บทที่ 516 รับพลังเข้าร่างอีกครั้ง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 516 รับพลังเข้าร่างอีกครั้ง

ภูเขาเสี่ยวซี

หนี่โมหยานบุตรชายคนที่สี่และหนี่หยางผู้เป็นบิดา ได้นำกองกำลังทหารกว่า 400 นายยกขบวนพลตรงไปที่เชิงเขาในเวลาอันรวดเร็ว

“เอ๊ะ?”

คู่พ่อลูกประหลาดใจเมื่อพบว่าค่ายที่พักของทหารบริเวณตีนเขาเงียบสงบผิดปกติ ไม่มีแม้แต่เวรยามดูแลที่พักอยู่ด้วยซ้ำ

คนหายไปไหนกันหมด?

หรือว่าจะขึ้นไปอยู่บนภูเขา?

หรือว่าเข้าไปในเหมืองใต้ดิน?

ท่านข้าหลวงใหญ่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า

ก็ไหนว่าลู่หมินต้องการกำลังเสริมไม่ใช่หรือ?

เมื่อเขานำกำลังเสริมมาให้แล้ว ทำไมถึงไม่อยู่รอรับ?

“พวกเราขึ้นเขาไปดูกันดีกว่า”

หนี่หยางออกคำสั่งเสียงเครียด

แต่เพียงเดินขึ้นเขามาได้ไม่เท่าไหร่ พวกเขาก็พบว่ามีอสูรลมกรดตัวหนึ่งกำลังวิ่งตามมาจากทิศทางของตัวเมือง

บนหลังของอสูรตัวนั้นมีนายทหารคนหนึ่งนั่งควบขี่ นายทหารมองเห็นท่านข้าหลวงใหญ่ตั้งแต่ระยะไกลจึงส่งเสียงร้องตะโกนว่า “ใต้เท้าขอรับ ใต้เท้า มีเรื่องเร่งด่วนขอรับ ใต้เท้า…”

อสูรลมกรดวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วเต็มพิกัด

นายทหารกระโดดลงมาจากแผ่นหลังของมันและคุกเข่าข้างหนึ่งบนพื้นดินรายงานว่า “กราบเรียนใต้เท้า เกิดเรื่องขึ้นแล้วขอรับ ท่านแม่ทัพฟานซือหยางได้ออกคำสั่งให้สังหารหมู่ชาวเมืองบนภูเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่ง ส่งผลให้มีผู้คนบริสุทธิ์เสียชีวิตไปแล้วกว่า 60 คน…”

“ว่าไงนะ?”

หนี่หยางได้ยินดังนั้นหัวใจก็ร้อนรนดั่งไฟเผา ถามกลับไปด้วยความตกตะลึง “สังหารหมู่ชาวเมือง? เขาออกคำสั่งนั้นได้อย่างไร?”

นายทหารพูดว่า “ท่านแม่ทัพเจิ้งจูเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ได้พยายามห้ามปรามอย่างสุดความสามารถแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายแม่ทัพเจิ้งจึงส่งข้าน้อยมากราบเรียนท่านข้าหลวงใหญ่นี่แหละขอรับ ไม่ทราบว่าข้าน้อยควรจะทำอย่างไรดี?”

หนี่หยางขมวดคิ้วด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง

ลูกแก้วหยกในมือของเขาหมุนสลับตำแหน่งกันรวดเร็ว หัวคิ้วของชายชราขมวดมุ่น ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ เห็นได้ชัดว่าท่านข้าหลวงใหญ่กำลังเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง

เกิดอะไรขึ้นกับฟานซือหยาง

ปกติบุคคลผู้นี้เป็นนายทหารที่วางใจได้มาตลอด ดังนั้น หนี่หยางจึงมอบหมายหน้าที่ให้คอยดูแลทางขึ้นเขาของวิหารประจำเมืองด้วยความสบายใจ

คิดไม่ถึงเลยว่าแม่ทัพฟานกลับเป็นผู้ที่ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม

สมควรตายสถานเดียวเท่านั้น

เหตุผลนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน

ทุกคนรู้ดีว่าในจักรวรรดิเป่ยไห่ การสังหารหมู่ชาวเมืองคือเรื่องที่ผิดกฎหมายร้ายแรง

ก่อนเดินทางมาที่ภูเขาเสี่ยวซี หนี่หยางได้มอบคำสั่งต่อทหารทุกนายแล้วว่า ให้คอยจับตาดูสถานการณ์อยู่เฉยๆ เท่านั้น ห้ามลงมือทำอะไรเด็ดขาด

แต่ฟานซือหยางกลับทำนอกเหนือคำสั่ง และใช้ให้ทหารใต้บังคับบัญชาของตนเองสังหารหมู่ชาวเมืองกว่า 60 คน ไม่ทราบว่านี่เป็นการตัดสินใจของคนโง่เขลาหรือคนเสียสติกันแน่?

