บทที่ 515 สิ่งที่หลินเป่ยเฉินต้องการ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 515 สิ่งที่หลินเป่ยเฉินต้องการ

บนท้องฟ้าพลันเกิดช่องว่างแยกออกมา

มันเป็นวังน้ำวนแห่งแสงสว่างที่กำลังฉีกกระชากผืนฟ้าให้ขาดออกจากกันด้วยความศักดิ์สิทธิ์อันสูงส่ง

มวลอากาศปั่นป่วน ลำแสงกระบี่สว่างเจิดจ้า

พลังศักดิ์สิทธิ์แผ่กระจายครอบคลุมทั่วบริเวณ

บัดนี้ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดในรัศมีหลายร้อยลี้ต่างก็ตัวสั่นเทาและคุกเข่าลงบนพื้นดินด้วยความหวาดกลัว นี่คือเทพเจ้าผู้อยู่บนสูงสุดของห่วงโซ่อาหารในหัวใจของชาวเมือง เมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ทุกๆ คนก็จำเป็นต้องยอมศิโรราบด้วยความเชื่อฟัง

ในวังน้ำวนยังคงปล่อยแสงสว่างออกมาเรื่อยๆ เหมือนกับฝนดาวตก

แล้วลำแสงเหล่านั้นก็ไหลรินลงมาสู่ร่างกายของคุณชายเหลียนซานผู้ลอยตัวอยู่ในอากาศ

คุณชายเหลียนซานผู้เป็นคนดูแลการตรวจสอบวิหารในครั้งนี้

คุณชายเหลียนซานพลันระเบิดพลังลมปราณออกมาอย่างรุนแรง

ร่างของเขาพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงมากขึ้นและมากขึ้น ตัวคนจากที่เคยผอมสูงก็โป่งพองเหมือนลูกโป่งที่สูบลมมากเกินไป

เพียงพริบตาเดียว คุณชายเหลียนซานก็ลอยละลิ่วขึ้นไปอยู่ใจกลางท้องฟ้าเหมือนกับเทพเจ้าที่กำลังเหยียบย่ำอยู่บนก้อนเมฆสูง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ เวลาที่กะพริบตาแต่ละครั้ง ดวงตาจะเปล่งแสงสว่างราวกับเป็นดวงอาทิตย์และดวงจันทราก็ไม่ปาน

“อะไรกันอีกเนี่ย?” หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยความเหลือเชื่อ “หมอนี่มันเป็นตุ๊กตาเป่าลมหรือไง?”

สีหน้าของฉุยเฮาเฟิงกับติงซานฉือพลันกลับมาเคร่งเครียดมากยิ่งกว่าเดิม

“การโจมตีครั้งใหม่กำลังจะเกิดขึ้น”

ฉุยเฮาเฟิงกล่าว

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้เป็นการแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของเทพีกระบี่ที่กำลังจะอนุญาตให้คุณชายเหลียนซานลงมือโจมตีวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่งได้อย่างเป็นทางการ

การที่ตัวแทนจากฝ่ายวิหารชนะในการต่อสู้ทั้งหมด โดยทั่วไปแล้ว ก็เท่ากับว่าพวกเขาผ่านการตรวจสอบได้ด้วยดี

แต่การที่เทพีกระบี่มอบพลังเพิ่มเติมให้แก่คุณชายเหลียนซาน นั่นก็หมายความว่าเทพีกระบี่ไม่ยอมรับผลการต่อสู้ที่เกิดขึ้น และยังคงยืนยันว่าวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่งเป็นผู้แอบอ้างเทพเจ้าอยู่เช่นเดิม

แต่เพราะเหตุใด คุณชายเหลียนซานถึงรับพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นได้?

ก็ในเมื่อเขาไม่ใช่ร่างทรงเทพเจ้าสักหน่อย

ผู้ที่จะรับพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพเจ้าได้โดยตรง ต้องเป็นผู้ที่ถูกเลือกหรือร่างทรงเทพเจ้า อย่างเช่นหลินเป่ยเฉินเท่านั้น

พลังเหล่านี้สมควรไหลรินเข้ามาอยู่ในตัวของหลินเป่ยเฉินจึงจะถูกต้อง

แล้วทำไมพลังเหล่านั้นถึงไหลไปทางคุณชายเหลียนซานกันนะ?

