บทที่ 514 กระจายพลังศักดิ์สิทธิ์

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 514 กระจายพลังศักดิ์สิทธิ์

ถึงเขาจะไม่มีเวลาไปช่วยเหลือพวกของนักพรตหญิงชินแต่ละคนด้วยตัวเอง แต่สิ่งหนึ่งที่หลินเป่ยเฉินสามารถทำได้เลยก็คือการกระจายพลังศักดิ์สิทธิ์ผ่านทางการแชร์สัญญาณไวฟาย

 อันที่จริงนั้นมันก็น่าประหลาดใจอยู่เล็กน้อย

ว่ากันตามความน่าจะเป็น ทั้งนักพรตหญิงชินและเยว่เว่ยหยางต่างก็สามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้ทั้งคู่ พวกนางสมควรใช้ปีกกระบี่ของตนเองตัดม่านพลังออกมาได้แล้ว

แล้วเหตุไฉนพวกนางถึงยังไม่มาปรากฏตัว?

แย่แล้วสิ

หรือว่าพวกนางจะเสียชีวิตไปแล้ว?

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็เริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นเล็กน้อย

เขารีบเปิดฟังก์ชันกระจายสัญญาณไวฟายทันที

จากนั้นจึงรีบค้นหาตัวรับสัญญาณทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง

พลัน ชื่อบุคคลจำนวนมากปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ

เซียวปิง จางเถียน หลินเหมยเอ๋อร์ จินเค่อ เมิ้งหยุน ฮันชูหยาน จางกวนเฟย…

นี่มันอะไรกันเนี่ย?!

เกิดอะไรขึ้น?

ทำไมถึงได้มีชื่อของคนที่เขาไม่รู้จักปรากฏขึ้นมาเต็มไปหมด?

แน่นอนว่าชื่อที่จะปรากฏขึ้นมาเหล่านี้ ต้องเป็นผู้ที่มีความศรัทธาในตัวเขาเท่านั้น

หลินเป่ยเฉินยกมือแตะคางด้วยสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกายวาวโรจน์

หรือว่าชื่อเหล่านี้จะเป็นชื่อของบรรดานักบวชสาวที่อยู่ในวิหาร?

ก่อนหน้านี้ เซียวปิง ‘ปลอมตัว’ เป็นเขา ต่อสู้คุ้มกันประตูวิหารด้วยความบ้าคลั่ง นักบวชสาวเหล่านั้นเห็นเข้าก็เกิดความศรัทธาในตัวเขาขึ้นมาทันที

ให้มันได้แบบนี้สิ!

หลินเป่ยเฉินพบวิธีแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว

เขาไม่จำเป็นต้องปลอมตัวเป็นคนอื่นอีกแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนที่แท้จริงอีกแล้ว หลินเป่ยเฉินไม่ต้องลงมือทำอะไรด้วยซ้ำ นอกจากกระจายพลังศักดิ์สิทธิ์ออกจากร่างกายไปยังกลุ่มคนที่มีรายชื่อเป็นผู้ศรัทธาของเขาเท่านั้นเอง

หลินเป่ยเฉินเลื่อนดูรายชื่อเหล่านั้นทั้งหมดและสุดท้ายก็เห็นชื่อของอาจารย์ติงซานฉือ

สัญญาณความศรัทธาเต็มทุกขีด

หลินเป่ยเฉินกดเชื่อมต่อสัญญาณโดยไม่ลังเล

หลังจากนั้น เขาก็ไถหน้าจอลงไปเรื่อยๆ

สุดท้ายก็เจอชื่อของท่านเจ้าเมืองฉุยเฮาเฟิง

หืม?

สัญญาณความศรัทธาก็เต็มทุกขีดเหมือนกัน?

นี่ท่านเจ้าเมืองฉุยเชื่อมั่นในตัวเขาขนาดนี้เลยหรือ?

หลินเป่ยเฉินคิดว่าการที่ตนเองมีใบหน้าหล่อเหลาคงดึงดูดความสนใจผู้คนและสามารถสร้างความศรัทธาได้ง่ายดายมากกว่าบุคคลทั่วไปกระมัง

และเด็กหนุ่มก็เชื่อมต่อสัญญาณโดยไม่ลังเล

เขาไถหน้าจอลงไปอีกครั้ง

ในที่สุดก็พบเจอชื่อของเยว่เว่ยหยาง

แต่ทว่า…

“เฮ้ย?”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความมึนงงเล็กน้อย

ถึงแม้ว่าสัญญาณความศรัทธาจะขึ้นเต็มทั้งห้าขีด แต่บนขีดสัญญาณนั้นกลับขึ้นสัญลักษณ์เครื่องหมายคำถามสีแดง

และไม่ว่าหลินเป่ยเฉินจะพยายามเชื่อมต่อสักกี่ครั้ง การเชื่อมต่อก็ล้มเหลวทุกครั้ง

ทำไมถึงเชื่อมสัญญาณกันไม่ได้?

เกิดอะไรขึ้น?