นี่คือเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด

สำหรับผู้ที่ออกคำสั่งสังหารหมู่ชาวเมืองจะต้องถูกประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร

ฟานซือหยางเป็นแม่ทัพคนใหญ่คนโต เพราะเหตุใดถึงสร้างความผิดพลาดใหญ่หลวงได้ถึงขนาดนี้

คิดดูแล้วก็มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น

ฟานซือหยางตั้งใจทำ

แต่ทำไมถึงต้องตั้งใจทำด้วยเล่า?

นั่นเป็นเพราะว่ามีคนบงการอยู่เบื้องหลัง

แล้วใครคือผู้บงการ?

มีแต่เพียงพวกของเว่ยหมิงเฉินเท่านั้นที่มีแรงจูงใจ

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเว่ยหมิงเฉินบังคับให้หนี่หยางต้องยอมศิโรราบต่อตนเองทางอ้อม และยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันต้องถึงแก่ชีวิต ทางวังหลวงคงไม่อยู่นิ่งเฉยเด็ดขาด แล้วเพราะเหตุใด เว่ยหมิงเฉินจึงเจตนาปล่อยให้เรื่องบานปลายมาถึงขั้นนี้ นั่นคือสิ่งที่หนี่หยางไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว

สถานการณ์ ณ ขณะนี้บีบบังคับให้หนี่หยางต้องเข้าร่วมกับตระกูลเว่ยเพื่อความอยู่รอด เฉกเช่นนกน้อยต้องพึ่งพิงต้นไม้ใหญ่เพื่อหลบแดดหลบฝน

แต่อำนาจที่ตระกูลเว่ยมีอยู่ในมือ ก็ยังไม่สามารถต่อสู้กับทางวังหลวงได้อยู่ดี

ทว่า หนี่หยางเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ คิดทบทวนได้ไม่นาน เขาก็รับทราบคำตอบ

“รีบนำศพของชาวเมืองพวกนั้นไปกลบฝังและทำลายหลักฐานให้เร็วที่สุด ส่วนแม่ทัพฟานซือหยาง…” พูดมาถึงตรงนี้ หนี่หยางก็ส่งเสียงคำรามในลำคอเล็กน้อย และออกคำสั่งต่อ “ปล่อยให้เขาควบคุมการโจมตีวิหารต่อไป ส่วนเจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แต่ห้ามไม่ให้มีการสังหารชาวเมืองอีกเป็นอันขาด หากนายทหารคนไหนฝ่าฝืนคำสั่ง สามารถฆ่าทิ้งได้ทันที”

“ข้าน้อยรับคำบัญชา”

นายทหารประสานมือคำนับ ก่อนจะกระโดดกลับขึ้นไปบนแผ่นหลังของอสูรลมกรดและควบขี่จากไป

“ท่านพ่อขอรับ ฟานซือหยางกระทำความผิดร้ายแรง ทำไมถึงไม่เรียกตัวมาสอบสวน? ตระกูลหนี่ของเราต่ำต้อยเกินกว่าที่จะเอาเรื่องเขาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

หนี่โมหยานถามออกมาโดยไม่รู้ตัว

หนี่หยางตอบว่า “ถึงเรียกตัวมาสอบสวน พวกเราก็คงไม่ได้รับทราบคำตอบ… เฮ้อ การไขว่คว้าความสำเร็จย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยง ในเมื่อพวกเราตัดสินใจที่จะขึ้นขี่หลังเสือแล้ว วิธีเดียวที่จะรอดชีวิตได้ ก็คือการขี่หลังเสือต่อไปเท่านั้น…”

หลังจากหยุดเล็กน้อย ท่านข้าหลวงใหญ่แห่งแคว้นซินจินก็กลับมามีประกายในแววตามุ่งมั่นอีกครั้ง “พวกเรารีบขึ้นเขากันดีกว่า บัดนี้การกอบโกยขุมทรัพย์ในเหมืองให้ได้เยอะที่สุด คือสิ่งที่สำคัญมากกว่าเรื่องอื่นใด…”

เสียงพูดก็แข็งกระด้างมากกว่าเคยด้วยเช่นกัน

แต่ทันใดนั้น กลับมีอสูรลมกรดอีกหนึ่งตัววิ่งตรงมาหาพวกเขา

ตุบ

นายทหารหนุ่มคนใหม่กระโดดลงจากแผ่นหลังของอสูรลมกรดลงมาคุกเข่าข้างเดียวอยู่เบื้องหน้าหนี่หยางพร้อมกับรายงานว่า “กราบเรียนใต้เท้า เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วขอรับ คุณชายทั้งสามท่านเปิดฉากโจมตีสถานศึกษากระบี่ที่สาม พวกคุณชายจุดไฟเผาอาคารเรียนและสิ่งก่อสร้างโดยรอบในบริเวณนั้น มิหนำซ้ำ ยังสังหารลูกศิษย์ของสถานศึกษาเป็นจำนวนมากด้วยขอรับ…”

“ว่าไงนะ?”