และดูเหมือนว่าคุณชายเหลียนซานจะควบคุมพลังได้ตามใจชอบอีกด้วย…

ฉุยเฮาเฟิงกับติงซานฉือหันมองหน้ากัน

ในใจเกิดความรู้สึกอัปมงคล

แต่หลินเป่ยเฉินรู้สึกไม่เป็นมงคลมาได้พักใหญ่แล้ว

หรือว่าเทพีกระบี่หิมะไร้นามจะประสานงานกับเทพีกระบี่ผิดพลาด ทำให้ส่งพลังศักดิ์สิทธิ์ไปลงผิดคน?

เด็กหนุ่มเปิดโทรศัพท์และส่งข้อความวีแชททักไปหาเทพีกระบี่หิมะไร้นาม

“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”

“ทำไมถึงส่งพลังศักดิ์สิทธิ์ไปผิดคน”

“เร็วเข้า รีบๆ บอกให้เทพีกระบี่ส่งพลังศักดิ์สิทธิ์มาให้ข้าได้แล้ว หลังจากนั้นเดี๋ยวข้าจัดการเอง”

แต่ยังไม่ทันที่จะได้รับข้อความตอบกลับจากเทพีกระบี่หิมะไร้นาม

ในพริบตาต่อมา…

“บรรดาผู้คนที่อยู่บนวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่ง ล้วนแล้วแต่มีสถานะเป็นผู้ทรยศที่หักหลังเทพีกระบี่ นอกจากสร้างความเสื่อมเสียให้แก่เทพีกระบี่แล้ว บุคคลเหล่านี้ยังแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน สร้างบาปหนาที่ให้อภัยไม่ได้… เพราะฉะนั้น บทลงโทษในครั้งนี้ของพวกเจ้า ก็คือการตกนรกหมกไหม้ชั่วกัปชั่วกัลป์…”

“พวกเจ้าต้องตายสถานเดียว!”

นี่คือประกาศิตสั่งตายจากคุณชายเหลียนซาน

พื้นดินสั่นสะเทือนด้วยเสียงคำรามของเขา

บัดนี้ เสียงคำรามของคุณชายลูกโป่งดังสะท้านผืนฟ้าสะเทือนผืนดินอย่างแท้จริง

และด้วยวิธีการพูดของคุณชายเหลียนซาน

ชาวเมืองทุกคนก็รู้แล้วว่าเขากำลังถูกวิญญาณของเทพีกระบี่เข้าสิง

นี่คือบทลงโทษจากเทพีกระบี่โดยตรง

เมื่อได้ยินประกาศิตเหล่านั้น

ฉุยเฮาเฟิง ติงซานฉือและเซียวปิงต่างก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที

“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน?” นักบวชสาวคนหนึ่งทรุดลงไปนั่งกองอยู่บนพื้นอย่างหมดแรง

หลังจากนั้น นักบวชสาวคนอื่นๆ ก็ตกอยู่ในอาการเดียวกัน

ใบหน้าของพวกนางบอกชัดถึงความไม่อยากเชื่อ

พวกนางหวาดกลัวจนวิญญาณแทบหลุดลอยออกจากร่าง

สิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุดก็คือทั้งชีวิตของพวกนางเฝ้ารับใช้เทพีกระบี่ แต่ ณ บัดนี้ เทพีกระบี่กลับเป็นผู้ประกาศว่าพวกนางคือคนทรยศ

มันเจ็บปวดยิ่งกว่าชักกระบี่ออกมาฆ่ากันเสียอีก

มันคือความเจ็บปวดที่กินลึกลงไปถึงระดับวิญญาณ

เมื่อประกาศิตเช่นนี้ถูกประกาศแก่วิหารเมืองหยุนเมิ่ง

ถึงแม้ชาวเมืองไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย แต่พวกเขาก็จะต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความอับอายตลอดกาล

ไม่มีโอกาสที่จะแก้ตัวใหม่ได้อีกแล้ว

บนถนนระหว่างทางขึ้นเขา กองทัพแคว้นซินจินปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง

พวกเขายืนเรียงแถว ชุดเกราะสะท้อนประกายวิบวับ กระบี่ถูกชักออกจากฝัก ไอสังหารแผ่ออกมาจากร่างกาย

ราวกับเพชฌฆาตในลานประหาร

“ผู้คนที่อยู่ด้านในวิหาร จงคุกเข่ารอรับความตายบัดเดี๋ยวนี้…”

เสียงของคุณชายเหลียนซานดังก้องกังวานไปทั่วแผ่นฟ้าอีกครั้ง ไม่ต่างจากเสียงของเทพเจ้าที่กำลังออกคำสั่งต่อมนุษย์โลกผู้ต่ำต้อย “พวกเจ้าจะสามารถล้างบาปครั้งนี้ได้ด้วยความตายเท่านั้น เมื่อเกิดใหม่ชาติหน้า พวกเจ้าถึงจะกลายเป็นผู้บริสุทธิ์”

ตุบ!

นักบวชสาวจำนวนนับไม่ถ้วนพร้อมใจกันนั่งคุกเข่าบนพื้นหิน

หน้าผากที่ขาวผ่องของพวกนางแนบชิดติดอยู่กับพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่นผง

หยดน้ำตากำลังไหลนองใบหน้าที่สวยงามเหล่านั้น

พวกนางยินดีสละชีวิตเพื่อพิสูจน์ความซื่อสัตย์ของตนเอง

ฉุยเฮาเฟิงกับติงซานฉือยังคงยืนอยู่ที่เดิม

พวกเขาไม่เหมือนนักบวชสาวเหล่านี้ ในใจของพวกเขายังเกิดความเคลือบแคลงสงสัย

เพราะยิ่งเป็นผู้ที่มีศรัทธามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งตั้งคำถามต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นน้อยเท่านั้น

อย่างเช่นนักบวชสาวเหล่านี้นั่นเอง

หลินเป่ยเฉินยืนตกตะลึงอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน

“ฮ่าๆๆๆ ข้าเข้าใจแล้ว…”

สีหน้าของเด็กหนุ่มปรากฏความโล่งอก

แต่ในสายตาที่คนภายนอกจ้องมองมาก็คือ หลินเป่ยเฉินหวาดกลัวสุดขีดจนถึงขั้นเสียสติไปแล้ว

หลินเป่ยเฉินเสียสติไปแล้วจริงๆ

“ตัวปลอม หุหุ สุดท้ายเจ้าก็เป็นได้แค่ตัวปลอมเท่านั้น”

หลินเป่ยเฉินยังคงระเบิดเสียงหัวเราะต่อไป

เทพีกระบี่ตัวจริงที่เขาเคยสื่อสารด้วย

ไม่ได้มีนิสัยกระหายเลือดเช่นนี้

โดยเฉพาะกับผู้ที่ศรัทธาในตัวของนางอย่างแท้จริง เทพีกระบี่ย่อมไม่มีวันออกคำสั่งสังหารเด็ดขาด

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าใครก็ตามจะเข้าถึงตัวเทพีกระบี่ ก็ต้องติดต่อผ่านเทพีกระบี่หิมะไร้นามผู้ทำหน้าที่เป็นคนกลางก่อนเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ หลินเป่ยเฉินจึงมั่นใจว่าคุณชายเหลียนซานไม่ได้กำลังครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง

มันคงเป็นพลังปีศาจมากกว่า

หรือไม่ก็เป็นพลังของเทพเจ้าองค์อื่น

และนี่ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าคุณชายเหลียนซานและเว่ยหมิงเฉินผู้เป็นหัวหน้าใหญ่ ได้เปลี่ยนฝ่ายไปเข้าร่วมกับเทพเจ้าองค์อื่นแล้วจริงๆ

“เร็วๆ หน่อยสิ ใกล้จะหมดเวลาแล้วนะ”

หลินเป่ยเฉินส่งข้อความไปในแอปวีแชทอีกครั้งด้วยความฉุนเฉียว “ข้าตรวจดูแล้ว ท่านกดรับรากชงโหลวไปเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน รีบตอบมาเดี๋ยวนี้ อย่าทำเป็นนิ่งเฉยเหมือนคนตายแล้ว หรือว่าใจคอของท่านจะสามารถปล่อยให้วิหารสาวกตนเองเกิดเหตุนองเลือดได้ลงคอ?”