ทั้งๆ ที่มีขีดสัญญาณขึ้นเต็ม แล้วทำไมถึงเชื่อมต่อกันไม่ได้

นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้

เด็กหนุ่มถึงกับทำอะไรไม่ถูก

เขาลองกดค้นหาสัญญาณใหม่ดูอีกรอบ

แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม

นี่มัน…

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว

ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถกระจายพลังศักดิ์สิทธิ์ผ่านการแชร์สัญญาณไวฟายไปให้เยว่เว่ยหยางได้แล้วสิ

แต่ไม่เป็นไร

เดี๋ยวรอให้ท่านเจ้าเมืองฉุยกับอาจารย์ติงกลับมาถึงบนวิหารก่อน แล้วเดี๋ยวเขาจะไปช่วยเหลือนางออกมาจากค่ายอาคมด้วยตนเอง

หลินเป่ยเฉินกำลังจะเก็บโทรศัพท์

แต่แล้วเขาก็เห็นชื่อที่คุ้นเคยหลายคน

เอ๋?

ไป๋ชินหยุน?

ยัยเด็กนั่นอยู่ที่นี่ด้วยหรือ?

ไป๋ชินหยุนไม่ได้พักอยู่ที่สถานศึกษานี่นา แล้วจะปรากฏตัวอยู่แถวนี้ได้อย่างไร?

สงสัยนางคงแอบตามญาติพี่น้องมารับชมการตรวจสอบวิหารแน่ๆ

แต่ช่างเถอะ เขาไม่ได้อยากเชื่อมต่อสัญญาณกับนางอยู่แล้ว

เชื่อมต่อไปก็ไร้ประโยชน์

ไป๋ชินหยุนไม่ใช่คนที่ติดอยู่ในค่ายอาคมสักหน่อย

แต่เดี๋ยวก่อนนะ?

ทำไมถึงยังมีอีกคนหนึ่งด้วยล่ะ

หลินเป่ยเฉินไม่แน่ใจว่าตนเองตาฝาดหรือไม่

หลิงเฉิน?

บุตรสาวคนเล็กของตระกูลหลิงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

ชื่อของนางมาปรากฏอยู่ในกลุ่มตัวรับสัญญาณได้อย่างไร?

หรือว่า…

นางก็เหมือนกับเยว่เว่ยหยางที่เดินทางกลับมายังเมืองหยุนเมิ่งโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้

เอ่อ…

หลินเป่ยเฉินค่อนข้างประหลาดใจไม่น้อย

แต่เมื่อลองคิดทบทวนดูแล้ว ทุกอย่างก็มีเหตุมีผล

ต้องไม่ลืมว่าหลินเป่ยเฉินคนนี้เป็นเด็กหนุ่มรูปงามประจำเมือง มีเด็กสาวจำนวนมากมายที่หลงรักเขาหัวปักหัวปำ หลิงเฉินก็คงเป็นหนึ่งในนั้น นางอาจจะคิดถึงเขาจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ และต้องเดินทางกลับมาหาเขาก็เป็นได้

หรือจะมีอะไรมากไปกว่านั้นหว่า

พลัน หลินเป่ยเฉินก็นึกถึงเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาได้

หลิงเฉินคงไม่ได้กลับมาด้วยเหตุผลเรียบง่ายเช่นนั้นแน่

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็นึกถึงนักสู้ตัวแทนของฝ่ายวิหารผู้เป็นปริศนา หรือว่านักสู้คนนั้นจะเป็นหลิงเฉิน?

ให้ตายสิ

หลินเป่ยเฉินคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงทีเดียว

มิน่าเล่า ตอนที่นักสู้คนนั้นปรากฏตัว หลินเป่ยเฉินถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับมวลพลังลมปราณเหล่านั้นชอบกล ที่แท้มันก็เป็นมวลพลังงานจากร่างกายของหลิงเฉินนี่เอง

เขาเคยสัมผัสพลังลมปราณของนางมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ปะทะฝีมือกับเซินเฟยระหว่างการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบแรก หรือจะเป็นในคืนประลองกระบี่ที่หลิงเฉินเข้ามาช่วยเหลือเขาเอาไว้จากการโจมตีของไป๋ไห่ชิน พลังลมปราณเหล่านั้นนับเป็นสิ่งที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หลินเป่ยเฉินไม่มีทางลืมเลือนเด็ดขาด

หลินเป่ยเฉินยิ่งคิดเท่าไหร่ก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองเดาได้ถูกต้อง

เขาลองกดเชื่อมต่อสัญญาณกับหลิงเฉินโดยเร็ว

การเชื่อมต่อเสร็จสมบูรณ์

นั่นไงล่ะ

แต่หลังจากนั้น หลิงเฉินกลับไม่ได้ปรากฏกายออกมาเลย

เมื่อหลินเป่ยเฉินเชื่อมสัญญาณกับบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองคนเก่าเสร็จสิ้น เขาก็ได้แต่นั่งรอให้อาจารย์ติงและท่านเจ้าเมืองฉุยกลับมาที่วิหาร

ในค่ายอาคม

“เอ๊ะ?”