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของหนี่หยางก็แปรเปลี่ยนไปโดยทันที

หนี่โมหยานผู้ยืนอยู่ข้างกายตะโกนออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ “เกิดอะไรขึ้น? ก็ท่านพ่อบอกทุกคนแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามลงมือเด็ดขาด แล้วทำไมพวกเขาถึงจุดไฟเผาที่นั่น? เพราะเหตุใดถึงต้องทำเช่นนั้น? เกิดพวกคณะอาจารย์อาวุโสทั้งสามคนนั้นลงมือขึ้นมา พี่น้องของข้าไม่แย่หมดหรือ?”

นายทหารหนุ่มผู้คุกเข่าอยู่บนพื้น ก้มหน้าตอบว่า “ทางสถานศึกษากระบี่ที่สามมียอดฝีมือมากกว่าอาจารย์อาวุโสทั้ง 3 คนนั้นขอรับ ส่งผลให้ในขณะนี้ คุณชายทั้งสามท่านต่างก็ถูกสังหารเสียชีวิตหมดสิ้นแล้ว”

หนี่โมหยานยืนนิ่งอึ้งตกตะลึง

ในหัวใจของเขาอดเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้

หากหนี่โมหยานไม่ได้ติดตามบิดามาที่ภูเขาเสี่ยวซี เกรงว่าเขาก็คงเป็นอีกหนึ่งศพที่ต้องตายอยู่นอกรั้วสถานศึกษากระบี่ที่สามแล้วกระมัง

เหตุไฉนสถานศึกษากระบี่บ้านนอกแห่งนี้ ถึงได้มีขุมกำลังน่ากลัวซุกซ่อนอยู่มากมายนัก?

นอกจากหลินเป่ยเฉินกับอาจารย์อาวุโสทั้ง 3 คนนั้นแล้ว ก็ยังมียอดฝีมือคนอื่นๆ อยู่อีกอย่างนั้นหรือ?

นี่มัน…

“บัดนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

หนี่โมหยานถามออกมาอีกครั้ง

นายทหารหนุ่มตอบว่า “โชคดีที่ทางสถานศึกษาเกิดเหตุไฟไหม้ลุกลามขนาดใหญ่ อาจารย์อาวุโสทั้ง 3 คนและยอดฝีมือคนอื่นๆ วุ่นวายอยู่กับการดับไฟและช่วยเหลือผู้คน พวกเขาจึงไม่ได้ติดตามกองทัพของพวกเรามาขอรับ ทางแม่ทัพเถียนหนงที่ขึ้นเป็นผู้บัญชาการสูงสุดชั่วคราว กำลังจะสั่งให้เคลื่อนย้ายกระบวนพลตรงมาที่ภูเขาเสี่ยวซี แต่แม่ทัพเถียนเกรงว่าศัตรูอาจจะตามมาถึงที่นี่ได้ จึงส่งข้าน้อยมาแจ้งเตือนท่านข้าหลวงใหญ่ก่อนขอรับ”

เมื่อได้รับฟังรายงานมาถึงตรงนี้ หนี่หยางก็สลัดหลุดจากอาการตกตะลึงได้พอดี

เขากัดฟันกรอด พยักหน้าพูดว่า “แม่ทัพเถียนทำได้ดีแล้ว… ออกคำสั่งให้เขายกกระบวนพลไปรักษาการที่ประตูทิศเหนือของเมืองหยุนเมิ่ง ห้ามไม่ให้มีรถม้าคันใดวิ่งเข้าออกทั้งสิ้น และรอคอยคำสั่งจากข้าต่อไป”

“ข้าน้อยรับคำบัญชา”

นายทหารหนุ่มรับคำสั่งเสร็จสิ้นก็กระโดดขึ้นไปขี่หลังอสูรลมกรดวิ่งจากไป

หนี่หยางหันกลับมากวาดสายตามองกลุ่มนายทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังตนเองและกล่าวว่า “เราจะเสียเวลาไปมากกว่านี้อีกไม่ได้ รีบตามข้าเข้าไปในภูเขาและนำแร่หินออกจากเหมืองให้ได้เยอะที่สุดกันเถอะ”

