ภาคที่ 4 บทที่ 121 ถอย (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 121 ถอย (1)

คำของซูเฉินทำให้หลี่ฉงซานและคนอื่นชะงักไป

ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าทำพลาดไปอย่างไร ใช่แล้ว พวกเขาตั้งใจจะบุกเข้าอาณาเขตของเทพอสูรบรรพกาลจริง ๆ

แท้จริงแล้ว พวกเขาก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถข้ามผ่านไปได้ หากแผนผิดพลาดไปเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ล้มเหลวได้เลย

ในสถานการณ์เช่นนี้ ศัตรูย่อมไม่ส่งทัพใหญ่มาลอบโจมตี ส่งกองกำลังขนาดเล็กที่ไม่กลัวตายเข้ามาประจำการอยู่ที่เขตมรณาก็พอ

หลี่ฉงซานคนอื่น ๆ พลันเข้าใจว่าหากกองทัพกำลังสวรรค์เดินหน้าเข้าเขตมรณาด้วยเรือดินไปจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น เพียงเผ่าคนเถื่อนเสียคนไม่เท่าไหร่ พวกเขาก็สามารถกวาดล้างกองทัพกำลังสวรรค์ไปจนหมดได้แล้ว !

“หน่วยสอดแนม หมุนเนตรสวรรค์กลับและตรวจสอบเขตมรณา !” หลินเฉ่าเซวียนตะโกน

“ทหารทั้งหมดถอยทัพ !” หลี่ฉงซานสั่งอีกครั้ง

รั้งรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเทพอสูรบรรพกาลตื่นขึ้นมาแล้ว กองทัพกำลังสวรรค์อาจถูกทำลายล้างได้แม้จะไม่ได้อยู่ในเขตมรณาก็ตาม ไม่มีใครกล้าท้าทายความอดทนหรือความอันตรายเทพอสูรบรรพกาลหรอกนะ ตัวตนน่าขวัญผวาเช่นนี้ หากลืมตาตื่นแล้วอารมณ์ไม่ดีก็อาจแยกสวรรค์เลยก็เป็นได้

“ปล่อยเรือดินออก หากมีทหารเผ่าคนเถื่อนอยู่ในนั้นจริงก็คงเห็นพวกเราแล้ว เรือดินอาจหลอกให้พวกเขาคิดว่าเราเข้าเขตมรณาไป พอซื้อเวลาได้บ้าง” ซูเฉินว่า

“เตรียมกำลังคนด้วย หากพบเป้าหมายให้พยายามสกัดไว้ให้ถึงที่สุด” จวินโม่เสียเพิ่มเติม

ได้ยินดังนี้ทุกคนก็พลันท้านอยู่ในใจ

ผู้ที่ได้รับภารกิจนี้ย่อมต้องตายเป็นแน่

ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครเห็นว่าจวินโม่เสียกล่าวสิ่งใดผิด หากมีทหารเผ่าคนเถื่อนซุ่มซ่อนอยู่ในเขตมรณาจริง การส่งกำลังไปสกัดนับเป็นยุทธวิธีที่ดีที่สุด

“เสิ่นเทียน หานชิว จงเตรียมนำกำลังเคลื่อนพล” หลี่ฉงซานเอ่ยสั่ง

คนทั้งสองที่เขาเลือกมาคือทหารที่อยู่กับเขามานานหลายปี เพื่อความอยู่รอดของกองทัพ เขาจำต้องส่งคนที่มีค่าที่สุดกับเขาไปพลีชีพ

“รับคำสั่ง !” ทหารทั้งสองตอบเสียงพร้อมเพรียงกัน

พวกเขารู้ดีว่าเมื่อออกเดินทางแล้วคงไม่ได้กลับมาอีก แต่ก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“ใช้เวลาที่เหลือบอกคนของเจ้า…… ให้เขียนคำสั่งเสียงเอาไว้” หลี่ฉงซานเอ่ย

“ไม่จำเป็นหรอกผู้บัญชาการ ทุกคนตระเตรียมเอาไว้แล้วตั้งแต่ที่เข้าโจมตีป้อมเล่อกู่ ทุกคนเตรียมตัวไว้แล้ว” หัวหน้ากองหนุ่มนามเสิ่นเทียนตอบ

หัวหน้ากองอีกคนหนึ่งนามหานชิวหัวเราะ “ผู้บัญชาการ โปรดวางใจ พวกข้าไม่มีห่วง หักตายไปก็คือตาย ดังนั้นให้พวกท่านได้สังหารทหารเผ่าคนเถื่อนแทนข้าอีกสักหน่อย ข้าก็ไม่ตายเสียเปล่าแล้ว”

หลี่ฉงซานถอนหายใจแล้วพยักหน้าเงียบ ๆ

กระทั่งซูเฉินยังอดกล่าวขึ้นไม่ได้ “ไม่ต้องห่วงไป เผ่าคนเถื่อนย่อมต้องชดใช้หนักหน่วงแน่ !”

