บทที่ 120 ลอบโจมตี
แม้จะรู้ว่าตานปาไม่ธรรมดา ซูเฉินก็ไม่คิดว่าตานปาจะเรืองอำนาจขึ้นได้ขนาดนี้
หลังจากได้ยินคำอธิบายจากฉือไคฮวงและคนอื่น ๆ แล้ว ซูเฉินก็รู้ว่าตานปาได้รับการเลือกจากเสินหมัวเทียนให้เป็นผู้สืบทอดหลังกลับจากซากโบราณลุ่มน้ำทองได้ไม่นาน แม้จะถูกเอาชนะไปได้ ทว่าเผ่าคนเถื่อนคนอื่น ๆ ต่างก็ชื่นชมเขาและกลายเป็นผู้ติดตามผู้ภักดีที่สุดไป ตัวตานปาเองก็ไม่หยิ่งทะนงเพราะเหตุนี้ กลับใช้ความล้มเหลวที่ซากโบราณลุ่มน้ำทองเป็นข้ออ้างในการสร้างภาพว่าเขาไร้ความสามารถ
ผู้สืบทอดทั้ง 3 คน เมื่อเห็นว่าศัตรูอ่อนแอ จึงเริ่มต่อสู้กันเอง ตานปาฉวยโอกาสนี้รวมกลุ่มกับผู้สืบทอดจากอารามศักดิ์สิทธิ์อีก 2 คน ลวงให้ผู้สืบทอดจากหัวหน้าเผ่าต่อสู้กันเอง หลังจากมีผู้ชนะแล้ว ก็รวมกลุ่มกันเอาชนะอีกคนหนึ่ง ก่อนที่ผู้สืบทอดคนที่สามจะพลันเข้าใจเรื่อง และเริ่มต่อสู้กลับเต็มกำลัง
การสนับสนุนจากหัวหน้าเผ่าทำให้ผู้สืบทอดมีพลังมากกว่าคนอื่น ทว่าสุดท้ายตานปาก็เอาชนะไปได้
จนสุดท้ายได้รับชัยชนะมา ตานปาจึงพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่า ที่เขาร่ำเรียนมานานหลายปี ทำให้เขาแข็งแกร่งเหนือกว่าคนอื่น ๆ เพียงแต่เขาเก็บงำไว้เท่านั้น
และเช่นนั้น เขาจึงสามารถเอาชนะผู้สืบทอดทั้งหมดภายในเวลา 7 ปี กลายเป็นผู้สืบทอดของชนเผ่ากิ้งก่ากรวดอย่างไร้คนกังขา กระทั่งหัวหน้าเผ่าคนปัจจุบัน ‘ปาข่าหลุน’ ก็มีแต่คำชื่นชมให้เขา
นี่คือข้อดีหนึ่งของเผ่าคนเถื่อน หากเจ้าสามารถเอาชนะบุตรชายที่ข้าสนับสนุนอยู่เบื้องหลังได้ อนาคตของเขาก็อยู่ในมือเจ้าแล้ว ชนเผ่าก่อตั้งมาด้วยหลักการเช่นนี้ ทำให้สามารถยืนหยัดอยู่ในทวีปต้นกำเนิดมานับหมื่นปีโดยไม่ถูกกวาดล้างไป
“ตอนเราโจมตีป้อมเล่อกู่ ได้วางเนตรสวรรค์ไว้ และส่งคนสอดแนมไปเป็นจำนวนมาก เตรียมการป้องกันไว้เป็นอย่างดี ทว่าชนเผ่ากิ้งก่ากรวดจู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับภูติผี โผล่มาด้านหลัง โจมตีจนเราไม่ทันตั้งตัว หากไม่ใช่เพราะหัวหน้าฝั่งนั้นกระหายความดีความชอบ บุกเข้ามาก่อนเวลาทำให้คลาดตำแหน่ง เราก็คงหนีไม่รอดแล้ว” ฉู่อิงหว่านเสียงเครียด น้ำเสียงหวาดกลัวมานึกถึงตานปา
มีหลายครั้งที่มนุษย์พ่ายแพ้เผ่าคนเถื่อน แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ถูกอุบายลวง ในสายตาฉู่อิงหว่าน การลอบโจมตีนาบข้างของชนเผ่ากิ้งก่ากรวดนั้นลงมือได้งดงามมาก กระทั่งแม่ทัพมนุษย์ยังตึงมือหากจะทำเช่นนี้ได้
“ข้าว่าพวกเขาเพียงโชคดีเท่านั้น” หลินเฉ่าเซวียนยังไม่พอใจอยู่เล็กน้อย
ในฐานะผู้สืบทอดทั้งฐานะและเกียรติของหลินเฉ่าเซวียน เขาจึงไม่อาจทำให้เขายอมก้มหัวให้ตานปาได้
กระนั้นตานปาก็ไม่ได้มีชื่อขึ้นจากความสำเร็จเพียงครั้งเดียว เขาสร้างชื่อมาก่อนหน้านี้แล้ว
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาเพียงหัวดื้อเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดตอบเขาให้มากความ ก่อนเป็นจวินโม่เสียที่คุยว่า “ในเมื่อตานปามองแผนเก่าออกแล้ว ทำไมถึงยังไม่เห็นการเคลื่อนไหวเลยเล่า ?”
