ตอนที่ 268 รีบกลับเมืองหลวง / ตอนที่ 269 เข้าเฝ้าฮ่องเต้

จอมใจจ้าวพิษ

ตอนที่ 268 รีบกลับเมืองหลวง

 

 

“ข้าต้องการให้เจ้าทำเรื่องหนึ่งจริงๆ  ขอเพียงเจ้าทำเรื่องนี้ให้ข้าได้ดี ข้าจะพาญาติเจ้าที่เหลือมาจากหนิงกู่ถ่าไปที่เผ่าม้งทั้งหมด แล้วดูแลเป็นอย่างดี”

 

 

ถังเฉียนไม่มีโอกาสปฏิเสธเงื่อนไขเช่นนี้เด็ดขาด นับจากที่หน้ากากนางถูกถอดออก นางก็ไม่ใช่หมอผีที่อ่อนแออีกต่อไป แต่เป็นทาสที่ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลัง เป็นทาสของฉู่จิ่งเหยา

 

 

“น้อมฟังคำบัญชาจากท่านอ๋อง”

 

 

ฉู่จิ่งเหยาไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เขากระซิบข้างหูถังเฉียน บอกแผนการทั้งหมดให้นางรู้   ถังเฉียนยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าฉู่จิ่งเหยาไม่ธรรมดาเลย เขาไม่ใช่คนที่จิตใจบริสุทธิ์มีเมตตา ที่จริงก็พอจะเข้าใจได้ นางไม่จำเป็นต้องใส่ใจว่าเรื่องนี้เที่ยงธรรมหรือไม่ ทุกคนในวังหลวงล้วนทุ่มเทเพื่อเอาตัวรอด แม้แต่ถังเฉียนก็ไม่ต่างกัน

 

 

“ได้ ถังเฉียนจะพยายามเต็มที่”

 

 

ถังเฉียนเดินผ่านข้างตัวพระอาจารย์ฮุ่ยเหยี่ยน แม้นางจะแปลกใจมากว่าท่านเรียกนางจากที่ห่างไกลเช่นนั้นได้อย่างไร แต่ในเมื่อนางมีความสามารถพิเศษ คนอื่นย่อมมีได้เช่นกัน โลกนี้มีคนมากมายที่ไม่ธรรมดา

 

 

ถังเฉียนไม่ยอมให้เสียเวลา หลังจากรู้หน้าที่แล้วก็รู้ว่าเวลากระชั้นชิด จึงออกเดินทางทันที แต่ครั้งนี้ผู้ที่ร่วมเดินทางไม่ใช่ฉู่จิ่งเหยา แต่เป็นซูซินเหลียนและหวังหลง

 

 

ทั้งสามควบม้ามุ่งไปยังเมืองเจาหยาง พวกเขากำลังเร่งเดินทาง ขณะที่เวลานี้ฉู่จิ่งเหยากำลังจัดเตรียมงานเล็กส่วนหนึ่งในแผนการใหญ่ คนอื่นๆ ล้วนเป็นเบี้ยที่เขาจัดวาง

 

 

หลังจากทั้งสามจากไป กองทัพของท่านอ๋องตรวจตราอย่างเข้มงวด ต่อมามีข่าวแพร่สะพัดออกไปว่าฉู่จิ่งเหยาถูกลอบทำร้ายบาดเจ็บสาหัสจนเสียชีวิต ส่วนสามคนที่ขี่ม้าหนีไปย่อมถูกพบเห็นทันที แม้เจิ้งจยาเฉิงจะพยายามขัดขวางไม่ให้ข่าวนี้แพร่ออกไป แต่ข่าวนี้ยังไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว

 

 

เครือข่ายข่าวสารที่เผ่าพีส่ากับเผ่าอินทรีเงินร่วมกันสร้างขึ้น ไม่มีจุดอ่อนให้โจมตีได้ ดังนั้นอิ๋นจ้านและเถิงอวิ๋นจึงทราบข่าวที่ฉู่จิ่งเหยาเสียชีวิตแล้วแทบจะพร้อมกัน

 

 

ส่วนที่พวกเขาจะทำอะไร ชั่วขณะนี้ถังเฉียนไม่อาจรู้ได้ เพราะนางกำลังเร่งควบม้าเดินทาง ระหว่างทางมีม้าตายไปถึงสามสี่ตัว ถึงรีบมาถึงเมืองเจาหยางได้ แต่เมื่อเข้าเจาหยางแล้ว หวังหลงได้เข้าเฝ้าถวายหนังสือด่วนแปดร้อยลี้แก่ฮ่องเต้ นับจากวันนั้นฮ่องเต้ก็ทรงประชวร

 

 

ข่าวที่จินซิวอ๋องฉู่จิ่งเหยาพระโอรสองค์ใหญ่เสียชีวิตแพร่สะพัดไปทั่วแผ่นดิน แต่ขณะนี้ถังเฉียนกับซูซินเหลียนถูกขังอยู่ในคุกฟ้า

