย่างไร แค่ยิ้มเป็นนัยๆ โดยไม่ต้องปริปากอะไรก็พอแล้ว!”

“ว่าไงนะ…”

“เอาล่ะ หมดเวลาเรียนของคนหัวทึ่มแล้ว ตอนนี้จงไปดูแลแม่นางเชียนฮู่ให้ดีๆ ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยกับข้าจะจัดการเรื่องจูฉินเอง เสียเวลามาพอแล้ว ไปได้!”

……………………………………………