เนตรสวรรค์คอยสอดส่องอยู่ตลอดเวลา ครั้งนี้กองทัพกำลังสวรรค์เตรียมการมาดี พร้อมพรักมากกว่าการต่อสู้ที่ป้อมเล่อกู่ ย่อมไม่อาจให้เกิดการลอบโจมตีจากด้านหลังขึ้นอีก
ถึงอย่างนั้น หน่วยลาดตระเวนก็ไม่พบร่องรอยกองทัพ เขตมรณายังคงเงียบสงัดเช่นแต่ก่อน ไร้สัญญาณการเคลื่อนไหวใด
“หรือว่าตานปาจะยังไม่ได้รับข่าว ?” เฉิงเถียนไห่ถามขึ้น
เป็นไปได้
ทหารเผ่าคนเถื่อนที่หนีไปได้เมื่อหลายวันก่อนคงไม่อาจรอดไปแจ้งข่าวกับตานปาด้วยตนเอง และไม่ว่าจะฝากข้อความไปที่ใคร ก็มักมีความล่าช้าเสมอ อีกทั้งหลังจากนั้นซูเฉินก็ขึ้นเรือเคลื่อนเมฆาในทันที ทางทฤษฎีแล้ว เขาย่อมเคลื่อนไหวเร็วกว่าตานปา
“ปัญหาคือ ตานปาอาจไม่รอจนได้ข่าวถึงค่อยลงมือ” ฉือไคฮวงถอนใจ
ผู้นำที่มีความสามารถไม่ใช่รอให้มีข้อมูลในมือทุกครั้งแล้วค่อยตัดสินใจ
ในสงคราม ความเร็วนั้นมีค่ามาก ความลังเลเพียงพริบตาอาจทำให้ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกันได้
กัวเหวินฉางกล่าวคำ “ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะยังไม่ลงมือกระมัง ?”
ฉือไคฮวงเงียบไป
แม่ทัพมากฝีมือเองก็มักจะไม่ลงมือหุนหันจากข้อมูลที่คาดเดาได้
ด้วยลงมือผิดพลาดอาจทำให้เกิดหายนะได้
แล้วตานปาลงมือหรือยังเล่า ?
มันจึงกลายเป็นคำถามในใจของทุกคน ซึ่งไม่อาจมีใครให้คำตอบ
หากตานปายังไม่ลงมือ ก็หมายความว่าพวกเขายังมีโอกาสข้ามเขตมรณาและออกจากที่นี่ไปได้
หากตานปาลงมือแล้ว เช่นนั้นก็อาจมีกองกำลังซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่
นี่เป็นสถานการณ์ที่มีการตัดสินใจอันตรายรออยู่ทั้งสองฝั่ง หากยอมแพ้ตอนนี้ ก็จะเสียโอกาสหลบหนีที่วางแผนมานาน แต่หากเลือกเดินหน้าต่อ ก็อาจต้องยอมเสี่ยง
“ข้าคิดว่าไม่มีทางที่ชนเผ่ากิ้งก่ากรวดจะอยู่ที่นี่ได้ เนตรสวรรค์ถูกเปิดใช้จนถึงขีดสุด หน่วยลาดตระเวนชั้นยอด ถ้าถูกส่งออกไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ตานปาจะลงมือเช่นที่ป้อมเล่อกู่ หากไม่เห็นตัวพวกเขา ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่” เฉิงเถียนไห่กล่าว “ข้าแนะนำให้ทำตามแผนต่อไปและข้ามเขตมรณา”
เฉิงเถียนไห่ที่ยืนกรานไม่ทำตามแผนนี้มากที่สุด จู่ ๆ กลับอยากให้ทำตามแผนขึ้นมา นั่นก็เพราะชอบความตื่นเต้นยามได้ทำเรื่องเสี่ยงชีวิต
“ไม่ได้หรอก หากตานปาคิดส่งคนมาตรวจสอบที่ป่ามังกรเหลืองแล้ว เขาย่อมตามแผนเราทัน โอกาสที่เขาจะซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่มีมากเกินไป ข้าไม่แนะนำให้เรายอมเสี่ยง” กัวเหวินฉางกล่าว ฐานะกุนซือของกองทัพและเป็นพลเรือนเพียงคนเดียว เขาย่อมเป็นคนที่ระมัดระวังมากที่สุด
“ในเมื่อตานปาส่งคนออกมาตรวจสอบ เขายิ่งต้องรอเพื่อรับข้อมูลก่อนลงมือ ข้าคิดว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายในการทำตามแผนแล้ว” หลินเฉ่าเซวียนเอ่ยขึ้น เขาเองก็สนับสนุนให้ดำเนินแผนต่อ แต่การคาดคะเนของเขานั้น หวังจะให้ตานปาทำพลาดเสียมากกว่า
“หน่วยสอดแนมป้องกันได้เพียงความไม่แน่นอนเท่านั้น” ฉือไคฮวงนั้นมีความคิดกระจ่างมาตั้งแต่ต้น เขาเองก็อยากให้ล่มแผนเช่นกัน
“อยู่ก็ตาย ไปก็ตาย เหตุใดไม่ฉวยโอกาสไว้เล่า ?” จวินโม่เสียว่า เขาเป็นคนเสนอแผนขึ้น ดังนั้นจึงไม่หวังให้แผนการล้มเหลว ความคิดเขาก็ไม่ผิดเช่นกัน
“หากไปเราตายแน่ แต่หากรั้งอยู่ยังอาจหาโอกาสหลบหนีได้” ฉู่อิงหว่านตอบกลับ ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับฉือไคฮวงอย่างแข็งขัน
ความคิดพวกเขาขัดกันเอง แต่ละฝั่งมี 3 เสียง แต่ละคนมีเหตุผลเป็นของตนเอง ไม่อาจโน้มน้าวให้คนอื่นเชื่อได้
ทุกคนจึงเลือกมองหลี่ฉงซานพร้อมกัน
เขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพกำลังสวรรค์ มีอำนาจสูงสุด ณ ที่นี้ คำขาดของเขาย่อมมีน้ำหนัก ทำลายความขัดแย้ง
หลี่ฉงซานรู้สึกว่าไหล่ตนหนักขึ้นมาอยางหนักหน่วง
เขาครุ่นคิดอย่างหนักอยู่พักหนึ่ง ก่อนหันไปหาซูเฉิน “คุณชายซูคิดเห็นอย่างไร ?”