เสิ่นเทียนกับหานชิวหัวเราะ “ขอบคุณมากคุณชายซู”

“ท่านช่วยทุกคนไว้ พวกเราซาบซึ้งยิ่งนัก”

ให้ตอนนี้ หน่วยสอดแนมคนหนึ่งก็พลันร้องขึ้น “พบพวกมันแล้ว ! ทหารเผ่าคนเถื่อนคนหนึ่งซ่อนอยู่ในบ่อโคลนไกล 20 ลี้ไปทางทิศตะวันตก บัดซบ ขุดลงไปลึกนัก ! ต้องพยายามถึง 3 หนถึงจะเห็นเขา !”

“มีอีกคนอยู่ตรงนี้”

“ที่นี่ก็มี เวรเอ๊ย พวกมันแยกกันจะได้ซ่อนตัวได้ดีขึ้น”

ทุกคนได้แต่สูดลมหายใจเย็นเข้าลึก

แม้จะเตรียมรับข่าวนี้เอาไว้แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าตนโชคดีเมื่อข้อสงสัยได้รับการยืนยัน

ถ้าไม่ได้ซูเฉิน ทั้งกองทัพกำลังสวรรค์ก็คงจะถูกกวาดล้างสิ้นอยู่ที่นี่

การปิดบังซุกซ่อนคนเหล่านี้เพื่อซุ่มดูการเคลื่อนไหวของศัตรู ย่อมหมายความว่าทำไปหมายจะปลุกเทพอสูรบรรพกาลเป็นแน่ อุบายเช่นนี้ถือว่าโหดร้ายป่าเถื่อน ทว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไรนั้นไม่เป็นที่สงสัยแม้แต่น้อย

ทว่าซูเฉินกลับล่วงรู้อุบายเช่นนี้ได้ คงได้แต่บอกว่าคนประเภทเดียวกันย่อมเหมือนกัน

“ลงมือ !” หลี่ฉงซานเอ่ย

เสิ่นเทียนกับหานชิวก้าวเข้าเรือดิน ก่อนจะผลุบลงพื้นไป มุ่งหน้าเข้าเขตมรณา

ในเวลาเดียวกันนั้น กองทัพกำลังสวรรค์ก็ค่อย ๆ ถอยทัพภายใต้คำสั่งหลี่ฉงซาน โดยให้คนที่มีพลังแข็งแกร่งรั้งด้านหลัง ใช้อุบายทั้งหลายสร้างภาพมายาว่าพวกเขายังตั้งทัพอยู่ตรงนั้น

ไม่มีใครรู้ว่าอุบายเช่นนี้จะหลอกตาเผ่าคนเถื่อนได้นานเท่าไหร่ ในตอนนี้มีแต่ต้องซื้อเวลาให้ได้มากที่สุดเท่านั้น

กองทัพกำลังสวรรค์เป็นทหารฝีมือดีโดยแท้ หลังจากถูกไล่ล่าเข้าเขตแดนเผ่าคนเถื่อนมาไม่หยุด พวกเขากลับลงมือได้ชำนาญกว่าแต่ก่อน ทหารเรือนหมื่นถอยทัพไปโดยไม่เสียเวลาแม้แต่น้อย

เป็นราวกับลมหอบหนึ่ง จากไปรวดเร็วเหมือนตอนมา

ฉือไคฮวงคนอื่น ๆ เป็นกลุ่มสุดท้ายที่จากไป กลิ่นอายของพวกเขาช่วยลวงเผ่าคนเถื่อนได้อีกเล็กน้อย

หลังมองคนกลุ่มสุดท้ายถอยออกไปแล้ว กัวเหวินฉางจึงเอ่ยคำ “เราก็ไปกันเถอะ”

“รอเดี๋ยวก่อน” ฉือไคฮวงเอ่ย “ให้พี่น้องพวกเราได้มีเวลาเพิ่มอีกสักนิด”

“ขอข้าพูดอะไรที่ไม่น่าฟังสักหน่อยได้หรือไม่ ?” จวินโม่เสียกล่าว “ทำเช่นนั้นไปก็ไร้ประโยชน์”

“ทำไมถึงว่าเช่นนั้น ?” ฉู่อิงหว่านถาม

จวินโม่เสียยักไหล่ “เจ้าก็รู้ว่าเทพอสูรบรรพกาลใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงหายใจ มันก็ตามพวกเราทันแล้ว แม้พวกเราจะหนีไปไกลนับพันลี้ก็ตาม…… ดังนั้นเราจะตายหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้านั่นหัวเสียมากหรือเปล่าก็เท่านั้น”

ทุกคนเงียบไป

เป็นซูเฉินพี่เอ่ยคำขึ้นก่อน “หากมียุงมากัดท่าน ท่านจะไล่ตามมันไปหรือไม่ ?”