แต่เทพีกระบี่หิมะไร้นามก็ยังคงไม่อ่านข้อความของเขาอยู่ดี

หลินเป่ยเฉินเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี

หรือว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งครั้งที่เขาถูกเทพีกระบี่หิมะไร้นามหลอกลวง?

นางตั้งใจหลอกให้เขาส่งรากชงโหลวไปให้?

รากแห้งตายซากนั่นน่ะ ต้องใช้ศิลาบูชาตั้ง 2,000 ก้อนซื้อมาเชียวนะ

แบบนี้มันจะมากเกินไปแล้ว

หลินเป่ยเฉินเริ่มเกิดความตื่นตระหนกเล็กน้อย

“จงคุกเข่ารอรับความตาย ณ บัดนี้”

กลุ่มนายทหารของแคว้นซินจินได้ยกกำลังพลขึ้นมาห้อมล้อมวิหาร และเตรียมตัวที่จะประหัตประหารชีวิตผู้คนเรียบร้อยแล้ว

นายทหารที่อยู่แถวหน้าสุดชักกระบี่ออกจากฝัก ก่อนจะยกกระบี่ขึ้น ชี้มาทางพวกของหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาดุร้ายหมายมั่นเอาชีวิต

ฉุยเฮาเฟิงกับติงซานฉือหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

ไม่รู้เพราะเหตุใด ในเวลาแห่งความเป็นความตายเช่นนี้ พวกเขาทั้งสองคนกลับรู้สึกกว่าสิ่งที่หลินเป่ยเฉินกำลังจะพูดออกมานั้น จะต้องมีความน่าเชื่อถือมากกว่าเจ้าคุณชายเหลียนซานที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าแน่ๆ

แต่หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้านายทหารกลุ่มนั้น หัวเราะในลำคอและพูดออกมาเพียงว่า “ไสหัวไปซะ ไม่งั้นข้าจะฆ่าเจ้า”

ฉุยเฮาเฟิงพูดอะไรไม่ออก

ติงซานฉือพูดอะไรไม่ออก

แม้แต่กลุ่มนายทหารก็พูดอะไรไม่ออก

แต่นี่ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้ว

“กล้าดีอย่างไรถึงไม่ยอมรับการลงทัณฑ์จากเทพีกระบี่?” บนท้องฟ้า คุณชายเหลียนซานกำลังก้มมองลงมาด้วยดวงตาเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า พลังศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาจากร่างกายไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้มวลอากาศรอบตัวเกิดความปั่นป่วนแปรปรวนวิปริต

ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของหลินเป่ยเฉินก็สั่นครืด

มีคนส่งข้อความมาหาเขาในแอปวีแชท

“ข้าปลอดภัยดี”

นี่คือข้อความจากเทพีกระบี่หิมะไร้นาม “ไม่ทราบว่าน้องชายต้องการสิ่งใด?”

หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

ในที่สุดก็ตอบกลับมาแล้ว

โชคดีที่นางไม่ได้หลอกลวงเขา

ตอนนี้แหละ อุว๊ะฮ่าๆๆๆๆ ถึงเวลาที่เขาจะได้เอาคืนอย่างสาสม

เด็กหนุ่มเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

“เฮอะ สุนัขรับใช้อย่างเจ้า กล้าดีอย่างไรถึงไปร่วมมือกับเทพเจ้าองค์อื่นและแอบอ้างว่าตนเองเป็นเทพีกระบี่?” หลินเป่ยเฉินยกมือเท้าเอวและพูดด้วยความโกรธแค้น “บัดนี้ หากเจ้าลงมาคุกเข่าต่อหน้าข้า และยอมรับความผิดแต่โดยดี ข้าจะมอบโอกาสให้เจ้าได้ตายอย่างไม่ทรมานมากนัก”