ซูเฉินตอบ “ข้าแนะนำว่าให้รีบเดินทางออกโดยทันที ข้าเคยประมือกับเขามาก่อน เขามีสติปัญญาไม่น้อยหน้ากว่ามนุษย์ แท้จริงแล้วอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ข้าเคยวางกับดักเขาตอนซากโบราณลุ่มน้ำทอง แต่ถึงจะสังหารเพื่อนร่วมกลุ่มของเขาได้ กลับไม่อาจหลอกเขาได้ ตัวข้าเกือบได้กลายเป็นเหยื่อแทน ข้ามั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนที่รอให้ข้อมูลมาถึงมือแล้วค่อยเริ่มลงมือ”
“แล้วทำไมถึงไม่เห็นมีทหารเผ่าคนเถื่อนคนมาลอบโจมตีเลย ? อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะพวกเราถูกฝั่งนั้นลอบโจมตีที่ป้อมเล่อกู่สำเร็จ นั่นก็เพราะพวกเขาวางค่ายกลไว้ล่วงหน้าเพื่อปกปิดกองทัพ ครั้งนี้พวกเราเตรียมพร้อม ไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสแน่” เฉิงเถียนไห่กล่าว
“ดังนั้นเขาจึงต้องหาอุบายอื่นมาลวงให้พวกท่านเดินหน้าเข้ามาถูกลอบโจมตีอย่างไรเล่า” ซูเฉินกล่าวคำไม่ลังเลย
“อุบายอะไร ?” ทุกคนถามขึ้นพร้อมกัน
ซูเฉินชี้ไปที่เขตมรณา ก่อนเอ่ยเสียงโจ่งแจ้ง “พวกท่านใช้เนตรสวรรค์ตรวจสอบตรงนั้นหรือยัง ?”
หลี่ฉงซานและคนอื่น ๆ มองหน้ากันก่อนสายหน้า
กัวเหวินฉางเอ่ย “เทพอสูรบรรพกาลนอนหลับอยู่ในเขตมรณา ไม่มีใครกล้าซุ่มโจมตีที่นั่นหรอก”
“พวกท่านตั้งใจจะเดินทางผ่านไม่ใช่หรือ” ซูเฉินดล่าว
“เราจะไปทางใต้ดิน” จวินโม่เสียเอ่ยแก้ให้อย่างภาคภูมิ “เรือดินสามารถเดินทางลงใต้พื้นดิน ลึกกว่าแปดร้อยลี้ ไม่มีทางปลุกเทพอสูรบรรพกาลแน่”
“นั่นหมายความว่าเผ่าคนเถื่อนก็ย่อมมีวิธีซุกซ่อนตัวเหมือนกันใช่หรือไม่ ?”
“ถูกต้อง หากพวกเขามีประสบการณ์ในการซ่อนกาย และได้ล่วงเข้าไปในเขตมรณาแล้ว มันก็อาจเป็นไปได้ แต่จะให้ทัพใหญ่ซ่อนอยู่ในนั้นไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน” หลินเฉ่าเซวียนกล่าว
“ถ้าหากไม่ใช่กองทัพใหญ่ หากเป็นกองกำลังฝีมือดีขนาดเล็กเล่า ?” ซูเฉินโต้
“กองกำลังฝีมือดีขนาดเล็ก ? เพื่ออะไรเล่า ?” ทุกคนจ้องเขาด้วยความตกตะลึง
ส่งกองกำลังฝีมือดีขนาดเล็กมาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่ ?
ซูเฉินเพียงเอ่ยง่าย ๆ “เพื่อปลุกเทพอสูรบรรพกาล”