มวลพลังงานที่แปลกประหลาดไหลรินเข้าสู่ร่างกายโดยไม่มีสัญญาณเตือน

กระบี่ที่ถืออยู่ในมือของฉุยเฮาเฟิงส่องแสงสว่างสีเงินแวววาว

“หรือว่านี่จะเป็น… พลังศักดิ์สิทธิ์?”

ฉุยเฮาเฟิงอุทานออกมาด้วยความดีใจ

ใช่แล้ว

นี่ต้องเป็นความช่วยเหลือจากเทพีกระบี่แน่นอน ในที่สุด เทพีกระบี่ก็แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ด้วยการมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ให้เขาใช้ทำลายค่ายอาคมแห่งนี้ออกไปสู่โลกภายนอก

ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ

ฉุยเฮาเฟิงตวัดกระบี่ด้วยความลิงโลดใจ

หลังจากฟันกระบี่อยู่หลายสิบครั้ง ในที่สุดม่านพลังก็เกิดช่องว่างขึ้นมาแล้ว

วูบ!

ฉุยเฮาเฟิงใช้วิชาตัวเบาพุงผ่านช่องว่างออกไปทันที

ลมหายใจต่อมา ช่องว่างนั้นก็ปิดลง

ฉุยเฮาเฟิงหยุดเล็กน้อย สูดหายใจลึก ก่อนจะเคลื่อนกายด้วยความเร็วสูงสุด บินตรงขึ้นไปยังวิหารบนยอดเขา

หลังจากนั้น ทุกคนก็กลับมารวมตัวกันในลานหินหน้าวิหารเกือบจะพร้อมหน้าพร้อมตา

มองดูจากตรงนี้ ฉุยเฮาเฟิงพบว่าติงซานฉือได้กลับมาถึงแล้วและบัดนี้ก็กำลังยืนคุยอยู่กับหลินเป่ยเฉิน

“ท่านเจ้าเมือง”

หลินเป่ยเฉินหันมาโบกไม้โบกมือทักทายทันที

ฉุยเฮาเฟิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

สีหน้าของทุกคนบ่งบอกว่าไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

แต่อย่างไรก็ตาม ซากศพที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่บนลานหิน รวมไปถึงแม่น้ำโลหิตที่เนืองนองอยู่ตรงหน้า ก็เป็นสิ่งที่อธิบายได้ว่าก่อนหน้านี้คงเกิดการต่อสู้ดุเดือดขึ้นบริเวณหน้าวิหารเป็นแน่แท้

ฉุยเฮาเฟิงที่ตั้งใจเพียงจะเข้ามาทักทายและเดินทางกลับไปบริหารงานในตัวเมืองต่อ กลับต้องหยุดชะงักและเดินไปสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

เมื่อได้รับทราบทุกอย่างแล้ว ผู้เป็นเจ้าเมืองคนใหม่ก็คำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น

“แบบนี้มันผิดกฎหมาย ลอบโจมตีโดยไม่รอให้การตรวจสอบจบสิ้นลงก่อน ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันถึงจะมีเชื้อสายราชวงศ์ แต่เมื่อทำผิดกฎจักรวรรดิขั้นร้ายแรง ก็ต้องได้รับการลงโทษด้วยการประหารชีวิต!”

ฉุยเฮาเฟิงเกลียดเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่ประพฤติตนชั่วร้ายเป็นที่สุด

การตรวจสอบวิหารเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมากว่า 200 ปีแล้ว

และนี่คือการตรวจสอบที่ไม่เป็นธรรม

นั่นหมายความว่าอำนาจในจักรวรรดิกำลังเกิดความสั่นคลอน

“ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันไม่ได้มาแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่ยังได้รับกำลังเสริมเป็นทหารจากแคว้นซินจินอีกด้วย พวกเขาคอยปิดถนนขวางกั้นไม่ให้ผู้คนเข้าออก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาขับไล่ชาวเมืองจำนวนมาก เหตุการณ์เช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น…”

หลินเป่ยเฉินพูดโดยไม่ปิดบัง “โชคดีที่ก่อนหน้านี้ข้าได้วางกับดักเอาไว้ในป่าจำนวนมาก กำลังพลของฝ่ายนั้นน่าจะหายไปหลายส่วนทีเดียวขอรับ”

นี่คือการทำผิดกฎจักรวรรดิขั้นรุนแรง

ความผิดในครั้งนี้ของท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันมีมากกว่าการใช้อำนาจที่มีไปในทางมิชอบ

เพราะเขามีสถานะเป็นผู้ที่ทรยศต่อเทพีกระบี่

ไม่มีการให้อภัยอย่างเด็ดขาด

“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวข้าจะลงไปสืบสวนเรื่องราวที่เชิงเขาดูก่อน”

ฉุยเฮาเฟิงขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งเครียด

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าเองก็กำลังจะไปสำรวจค่ายอาคมทั้งสามจุดนั้นด้วยเหมือนกันขอรับ…”

แต่ระหว่างที่พูดมาถึงตรงนี้ บนท้องฟ้าพลันเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างวิปริต