เหล่าลูกชายทั้งสามคนนั้นของเขาน่าเสียดายที่ต้องมาตายเช่นนี้ แต่หนี่หยางมีบุตรชายอยู่มากมายนับจำนวนไม่ถ้วน เมื่อเทียบกับแร่หินบูชาที่หายาก บุตรชายทั้งสามคนนั้นหาได้มีค่าในสายตาของหนี่หยางไม่

นายทหารจำนวน 400 คนมุ่งหน้าขึ้นไปบนภูเขาเสี่ยวซี

ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ อากวงนั่งล่องหนจ้องมองลงไปจากยอดไม้ตลอดเวลา

“คิดจะเข้าไปขุดเหมืองกันอีกแล้ว…”

“เราปล่อยให้พวกมันขุดเหมืองกันตามใจชอบก่อนดีกว่า พอพวกมันขุดกันเสร็จ เราค่อยเข้าไปจัดการ นายท่านจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าแรงคนงานให้เปลืองเงิน… บางทีหากนายท่านชอบใจ อาจจะลดการบ้านของเราลงบ้างก็ได้”

คิดได้ดังนั้น อากวงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง

“ฮ่าๆๆๆ…”

เสียงหัวเราะของคุณชายเหลียนซานดังก้องกังวานไปทั่วผืนฟ้า “เจ้ามดปลวกผู้ต่ำต้อย ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียแล้ว คิดอยากจะทดสอบความอดทนของเทพเจ้า ความผิดในครั้งนี้ไม่มีพื้นที่สำหรับการให้อภัย โทษทัณฑ์เดียวที่พวกเจ้าจะได้รับ… ก็คือความตาย!”

แล้วลำแสงกระบี่ก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า โจมตีตรงมาที่หลินเป่ยเฉิน

พลังลำแสงกระบี่ในครั้งนี้มีอานุภาพสูงล้ำ

ยังไม่ทันที่ลำแสงกระบี่จะมาถึงตัว หลินเป่ยเฉินก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันแรงกล้า

ทั้งติงซานฉือกับฉุยเฮาเฟิงตกตะลึงจนแม้แต่ขยับตัวก็ยังทำไม่ได้ นับประสาอะไรจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเด็กหนุ่ม

ทุกคนเห็นกับตาว่าลำแสงกระบี่สายนั้นกำลังจะถึงตัวหลินเป่ยเฉินแล้ว นี่คือการโจมตีที่รุนแรงหมายเอาชีวิต คลื่นพลังกดดันแผ่กระจายไปรอบบริเวณ ความหวาดกลัวและตื่นตระหนกเข้าเกาะกุมหัวใจของทุกคน

แต่ในทันใดนั้นเอง ลำแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของหลินเป่ยเฉิน

นี่คือลำแสงกระบี่ที่หลินเป่ยเฉินปล่อยพลังโต้ตอบกลับไป

และมันความรุนแรงมากกว่าลำแสงกระบี่ของคุณชายเหลียนซาน

ลำแสงกระบี่ของทั้งสองฝ่ายพลันสลายหายไปในอากาศ

เกิดเสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นจากคุณชายเหลียนซานที่ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้า

แล้วร่างที่โป่งพองของเขาก็ค่อยๆ หดฟีบลง

เหมือนลูกโป่งที่ถูกเจาะรู

กลุ่มนายทหารจากแคว้นซินจินที่ปิดล้อมอยู่โดยรอบวิหารต่างก็ล่าถอยไปด้วยความแตกตื่นตกใจ พวกเขาไม่สามารถควบคุมกระบี่มือได้อีกแล้ว กระบี่ยาวเหล่านั้นหลุดลอยออกมาพุ่งตรงเข้าไปหาหลินเป่ยเฉิน และหมุนวนอยู่ในอากาศรอบร่างกายของเขา ราวกับเป็นข้าทาสที่ซื่อสัตย์กำลังทำความเคารพต่อนายเหนือหัว

“เราต้องรับพลังศักดิ์สิทธิ์อีกแล้วสินะ!”

หลินเป่ยเฉินร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ

เทพีกระบี่หิมะไร้นามจะหาวิธีอื่นที่มันสบายกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง?

ถ้าเลือกได้ เขาก็ไม่ได้อยากจะทำหน้าที่เป็นร่างทรงเทพเจ้าอีกรอบสักหน่อย

ว่าแต่…

พลังที่ไหลรินเข้ามาสู่ร่างกายของเขาในขณะนี้ มันคือพลังศักดิ์สิทธิ์ของจริงใช่ไหม?