จวินโม่เสียจ้องเขาด้วยสายตาว่างเปล่าก่อนส่ายหน้า “คงไม่”

“ถ้ามันอยู่ตรงหน้าท่านเล่า ? ท่านก็อาจจะสะบัดมือตบมันสักครั้งจริงหรือไม่ ?” ซูเฉินกล่าว

จวินโม่เสียเข้าใจสิ่งเข้าใจสิ่งที่ซูเฉินเอ่ยแล้ว เขาจึงหัวเราะออกมา “เปรียบเทียบเช่นนั้นก็ได้อยู่ หวังว่าจะเป็นอย่างที่เจ้าว่า”

“เช่นนั้นจะรออะไรอยู่อีก ? ออกไปกันเถอะ !” ฉู่อิงหว่านเอ่ย

ทุกคนเหินร่างขึ้น

ฉือไคฮวงกำลังจะคว้าตัวซูเฉินไว้ แต่อีกฝ่ายกลับดึงเรือเหาะจันทราเหินออกมา “ข้ามีเจ้านี่”

เรือเหาะจันทราเหินลอยขึ้นอยู่เหนือทัพ ไม่เชื่องช้าไปกว่าใครสักนิด

“เหล่าฉือ ศิษย์เจ้านี่น่าสนใจไม่น้อย” หลี่ฉงซานเอ่ย

“เขาเป็นเด็กที่มีความสามารถมากที่สุดที่ข้าเคยเห็นทีเดียว แต่เขาไม่ควรมาอยู่ที่นี่” ฉือไคฮวงถอนใจ

เฉิงเถียนไห่เอ่ยเสียงขุ่น “ฟังเจ้าพูดเข้า เขาเพิ่งช่วยไป 8 พันชีวิตนะ”

“หากเขารอดไป เขาช่วยได้มากกว่านี้อีก” ฉือไคฮวงตอบกลับ

หลี่ฉงซานเข้าใจความหมายอีกฝ่าย “เหมาะแล้วหรือที่ฝากหวังทั้งหมดไว้ที่เด็กเช่นนี้ ?”

ฉือไคฮวงส่ายหน้าตอบ “เจ้ารู้เพียงว่าวิธีทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตและด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดเป็นข้าที่พัฒนาขึ้น แต่เจ้าไม่รู้ว่าหากไม่มีเขาข้าก็ทำไม่สำเร็จ”

อะไรนะ ?

ทุกคนอึ้งไป

“น่าเสียดาย ถึงจุดหนึ่งประสบการณ์ข้าก็ถูกจำกัดเสียแล้ว ไปมากกว่านี้ไม่ได้อีก ได้แต่ฝากหวังไว้กับเขา” ฉือไคฮวงเอ่ยเสียงสบาย

เขาเคยบอกซูเฉินไปก่อนหน้านี้ ว่าถ้าเขาเข้ากองทัพมาเมื่อไหร่ เราจะไม่มีเวลาทำการค้นคว้าวิธีทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดอีก

ทว่า มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ ว่าแม้จะไม่เจออุปสรรคนี้ เขาก็คงไม่อาจสร้างความสำเร็จใดได้อีก

ประสบการณ์จำกัดความสามารถของเขา ทำให้เขาไปจุดที่สูงกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

แต่เขารู้ว่าซูเฉินทำได้

ฉือไคฮวงคิดคำนึงพลางว่าต่อ “ข้าดีใจนะที่เขามาช่วยข้า เพราะนั่นหมายความว่าข้าประเมินเขาไว้ไม่ผิด หากแต่ฉงซาน เจ้าต้องสัญญากับข้า หากกองทัพกำลังสวรรค์ต้องถูกกวาดล้างไป อย่าให้ซูเฉินตาย เขาเป็นความหวังของทั้งเผ่ามนุษย์ ข้าเชื่อมั่นยิ่งนักว่าเขาจะสามารถก้าวผ่านขีดจำกัดทางสายเลือด และค้นหาเส้นทางการบ่มเพาะพลังที่แท้จริงของเผ่ามนุษย์ได้สำเร็จ !”

หลี่ฉงซานได้ยินคำสารภาพเช่นนี้ก็เงียบไป กำลังจะเอ่ยคำก็ได้ยินเสียงหลี่ฉงซานพลันตะโกนขึ้นว่า “เร็วเข้า ดูตรงนั้น !”

เขารีบหันไป พบว่าภาพฉากด้านหลังเกิดความเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่