 

 

“เจ้าไม่วิตกหรือว่าฮ่องเต้จะทรงประหารพวกเรา”

 

 

ซูซินเหลียนกลัวมาก นางเป็นแขกประจำของคุก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกคุ้นเลย ยิ่งมาถึงเมืองหลวงนางก็ยิ่งกระสับกระส่าย

 

 

“ข้ารู้สึกแปลกใจจริงๆ ท่านอ๋องเกลี้ยกล่อมเจ้าอย่างไรเพื่อให้เจ้าทำงานให้เขา เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลซู ที่เจ้าทำเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง”

 

 

มีรอยยิ้มอย่างอำมหิตผุดขึ้นบนใบหน้าซูซินเหลียน จากนั้นนางจึงพูดว่า

 

 

“เวลานี้เจ้ายังไม่เข้าใจ แต่ไม่นานหรอกเจ้าก็จะเข้าใจเอง เพราะตระกูลข้ากับเจ้าต่างกัน”

 

 

ขณะนี้ทุกอย่างยังอยู่ในแผนของฉู่จิ่งเหยา พวกเขาเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้ก็มีพระบัญชาให้ทั้งสองเข้าเฝ้าอย่างลับๆ เนื่องจากซูซินเหลียนแบกความผิดว่าสังหารฉู่จิ่งเหยา นางจึงต้องสวมขื่อคา อย่างไรนางก็เป็นชายารองของฉู่จิ่งเหยา แต่เพื่อความปลอดภัยฮ่องเต้จึงทรงให้นางกับถังเฉียนเข้าเฝ้าพร้อมกัน

 

 

ที่ทำเช่นนี้เพื่อทำให้สองคนไม่สามารถร่วมมือกันทูลความเท็จ ไม่ให้ซูซินเหลียนปั้นน้ำเป็นตัวได้ แต่คิดไม่ถึงว่าซูซินเหลียนคนนี้หรือพูดได้ว่าซูซินคนนี้จะถนัดในการเล่นละคร

 

 

 

 

ตอนที่ 269 เข้าเฝ้าฮ่องเต้

 

 

ตำหนักจื่อเฉินใหญ่โตมโหฬาร มีเพียงถังเฉียนกับซูซินเหลียนคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ขณะนั้นเป็นเดือนเก้าแล้ว พื้นไม่อุ่นอีกต่อไป ใช้มือแตะก็รู้สึกเย็นเฉียบ ถังเฉียนเคยได้ยินบิดาบอกว่ากระเบื้องหยกขาวในตำหนักจื่อเฉินพอถึงเดือนเก้าจะเย็นที่สุด

 

 

มักจะรู้สึกว่าลมหนาวพัดแทรกเข้าไปในช่องว่างของกระดูก ดังนั้นบิดานางจึงไม่ชอบมารอรักษาโรคที่ตำหนักจื่อเฉินในเดือนเก้า ถึงตอนนั้นตัวก็แบกรับภาระที่หนักอึ้ง เมื่อคุกเข่าอยู่ท่ามกลางลมหนาว ถ้าร้อนใจจนเหงื่อออก คุกเข่าอยู่บนพื้นเย็น ย่อมทำให้เกิดโรคไขข้อ

 

 

“ฝ่าพระบาท คนชั่วพวกนั้นต้องการฆ่าท่านอ๋อง ไม่ใช่หม่อมฉันที่คิดสังหารท่านอ๋องนะเพคะ”

 

 

ซูซินเหลียนร้องไห้พลางกราบทูลเบื้องหน้าพระพักตร์ ฮ่องเต้ฟังแล้วก็ทรงปวดร้าวพระทัย จากนั้นซูซินเหลียนทูลอาการป่วยของฉู่จิ่งเหยาว่าหนักมาก ยังกราบทูลว่าฉู่จิ่งเหยาไม่อยากให้ฮ่องเต้กังวลพระทัยจึงไม่ยอมทูลให้ทรงทราบ ยังทูลอีกว่ามีคนต้องการปลิดชีวิตเขา ฟันเขาบาดเจ็บสิบกว่าแผล ตามตัวเต็มไปด้วยแผลดาบ ได้หมอผีช่วยชีวิตไว้

 

 

อย่างไรเสียความผูกพันระหว่างพ่อลูกย่อมลึกล้ำ ฉู่จิ่งเหยาเป็นพระโอรสองค์ใหญ่ เรื่องนี้จึงทำให้ทรงกริ้ว ฮ่องเต้ย่อมไม่ทรงยอมให้ใครข่มเหงพระโอรสของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม หากบังอาจทำเรื่องเช่นนี้ย่อมเท่ากับเป็นกบฏ

 

 

“ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ข้าต้องให้คนสืบดู หากเจ้าไม่ได้ทำ ข้าย่อมไม่ปรักปรำเจ้า แต่ถ้าเจ้าบังอาจโกหกต่อหน้าข้า ข้าจะบั่นศีรษะเจ้าเสีย”

 

 

ซูซินเหลียนคลำศีรษะตัวเองแล้วย่นคอ แต่ถังเฉียนมองเห็นความเจ้าเล่ห์ในแววตานาง หลังจากทรงฟังแล้วฮ่องเต้ทรงกริ้วมาก ทรงมีพระบัญชาให้ส่งคนไปตรวจสอบว่าใครต้องการสังหารฉู่จิ่งเหยา แม้ถังเฉียนจะไม่มีโอกาสกราบทูล เพียงแต่ทูลขึ้นว่าต้องการพบอันกุ้ยเฟย

 

 

ถังเฉียนเพิ่งทูลจบ ปรากฏว่าอันกุ้ยเฟยมาเองโดยไม่ต้องเชิญ นางมาจากด้านหลังทั้งๆ ที่ไม่มีการเรียกให้เข้าเฝ้า พอเข้ามาก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ตีสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ ทูลเสียงสะอื้นว่า

 

 

“หม่อมฉันทูลแล้ว ที่หม่อมฉันเจตนาดีจะไม่มีใครเข้าใจ ดูสิเพคะ หมอผีขอให้ตามหม่อมฉันมาไม่ใช่หรือเพคะ”

 

 

เป็นครั้งแรกที่ถังเฉียนได้พบอันกุ้ยเฟยซึ่งเป็นพระสนมที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่สุดในหกวัง เคยได้ยินว่านางมีรูปโฉมล้ำเลิศกว่าใคร วันนี้ได้เห็นแล้ว ผิวนางขาวผ่อง ริมฝีปากแดง ใบหน้างดงามราวกับดอกเหมยยามวสันต์ นับว่าเป็นคนสวยโดยแท้จริง ขณะที่ถังเฉียนกำลังชื่นชมกับหญิงงาม กลับเป็นซูซินเหลียนที่มองอันกุ้ยเฟยด้วยสายตาเคียดแค้น ทั้งสองเป็นอาหลานกัน บัดนี้กลับเป็นเหมือนคู่แค้น เมื่อเจอหน้ากัน ไม่มีใครยอมเอ่ยปากพูด

 

 

“ที่เจ้าพูดเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร ท่านหมอเกิดที่เผ่าม้ง เป็นชนชั้นสูงของเผ่าม้ง เพียงแต่นางไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวของเซวียนกั๋ว ก็แค่การไปเยี่ยมคารวะตามปกติ เหตุใดเจ้าต้องระแวงด้วย”

 

 

“ฝ่าพระบาท พระองค์จะไม่ให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันหรือเพคะ?”

 

 

อันกุ้ยเฟยเหลือบมองถังเฉียน จากนั้นจึงลุกขึ้น เดินส่ายเอวที่เรียวเล็กมาอยู่ข้างพระวรกาย ทรงดึงตัวนางด้วยความเสน่หามานั่งที่ข้างพระองค์ อย่างไรนางก็เป็นหญิงที่ทรงรักใคร่ที่สุด ต่อให้ที่นางกราบทูลจะไร้เหตุผลแค่ไหน ก็ไม่ทรงตำหนิแม้แต่น้อย

 

 

‘ที่แท้ความดีชั่วทั้งหลายใต้หล้า ก็แค่ความชอบหรือเกลียดของคนๆ เดียวเท่านั้น’

 

 

วันนี้ถังเฉียนจึงเข้าใจแล้วว่าพระราชอำนาจของเจ้าแผ่นดินพูดให้ถึงแก่นแล้วก็แค่พระราชอำนาจของคนเพียงผู้เดียว ซูซินเหลียนมองด้วยสายตาเช่นนี้เท่านั้น นางไม่พูดอะไรเลย แต่เป็นสายตาที่ก่อให้เกิดหายนะ

 

 

ทั้งสองถูกขังในคุกฟ้าแยกห้องกัน ต่างนั่งผิงผนังห้องแผ่นเดียวกัน ทำให้พูดคุยกันสะดวก

 

 

“เจ้ารอดูต่อไปเถอะ ละครสนุกของเราเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”

 

 

ถังเฉียนอดหัวเราะไม่ได้ แล้วถามว่า

 

 

“ข้ากลับรู้สึกว่าที่แห่งนี้ ฝ่าพระบาททรงเจตนาจัดให้ ที่แห่งนี้ถ้าใครจะลงมือย่อมต้องประเมินถึงความคิดของฮ่องเต้ บางทีอาจจะมีคนคิดว่าฝ่าพระบาททรงกริ้วพวกเรา แต่ถ้าเป็นคนที่ใกล้ชิดฝ่าพระบาทย่อมรู้ว่านี่เป็นกับดัก”